บทที่ 685 เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 685 เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล

ได้ยินหานเจวี๋ยให้คำมั่นสัญญา จอมอริยะเสวียนตูจึงพยักหน้ารับ

ทว่าจอมอริยะเสวียนตูก็คิดว่า หานเจวี๋ยกำลังเตือนเขาด้วยกระมัง

ถึงจะคิดเช่นนี้ แต่จอมอริยะเสวียนตูก็ไม่ลนลานเลยสักนิด เขามีจุดประสงค์ส่วนตัวก็จริง และกำลังพัฒนาเส้นสายของตนอยู่เช่นกัน แต่นั่นเป็นเรื่องจำเป็น หากเขาละโมบในอำนาจจริงๆ คงไม่มีทางกลับมาแน่ คงรั้งอยู่ในแดนเทพหวนปัจฉิม ติดตามคณะอริยะมหามรรค อำนาจไม่เทียมฟ้ามากกว่าหรือ

เหตุผลที่เขากลับมา ก็เพื่อปกป้องบ้านเกิดแห่งนี้ ปกป้องมรรคาสวรรค์ที่ให้กำเนิดเขา!

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยต่อว่า “ข้าจะจับตามองผานซินต่อไป หากว่าเขาไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นความตายของมรรคาสวรรค์ ข้าก็จะทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้างต่อไป

“อีกอย่าง เกี่ยวกับมิติวัฏจักร สหายเต๋าหานคิดเห็นอย่างไร”

หานเจวี๋ยตอบ “เดิมก็เป็นความคิดของเจ้า เจ้าจัดการเถิด”

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ข้าเตรียมผลักดันให้มิติวัฏจักรเข้าร่วมกับมรรคาสวรรค์ มิเช่นนั้นหากพึ่งพิงพลังจากโลกมนุษย์สามัญ มิติวัฏจักรก็มิจำเป็นต้องมีตัวตนอยู่เลย ถึงอย่างไรแดนเซียนพิภพก็หวนรวมกับมรรคาสวรรค์แล้ว”

“ได้ เจ้าจัดการได้เลย”

หานเจวี๋ยพยักหน้าตอบรับ ท่าทางเหมือนเถ้าแก่ที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่ง

จอมอริยะเสวียนตูก็มิได้โกรธเคือง กลับยินดีที่เขาเป็นเช่นนี้ หากหานเจวี๋ยเข้ามาแทรกแซงมากไป เขาคงทำงานได้ไม่สะดวก

เหตุผลที่เขาชักชวนหานเจวี๋ยมาเป็นพวก เพราะมองเห็นความสามารถของหานเจวี๋ย

ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกสักพัก หลังคุยจบ หานเจวี๋ยก็กลับไปที่เขตเซียนร้อยคีรีทันที

เขาเข้าฝันเทพสูงสุดอู๋ฝ่า สอบถามว่าผานซินไปหาเขาด้วยเรื่องใด

“ยังจะเพราะเรื่องใดได้ คิดจะชักจูงข้าเข้าพวก คนอย่างเขา มีเพียงตบะที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันเท่านั้น ความคิดความอ่านเหมือนเด็กอมมือ ข้าพูดส่งๆ ไปแค่ไม่กี่คำ เขาก็จากไปด้วยความดีใจแล้ว”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าดูแคลนผานซินอย่างยิ่ง

ถึงแม้เขาจะสู้ผานซินไม่ได้ แต่เขาก็เป็นอริยะเสรีเช่นกัน ดังนั้นจึงมองผานซินอยู่ในระดับเดียวกัน

หานเจวี๋ยเอ่ยสั่งการ “เจ้าร่วมเล่นละครกับเขาได้ตามความเหมาะสม ดูว่าที่แท้แล้วเขาคิดจะเล่นลูกไม้อันใด”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ หากเขาคิดจะก่อเรื่องวุ่นวายจริง จัดการเสียแต่เนิ่นๆ ก็นับเป็นเรื่องดี”

“อืม”

หานเจวี๋ยสลายแดนความฝัน กลับสู่ความเป็นจริง

เขาเข้าฝันฉิวซีไหลและเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยต่อ สั่งการแบบเดียวกัน หากผานซินไปหาพวกเขาอีก ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธตรงๆ

หลังจัดการเสร็จ หานเจวี๋ยสอดส่องสิงหงเสวียนเป็นอันดับแรก ตัวอ่อนในครรภ์ยังอยู่ระหว่างผดุงครรภ์ สัญญาณชีพล้ำหน้าเกินสิ่งมีชีวิตทั่วไปของแดนเซียนแล้ว ตบะของสิงหงเสวียนเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มารดาปรานี บุตรมีใจกตัญญู เกื้อกูลส่งเสริมกัน

หานเจวี๋ยยิ่งคาดหวังในตัวบุตรชายคนเล็กนี้มากขึ้นไปอีก

จู่ๆ เขาก็นึกถึงหานทั่วขึ้นมา

หลังจากบุตรชายคนเล็กคลอด เขาคงปล่อยบุตรชายคนเล็กออกไปไม่ได้ ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้จำเป็นต้องเลี้ยงดูไว้ข้างกาย แต่หากให้หานทั่วทราบเข้า เด็กคนนี้จะคิดไปในทางอื่นหรือไม่

หากมองอย่างอย่างใจเขาใจเรา หากหานเจวี๋ยเป็นหานทั่ว ก็คงรู้สึกหดหู่ใจ

ถึงแม้หานเจวี๋ยจะคอยช่วยเหลือและให้การคุ้มครองหานทั่วอย่างลับๆ มาตลอด แต่หานทั่วก็มิได้รับทราบไปเสียหมด

คิดไปคิดมา หานเจวี๋ยตัดสินใจเข้าฝันหานทั่ว

ก่อนหน้านี้ เขาทำนายถึงหานทั่วดูก่อนแล้ว เมื่อแน่ใจว่าหานทั่วไม่มีอันตรายและกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ ถึงได้เข้าฝันเขา

หานทั่วแตกต่างกับโจวฝาน เพราะเป็นทายาทสืบสายเลือดของหานเจวี๋ย ถึงทำนายได้ง่ายยิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถวิวัฒนาการ

ในแดนความฝัน

หานทั่วลืมตาขึ้นทันที เขามองเห็นหานเจวี๋ย

เขาอดมึนงงไม่ได้

ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นล้วนมีแสงเทพบดบังอยู่ เพิ่งออกไปพบปะผู้คนด้วยรูปโฉมดั้งเดิมเมื่อไม่กี่หมื่นปีมานี้

หานทั่วรีบลุกขึ้นคารวะ น้อมพบบิดาของตน

เขาดูเก้ๆ กังๆ ยิ่งนัก ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ร่วมกับบิดาเพียงยี่สิบปีเท่านั้น สำหรับตัวเขาที่มีอายุขัยแสนกว่าปี ความทรงจำนั้นสั้นเกินไปจริงๆ สั้นจนใกล้จะเลือนรางไปแล้ว

หานเจวี๋ยมองบุตรชายที่โตจนรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง

เทียบจากครั้งก่อนที่พบหน้ากัน กลิ่นอายของหานทั่วดูแข็งแกร่งขึ้นมาก ไม่ด้อยไปกว่ายอดแม่ทัพเทพและแม่ทัพเทพสวรรค์เลย ถึงขั้นที่ท่วงท่าดูแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ

บุคลิกสุขุมมั่นคงเช่นนี้คาดว่าต้องฝ่ามรสุมมานับไม่ถ้วนแน่นอน

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่เลว สำเร็จเป็นครึ่งอริยะแล้ว ไม่ทำให้ข้าขายหน้า”

หานทั่วได้ยินก็มีสีหน้าตื้นตัน เอ่ยไปว่า “ต้องขอบพระคุณฝ่าบาทที่ช่วยดูแล และแน่นอนว่าเหตุผลที่ฝ่าบาทช่วยดูแลข้า ก็เป็นเพราะท่าน”

เขารู้แจ้งแก่ใจดี จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายดีต่อเขา แต่ก็มักเห็นเขาเป็นตัวแทนหานเจวี๋ยเสมอ

เขาถึงขั้นที่นึกสงสัยในความเกี่ยวข้องระหว่างจักรพรรดิสวรรค์และหานเจวี๋ยด้วยซ้ำ

“วันนี้เพียงมาเยี่ยมเจ้า ถือโอกาสถ่ายทอดพลังวิเศษให้เจ้าด้วย”

หานเจวี๋ยกล่าวพลางยิ้มนิดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรชายของตน เขาก็ไม่ได้วางท่าสูงส่งเย็นชา

หานทั่วตื้นตันยิ่งกว่าเดิม

หานเจวี๋ยไม่พูดไร้สาระอีก เริ่มถ่ายทอดพลังวิเศษให้

….

ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นช้าๆ

จู่ๆ เขาก็รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่บ้าง นึกถึงอดีตที่ตัวเขาก็เคยนึกโกรธเคืองที่บิดามารดาในชาตินี้ไม่สนใจไยดีตน แต่ตัวเขาเองก็กลายเป็นคนประเภทนั้นไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

แน่นอน ความหดหู่นี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าจะอย่างไร หานเจวี๋ยก็เลี้ยงดูหานทั่วจนเติบใหญ่ถึงจะปล่อยเขาจากไป

การจากไปของหานทั่วก็เป็นความต้องการของตัวเขาเอง มิใช่หานเจวี๋ยขับไล่ไสส่ง

‘ข้าไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระในจิตใจให้ตัวเอง ข้าเกิดมาชาตินี้ จะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีกำลังความสามารถก็ช่วยเหลือคนใกล้ชิดได้ แต่ไม่มีทางปล่อยให้คนใกล้ชิดมาถ่วงรั้ง’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ แววตาเด็ดเดี่ยวขึ้นมา

แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่อันที่จริงหานเจวี๋ยก็เอาใจใส่คนใกล้ชิดได้ดีมากแล้ว อย่างน้อยศิษย์ของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ถึงขั้นที่ประสบความสำเร็จและมีฐานะที่เดิมทีพวกเขาไม่มีทางได้รับมาครอบครองด้วย

หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย ปรับสภาพจิตใจ ฟื้นฟูสู่สภาวะปกติ

ในฐานะผู้ทรงพลัง จะถูกหกอารมณ์เจ็ดปรารถนาผูกมัดได้อย่างไร

หลังจากอ่านจดหมายด้วยความเพลิดเพลินจนจบ หานเจวี๋ยก็ปิดด่านฝึกบำเพ็ญต่อ

….

“ในวันนี้ ตัวข้าผานซิน ได้บุกเบิกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลขึ้นด้วยมรรคผลแห่งตน เป็นทางเชื่อมระหว่างมรรคาสวรรค์และฟ้าบุพกาล สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์สามารถเข้าสู่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล มุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาลได้ และเมื่ออยู่บนเส้นทางสวรรค์จะได้รับการคุ้มครองจากมรรคาสวรรค์!”

จู่ๆ เสียงของผานซินก็ดังก้องไปทั่วมรรคาสวรรค์

สรรพสิ่งล้วนแตกตื่นฮือฮา!

เหล่าอริยชนก็ตกตะลึงเช่นกัน

อำนาจสวรรค์มหาศาลเข้าครอบคลุมแดนเซียน และในขณะเดียวกันทางทิศบูรพาของแดนเซียน ดวงชะตามรรคาสวรรค์กลายเป็นสายพิรุณสีทองโปรยปรายลงมาก่อตัวขึ้นเป็นเส้นทางกว้างใหญ่สีทองสายหนึ่ง ตั้งต้นที่ชายขอบแผ่นดินทิศตะวันออกของแดนเซียนยืดตรงออกไปสู่ส่วนลึกของฟ้าบุพกาลด้วยความเร็วสูง

สิ่งมีชีวิตในเมืองฟ้าบุพกาลที่อยู่ใกล้ๆ กันต่างตกตะลึง

“นั่นคือเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลหรือ”

“ดวงชะตามรรคาสวรรค์มหาศาลนัก นี่คือฝีมือของอริยะหรือ”

“เหตุใดต้องไปยังฟ้าบุพกาลเล่า”

“ได้ยินว่าในฟ้าบุพกาลมีโอกาสวาสนานับไม่ถ้วนแฝงเร้นอยู่ มรรคาสวรรค์เปรียบเสมือนน้ำหยดหนึ่งของมหาสมุทรกว้างเท่านั้น”

“จะไว้ใจอริยะผานซินได้หรือ”

คำวิจารณ์เช่นนี้มิได้มีอยู่แค่ในเมืองฟ้าบุพกาลเท่านั้น แต่มีอยู่ทั่วทุกมุมในแดนเซียน

ผานซินไม่ถือว่าเป็นอริยะเก่าแก่ อีกทั้งไม่มีสำนักดวงชะตา สรรพสิ่งไม่คุ้นเคยกับเขา จึงยังมีท่าทีคลางแคลงอยู่

หานเจวี๋ยก็ได้ยินประโยคนี้เช่นกัน เขาไม่ใส่ใจเลย ฝึกบำเพ็ญต่อไป

ผานซินไม่มีทางหักหลังมรรคาสวรรค์ อย่างมากก็แค่วางแผนต่ออริยะตนอื่น

เส้นทางสวรรค์สายเดียวยังไม่นับว่าเป็นการวางแผนเล่นงานอริยะตนอื่น

เมื่อครบกำหนดปิดด่านห้าพันปี หานเจวี๋ยถึงได้ลืมตาขึ้น

ตบะของเขาเพิ่มพูนขึ้นมากเช่นเคย!

นับตั้งแต่ทะลวงระดับครั้งก่อน เวลาผ่านไปเกือบสามหมื่นปีแล้ว

ถูกต้อง นับตั้งแต่อินกั่วเทียนถูกหานเจวี๋ยสาปแช่งจนวิญญาณแปรสภาพเป็นมหามรรค เวลาก็ผ่านไปสามหมื่นปีแล้ว

เมื่อหานเจวี๋ยจมจ่อมอยู่ในสภาวะบำเพ็ญอย่างสมบูรณ์ เวลาจะผ่านไปเร็วยิ่ง

………………………………………………………………