บทที่ 686 มุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาล

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 686 มุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาล

“อีกไม่นานคงทะลวงขั้นได้แล้ว”

หานเจวี๋ยสัมผัสถึงตบะของตนได้ นึกคิดไปอย่างเป็นสุข

เขาสอดส่องแดนเซียนก่อน

เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลบุกเบิกขึ้นกว่าสามพันปีแล้ว แต่กลับไม่มีบรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวาเลย ถึงขั้นมีสิ่งมีชีวิตเข้าสู่เส้นทางนี้ไม่มากนัก

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย ท่าทางแปลกใจ

ที่แท้ผานซินและจิ้นเสินก่อตั้งสำนักดวงชะตาขึ้นแล้ว มีเพียงผู้ที่เข้าร่วมสำนักดวงชะตาของเขาที่สามารถใช้เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลได้

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าผานซินอาจมีปัญหาทางสมอง

แรกเริ่มบุกเบิกเส้นทางฟ้าบุพกาล สิ่งมีชีวิตทั่วไปไม่มีทางให้ความสนใจวิ่งกรูเข้าหามันแน่อยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็มิใช่ว่าเดินบนเส้นทางนี้แล้วจะโบยบินถึงสวรรค์ได้ในทันที

ผานซินกำหนดเงื่อนไขในการเข้าสู่เส้นทางฟ้าบุพกาลไว้ ย่อมเป็นการชะลอความโดดเด่นของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลลง

มีแต่ต้องให้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากแห่แหนเข้าสู่เส้นทาง ถึงจะบังเกิดผู้ประสบโชคเร็วขึ้น ดึงดูดสิ่งมีชีวิตให้หลั่งไหลมามากขึ้น

หานเจวี๋ยสอดส่องแดนเซียนและโลกมนุษย์สามัญ พบว่าผ่านไปห้าพันปี ปวงสวรรค์หมื่นโลกาเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมหาศาลยิ่ง

ยามนี้มรรคาสวรรค์แกร่งกล้ายิ่งนัก ประกอบกับมีเผ่าหายนะอยู่ หานเจวี๋ยเชื่อว่าไม่มีเผ่าพันธุ์ใดในฟ้าบุพกาลเทียบชั้นกับมรรคาสวรรค์ได้

หากมีกลุ่มอิทธิพลฟ้าบุพกาลเข้าโจมตีมรรคาสวรรค์อีก คงไม่ง่ายดายปานนั้น คาดว่าคงยากที่จะบุกโจมตีเข้ามาถึงมรรคาสวรรค์ชั้นในได้

หานเจวี๋ยพอใจกับพัฒนาการของมรรคาสวรรค์อย่างยิ่ง ยิ่งมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งเท่าไร เขาก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น และสามารถฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจได้

จากนั้น เขาเริ่มตรวจดูจดหมาย

[ซูฉีศิษย์ของท่านตระหนักรู้พลังวิเศษ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารมรรคาลึกลับ] x10048792

[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่าน]

[เทพมารต้องสาปศัตรูคู่อาฆาตของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านเผชิญกับการสะกดข่มจากผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคลดฮวบ]

[โจวฝานศิษย์ของท่านทำความเข้าใจเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ เรียนรู้พลังวิเศษมหามรรค ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเข้าสู่ห้วงสมุทรดวงชะตามหามรรค]

[ลี่เหยาสหายของท่านได้รับยอดสมบัติบรรพกาล ดวงชะตาเพิ่มพูน]

….

โชควาสนามากมายนัก!

คนที่หานเจวี๋ยพอใจที่สุดคือจอมเทพข่งเซวี่ย ยังคงไล่ตามต่อสู้กับเทพมารต้องสาปอยู่

ไม่ทราบเช่นกันว่าจะสังหารเทพมารต้องสาปได้เมื่อไร

หากเป็นเรื่องราวในนิยายหรือในนิทาน ตัวตนอย่างเทพมารต้องสาปไม่มีทางถูกฆ่าได้ง่ายๆ ตัวตนเช่นนั้นจะมีชีวิตยืนยาว และต้องมีสักวันที่เหยียบย่ำยั่วยุตัวเอกอย่างจอมเทพข่งเซวี่ยได้

แต่หานเจวี๋ยก็ยังคงคาดหวังในตัวของจอมเทพข่งเซวี่ยอยู่เล็กน้อย

จอมเทพข่งเซวี่ยเองก็เป็นตัวเอกมิใช่หรือ

‘หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องลงมือเอง’

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้

เขาไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ พบว่ามีสถานที่ใหม่บางแห่งปรากฏขึ้น ยกตัวอย่างห้วงสมุทรดวงชะตามหามรรคที่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไปเยือน

หานเจวี๋ยอ่านด้วยความสนใจ

หลังจากอ่านจดหมายครบหมดแล้ว เขาก็เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญทันที ไม่เจียดเวลามาเทศนาธรรมแก่เหล่าศิษย์

ฝ่าทะลวงให้ได้ในเร็ววันก่อนค่อยว่ากัน!

….

ณ แดนต้องห้ามอันธการ

ผ่านการพัฒนามานับหมื่นปี เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ยึดครองห้วงมิติแห่งหนึ่งไว้ โดยมีเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่เป็นจุดศูนย์กลาง มีทวีปมากมายนับไม่ถ้วนลอยห้อมล้อมขนาดแตกต่างกันไป นอกจากจะมีมารปีศาจคอยลาดตระเวนแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากอาศัยอยู่ด้วย

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้โจวฝานช่วยเหลือมาจากสถานที่ต่างๆ

ในฟ้าบุพกาลมีมรรคาสวรรค์น้อยซุกซ่อนอยู่มากมาย เนื่องจากเผชิญกับการรุกรานจากสิ่งอัปมงคล ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องอพยพโยกย้าย

นอกจากมรรคาสวรรค์น้อยแล้ว แดนเทพหวนปัจฉิมก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน นับตั้งแต่ผนึกแดนบรรพกาลพังทลายลง สิ่งมีชีวิตในแดนเทพหวนปัจฉิมที่หนีก็หนีไป ที่ตายก็ตายไป ยามนี้แดนเทพหวนปัจฉิมกลายเป็นดินแดนต้องห้ามอย่างสิ้นเชิง สิ่งมีชีวิตห้ามเข้าใกล้

ภายในห้องโถงชั้นแรกของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ โจวฝานนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ด้านล่างมีเงาร่างหลายสิบร่างยืนอยู่ กลิ่นอายของเงาร่างเหล่านี้ล้วนแกร่งกล้ายิ่ง ระดับอ่อนแอที่สุดก็ยังมีตบะถึงระดับจักรพรรดิเซียน

โจวฝานเปิดปากเอ่ย “ระยะนี้มีสิ่งอัปมงคลเข้าใกล้เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ พวกเจ้าจะต้องออกลาดตระเวนอย่างเข้มงวดกวดขัน”

“รับบัญชา!”

ขุนพลหลายสิบนายตอบรับอย่างพร้อมเพรียง

เวลานี้เอง ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นมา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท เทพสูงสุดหยวนสื่อเชิญท่านไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ของนิกายฉ่าน ท่านจะไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

โจวฝานโบกมือปฏิเสธ “ไม่ไป ไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับมาอีก!”

เหล่าขุนพลอดไม่ไหว พากันหัวเราะออกมา

หลังจากผนึกแดนบรรพกาลพังทลายลง เหล่าอริยะมหามรรคเสมือนลิงฝูงแตกเมื่อพฤกษาใหญ่หักโค่น ทั้งหมดอพยพออกจากแดนเทพหวนปัจฉิม ต่างคนต่างบุกเบิกดินแดนของตนขึ้น เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วฟ้าบุพกาล สรรพสิ่งต่างรู้สึกได้ว่าอริยะมหามรรคก็มิใช่ตัวตนไร้พ่ายที่ทำได้ทุกอย่างโดยไม่ทันรู้ตัว ถึงขั้นค่อนข้างน่าอนาถเสียด้วยซ้ำ

ฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เทพสูงสุดหยวนสื่อเชื้อเชิญกลุ่มอิทธิพลมากมาย เมื่อเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ไม่ไป ก็ย่อมมีกลุ่มอิทธิพลกลุ่มเล็กกลุ่มอื่นที่ไม่ไปเช่นกัน แต่ก็ส่งผลกระทบไม่มากนัก

“ระยะนี้มรรคาสวรรค์จะส่งผู้บำเพ็ญส่วนหนึ่งมา ช่วยปรับปรุงรากฐานอำนาจให้เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ พวกเจ้าอย่าได้ชักช้าโอ้เอ้”

โจวฝานสั่งการ ผู้บำเพ็ญที่เขาเอ่ยถึงย่อมเป็นศิษย์จากสำนักซ่อนเร้น เขาติดต่อหารือกับหลี่เสวียนเอ้าผ่านหมื่นโลกาฉายชัดไว้แล้ว และหลี่เสวียนเอ้ารู้สึกว่าให้เหล่าศิษย์ได้ทำความเข้าใจฟ้าบุพกาลก็นับเป็นเรื่องดี

ว่ากันตามแนวโน้มการพัฒนาของมรรคาสวรรค์ในยามนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องรุกคืบเข้าสู่ฟ้าบุพกาลแน่

หากชิงรุกคืบเข้าไปก่อน จะเป็นประโยชน์ต่อสำนักซ่อนเร้นมากกว่า

โจวฝานก็ทราบดีว่าตนไม่มีความสามารถมากพอจะดูแลจัดการกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ได้ ดังนั้นจึงขอความช่วยเหลือจากหลี่เสวียนเอ้า

หลี่เสวียนเอ้าชุบเลี้ยงศิษย์ที่มีความสามารถด้านการบริหารดูแลไว้เป็นจำนวนมาก จึงส่งไปให้ความช่วยเหลือโจวฝานได้

เหตุผลที่โจวฝานชุบเลี้ยงกลุ่มอิทธิพลขึ้นมา แท้จริงแล้วทำเพื่อสำนักซ่อนเร้น

บุญคุณของหานเจวี๋ยที่ช่วยชีวิตเขาไว้นั้นเขาไม่มีทางชดใช้คืนได้จนหมด จึงทำได้เพียงชดเชยเติมเต็มให้สำนักซ่อนเร้นแทน

หลังจากนั้นโจวฝานสั่งการอีกสองสามประโยค ให้เหล่าขุนพลจดจำไว้

ในฐานะกลุ่มอิทธิพลหน้าใหม่ ขวัญกำลังใจของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ยังคงเต็มเปี่ยมยิ่ง ตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนโอบอุ้มความหวังไว้

….

ผ่านพ้นไปอีกห้าพันปี

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น อดไม่ได้ที่จะยืดเอวบิดขี้เกียจ

สดชื่นนัก!

ใกล้จะทะลวงระดับได้แล้ว!

หานเจวี๋ยรู้สึกตื่นเต้นราวกับเล่นเกมมือถืออยู่ มีความสุขยิ่ง

เขาลองคำนวณดู อย่างมากใช้เวลาอีกสองพันปีก็น่าจะทะลวงขั้นได้แล้ว

มีความสุขนัก

ตอนนี้เขาเพิ่งอายุสองแสนสามหมื่นปีเท่านั้น หวังอย่างยิ่งว่าจะพิสูจน์มหามรรคได้ก่อนอายุครบล้านปี!

หลังจากพิสูจน์มหามรรคได้ หานเจวี๋ยไม่มีทางอวดอ้างต่อจอมอริยะเสวียนตู เขาจะฝึกบำเพ็ญต่อไป รอจนถึงตอนที่เขาบรรลุถึงระดับผู้สร้างมรรคาแล้ว เมื่อมรรคาสวรรค์เผชิญอันตราย จอมอริยะเสวียนตูสิ้นหวังหมดกำลังใจ จนเอ่ยว่าต่อให้หานเจวี๋ยพิสูจน์มหามรรคสำเร็จก็ช่วยมรรคาสวรรค์ไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นหานเจวี๋ยค่อยออกโรง กวาดล้างทุกสิ่งในเสี้ยววินาที!

แค่คิดหานเจวี๋ยก็เบิกบานยิ่งนัก

แน่นอนว่าหากมรรคาสวรรค์ไม่ประสบอันตรายตลอดไปจะดีที่สุด

หากเทียบกับการมีคนมาหาเรื่องแล้ว หานเจวี๋ยคาดหวังว่าจะไร้พ่ายในเร็ววัน ทำทุกอย่างได้ดั่งใจมากกว่า

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู เช่นเดียวกับที่ผ่านมา มีการต่อสู้ มีโอกาสวาสนา มีสถานที่ใหม่บางแห่งปรากฏขึ้น แต่ยังคงไม่ปรากฏสิ่งใดที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้

หานเจวี๋ยเพิ่งอ่านจดหมายเสร็จ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นหน้าอารามเต๋า

ฉู่ซื่อเหริน!

หานเจวี๋ยให้เขาเข้ามา

น้อยครั้งนักที่ฉู่ซื่อเหรินจะมาขอเข้าพบหานเจวี๋ย คาดว่าคงมีธุระแน่

ฉู่ซื่อเหรินคุกเข่าคารวะ จากนั้นกล่าวว่า “อาจารย์ปู่ ข้าอยากเข้าสู่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลขอรับ”

หานเจวี๋ยพบว่าฉู่ซื่อเหรินบรรลุตบะระดับเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์แล้ว ขาดไปเพียงก้าวเดียวจะบรรลุครึ่งอริยะ

คุณสมบัติของเขาเลิศล้ำเสมอมา เพียงแต่ปกติไม่ใส่ใจการบำเพ็ญนัก แต่เขาควบคุมระดับได้อย่างยอดเยี่ยม ไล่ตามกระแสจังหวะของศิษย์ระดับแนวหน้าของสำนักซ่อนเร้นทันเสมอ อีกทั้งไม่แข่งขันช่วงชิงเกียรติยศกับศิษย์คนอื่นๆ เลย

หานเจวี๋ยถาม “เพราะเหตุใด”

ฉู่ซื่อเหรินตอบ “ข้ารับรู้ได้ว่าในฟ้าบุพกาลมีโชควาสนาอย่างหนึ่งรอคอยข้าอยู่ และมิใช่แผนการที่ถูกวางไว้ เพราะชาติก่อนข้าก็เคยรู้สึกเช่นนี้ขอรับ สุดท้ายข้าก็ได้พึ่งพาโชควาสนานั้นฝ่าฟันจนสร้างชื่อในนามบรรพชนพุทธภควัตได้”

………………………………………………………………