บทที่ 737 การพบกันใหม่ของปู่ย่าตายายและหลาน

เมื่อฮ่องเต้ทรงสิ้นพระชนม์ แคว้นต้าโจวเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แต่ทั้งราชสำนัก ข้าราชบริพาร ทหารและผู้คนทั่วไปต่างถูกดึงดูดด้วยเหตุการณ์อื่น อย่างรวดเร็ว นั่นคืออู่อวี้เจ้ากระทรวงอาญาซึ่งเป็นที่โปรดปราน ได้กลายเป็นพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้

ย้อนกลับไปยังอดีต หลังจากที่สกุลเซียวได้ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหากบฏ ทั้งฮองเฮาและองค์ชายรัชทายาทได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดออกมาต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ ทุกคนได้แต่คาดการณ์ไปต่างๆนานา ไม่มีใครรู้ว่าอดีตองค์รัชทายาทที่ถูกโค่นล้มไปจะยังมีชีวิตอยู่

ไม่เพียงแต่ยังรับราชการอยู่ในราชสำนัก หากยังได้รับเลือกให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกด้วย

ต่อให้พวกเขาอยากรู้อยากเห็นเพียงใดก็ได้แต่ยับยั้งเอาไว้เท่านั้น

เว่ยฉิงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อยู่ใต้คนผู้เดียว แต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น มีอำนาจสูงสุด แม้เพียงคำเดียวก็กำหนดความเป็นตายได้ รู้น้อยเป็นการดี หากรู้มากจะหาชีวิตไม่

ข้าราชบริพารทั้งหลายต่างพากันครุ่นคิดว่าเคยได้ทำให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้นี้ขุ่นเคืองใจหรือไม่? คนที่เคยก้าวล่วงก็พากันหวั่นวิตกเกรงกลัวว่าเขาจะคิดบัญชี

เรื่องนี้ย่อมรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของไทเฮา ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงสิ้นพระชนม์ เขายังจำพระราชนัดดาคนโปรดของพระนางได้ ฮ่องเต้ยังทรงเหลือมโนธรรมอยู่บ้าง

แม้ว่าไทเฮาจะทรงโทมนัสต่อการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ เพราะอย่างน้อยก็ทรงได้เลี้ยงดูมานานสิบกว่าปี แต่พระนางทรงผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อเมฆดำที่อยู่เหนือศีรษะได้สลายหายไป พระนางเฝ้ารอเว่ยฉิง มารับออกจากวังเพื่อไปพบกับภรรยาและลูกๆ ของเขา

วันนี้ ไทเฮาเสด็จออกมาประทับรอโดยมีธารพระกรพยุงพระวรกายเอาไว้ พระองค์สวมพระภูษาสีเรียบ ด้วยจะเป็นเพราะมีความหวังและความยินดีจึงทำให้ไทเฮาดูอ่อนชันษาลง

“ทรงประทับรอก่อนเถิด อีกสักพักถึงจะได้เวลานัดหมายเพคะ”แม่นมฉู่เอ่ยขึ้น

“อยู่ในตำหนักก็ต้องรอเช่นกัน มิสู้ออกมารอข้างนอกจะดีกว่า เจ้านำของทั้งหมดออกมาหรือยัง?” ไทเฮาหันไปรับสั่งถาม แม่นมฉู่อุ้มกล่องขนาดใหญ่ไว้ในอ้อมแขน

“อยู่ในกล่องนี้ทั้งหมดแล้วเพคะ”

เมื่อได้เวลานัดหมาย เกี้ยวคันหนึ่งถูกยกมาวางรอที่หน้าพระตำหนักพุทธาวาส แม่นมฉู่เดินตามเกี้ยวไปข้างๆ

“อาเยว่ หลังจากหลายปีผ่านไป ยังจะมีนายกับบ่าวอีกหรือ?” ไทเฮาทรงเอื้อมพระหัตถ์จับมือแม่นมฉู่ขึ้นเกี้ยวไปด้วยกันทั้งสองคน เมื่อมาถึงที่หน้าประตูวังมีรถม้าของจวนสกุลอู่รออยู่แล้ว

ไทเฮาเสด็จขึ้นรถม้าด้วยความช่วยเหลือจากแม่นมฉู่ ถึงแม้ว่าเว่ยฉิงจะกลายเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปแล้ว แต่เขายังพำนักอยู่ที่จวนอู่เช่นเดิม ประการแรกเป็นเพราะเขาเคยชินกับที่นี่ และการย้ายข้าวของนับว่าไม่สะดวก ประการที่สอง เขาตั้งใจว่าจะอยู่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกไม่นานจึงไม่จำเป็นจะต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นการถาวร

รถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนสกุลอู่ ฮองเฮาอดพระทัยไม่ไหวที่จะยกม่านขึ้นมองออกไปข้างนอก

พระนางอยู่ในตำหนักพุทธาวาสมานานหลายสิบปีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกล้วนตื่นตาตื่นใจ เมื่อเห็นของแปลกๆ บนท้องถนน พระนางทรงชี้ชวนให้แม่นมฉู่ดู ทั้งคู่พากันมองอย่างสงสัยใคร่รู้

แม่นมฉู่จำได้ว่าเมื่อครั้งที่พระนางยังเป็นเพียงคุณหนูในสกุลเดิมก่อนที่จะได้รับการอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาทในเวลานั้น ไทเฮาเป็นสตรีที่มีชีวิตชีวา ต่อมาพระนางมีตำแหน่งเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา จนในที่สุดจึงได้เป็นไทเฮาตามลำดับ พระนางต้องสำรวมกิริยาและมีความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เมื่อเห็นพระจริยวัตรเช่นนี้ ทำให้แม่นมฉู่เหมือนได้ย้อนไปเมื่อห้าสิบปีก่อนหน้า

รถม้าได้หยุดลง

“พวกเรามาถึงแล้ว” สุรเสียงเต็มไปด้วยความยินดี พระนางทรงก้าวลงจากรถม้าโดยมีแม่นมฉู่คอยพยุง แต่แล้วกลับมีใครบางคนยื่นมือเข้ามาเพื่อช่วยเหลือนาง ไทเฮาเงยพระพักตร์มองเห็นใบหน้าที่งดงาม ดวงตาสดใสกิริยามารยาทอ่อนโยนทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นสบายใจ

“เสด็จย่า หญิงผู้นี้เป็นภรรยาของหลานเอง นางชื่อถังหลี่พะย่ะค่ะ” เว่ยฉิงยืนอยู่ข้างกายโอบหลังของหญิงสาวผู้นั้น

ไทเฮาได้พบกับพระราชนัดดาหลายครั้ง พระนางทรงประทับใจที่เขามีบุคลิกมั่นคง ไม่ค่อยพูด แต่ครั้งนี้เขากลับทำท่าภาคภูมิใจอย่างออกนอกหน้าราวกับกำลังอวดสมบัติล้ำค่าของตน แม้แต่รอยยิ้มยังไร้เดียงสาชวนมอง

“เสด็จย่า” ถังหลี่เอ่ยเรียกไทเฮาเช่นเดียวกับสามีของนาง

เมื่อถังหลี่เข้าวัง นางเคยได้พบไทเฮามาครั้งหนึ่ง เวลานั้นพระนางเป็นหญิงเสียสติ พระวรกายซูบผอมราวกับเปลือกไม้ที่แห้งเหี่ยว เมื่อได้เห็นพระนางอีกครั้ง แม้จะทรงมีพระชนมายุไม่น้อยแล้ว แต่พระฉวีกลับผุดผ่องมากขึ้นกว่าเดิม ทรงสวมพระภูษาสีเรียบๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์สง่างาม เสียงเรียกของถังหลี่กระทบพระทัย นี่เป็นพระสุณิสาของพระนาง ไทเฮาทรงปลื้มปีติ พระนางรีบให้แม่นมฉู่เปิดกล่องหยิบหยกหรูอี้ออกมาพระราชทานให้ถังหลี่ นางรับมาพลางเอ่ยขอบคุณอย่างมีความสุข

ถังหลี่และเว่ยฉิงได้ต้อนรับไทเฮาเข้าสู่จวนสกุลอู่ของตน

“สวี่เจวี่ยและเว่ยจื่ออั๋งยังคงอยู่ที่สำนักฮั่นหลิน พวกเขาไม่ได้อยู่ที่จวนพะย่ะค่ะ” เว่ยฉิงเอ่ย

“ย่ารู้จักเด็กสองคนนี้ พวกเขาเป็นเด็กที่สอบได้ที่หนึ่งและที่สอง เป็นเด็กที่มากด้วยพรสวรรค์ทั้งสองคนจริงๆ” ไทเฮาตรัสอย่างชื่นชม

“ส่วนซานเป่าออกไปหาประสบการณ์กับอาจารย์ของนางจึงไม่ได้อยู่ที่จวนเช่นกัน”

ไทเฮาทรงเคยได้ยินเรื่องราวของสาวน้อยซานเป่ามาก่อนหน้า จึงคิดเสียดายอยู่ในพระทัยว่าไม่ได้เห็นนางในครั้งนี้

ในบรรดาลูกๆ ที่โตแล้วของถังหลี่และเว่ยฉิงจึงเหลือเพียงเว่ยจื่ออี้แต่เพียงผู้เดียว ทรงทอดพระเนตรไปยังเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาท่าทางสุภาพเรียบร้อย พระนางทรงโปรดหนุ่มน้อยผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไทเฮาทรงให้แม่นมฉู่หยิบของพระราชทานที่ได้เตรียมไว้ออกมาจากกล่องเพื่อมอบให้เว่ยจื่ออี้ เขารับไปพลางเอ่ยขอบคุณอย่างไพเราะ

“เสด็จทวด หม่อมฉันชอบมากพะย่ะค่ะ” หลังจากได้พบเหลนนี้แล้ว ไทเฮาทรงอยากพบเหลนน้อยๆ สองคนด้วย พระนางทรงเร่งเร้าให้เว่ยฉิงพาไปหาเด็กแฝดทั้งคู่

มู่เป่าเห็นคนแปลกหน้า เขากลัวแต่ยังมีความอยากรู้อยากเห็น จึงได้โผล่หัวน้อยๆ ออกมาจากหลังประตูแอบมองไทเฮาด้วยดวงตาสีดำดูน่ารักของเขา

“เหลนน้อยของย่าทวด…” เมื่อเห็นไทเฮาทรงเสด็จเข้ามาใกล้ มู่เป่าต้องการจะซ่อนตัวแต่กลับถูกบิดาจับตัวเอาไว้ได้เสียก่อน

เด็กน้อยที่ทำท่าจะมุดหนีถูกส่งเข้าไปในอ้อมพระกรของไทเฮา เจ้าตัวเล็กบิดตัวทำท่าจะหนี แต่เว่ยฉิงช่วยจับเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ในที่สุดมู่เป่าก็ยอมแพ้กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เขานอนอย่างนิ่งสงบอยู่ในอ้อมกอดของท่านย่าทวดแต่โดยดี

“เสด็จย่า เด็กผู้นี้เป็นบุตรชายคนเล็กของกระหม่อมชื่อเว่ยซือมู่ หรือมู่เป่าพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา แม่นมฉู่นำกุญแจอายุยืนส่งถวาย พระนางทรงแขวนไว้ที่คอของมู่เป่าอย่างอ่อนโยน

มู่เป่าเล่นกุญแจอายุยืนด้วยมือป้อมๆ ของเขา ไม่นานก็หมดความสนใจ ชะเง้อดูนอกลานอย่างกระตือรือร้น เขาอยากไปเล่นกับนกน้อยที่สนามหญ้าแล้ว

ไทเฮาทรงมอบผลไม้อบแห้งให้เขา มู่เป่าได้กลิ่นเปรี้ยวหวานสดชื่นของผลไม้อบแห้ง ดวงตาของเขาก็สว่างไสว เขาชอบมาก หลังจากได้กินของอร่อยๆไม่นานนักเขาก็เริ่มคุยจ้อตามปกติวิสัย เด็กน้อยช่างจำนรรจาพูดจาประสาเด็กไปเรื่อยเปื่อยทำให้ไทเฮาทรงพระอารมณ์ดีและทรงพระสรวลออกมา

เด็กหญิงตัวน้อยๆขานเรียกท่านย่าทวดอย่างน่าเอ็นดู หลังจากได้รับพระราชทานของขวัญ นางนั่งอยู่ข้างๆไทเฮาเงียบๆ ไม่นานนักก็โน้มตัวเข้าพิงพระวรกายของไทเฮาด้วยท่าทางเกียจคร้าน ไทเฮาทรงทอดพระเนตรเหลนตัวน้อยๆ ทั้งสองคน เด็กชายช่างพูดเจื้อยแจ้ว ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยแม้ว่าจะดูเกียจคร้านทว่าสง่างาม ในพระทัยของพระนางเต็มไปด้วยความยินดีและความสุข มีรอยแย้มสรวลอยู่บนพระพัตร์ตลอดเวลา ดวงตาของแม่นมฉู่เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นเหลนตัวน้อยของพระนาง นี่เป็นเรื่องที่ดีที่สุดหลังจากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์