บทที่ 667 จัดประชุมครอบครัว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 667 จัดประชุมครอบครัว

บทที่ 667 จัดประชุมครอบครัว

ปัญหาเรื่องเงินทุนเป็นสาเหตุของข้อจำกัดที่แท้จริงในการพัฒนาของตน

“ถ้าสามารถกู้เงินได้หลานสนใจไหม?” เฉินจื่ออันพูด

เมื่อได้ยินว่าสามารถกู้เงินได้ดวงตาทั้งสองข้างของซูเสี่ยวเถียนก็เป็นประกาย

สามารถกู้เงินได้!

การกู้เงินในเมืองหลวงต้องขอให้คนช่วย แต่ที่ลี่เฉิงอาจจะสะดวกกว่า

“แต่อาเขยคะหนูไม่มีอสังหาริมทรัพย์ไว้จำนองที่ลี่เฉิงนะคะ!” นี่คือปัญหาที่แท้จริง

ต่อให้ในมือเฉินจื่ออันมีอำนาจที่สามารถช่วยตนได้ แต่เธอไม่มีของที่เหมาะจะเอามาจำนอง

“ถ้าหลานตั้งโรงงานสาขาที่ลี่เฉิงก็สามารถใช้โรงงานจำนองได้แล้ว ธนาคารในลี่เฉิงจะให้เงินกู้กับหลาน!” เฉินจื่ออันตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงหลังจากรู้ว่าซูเสี่ยวเถียนกำลังสร้างโรงงานก็คิดไว้แล้ว

ซูเสี่ยวเถียนเงียบไปครู่หนึ่ง

ความจริงก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เพียงแต่หากขาดทุนจะไม่เหลืออะไรเลยจริง ๆ

“อาเขยคะถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ก็ได้ค่ะ ครึ่งปีหลังหนูจะหาคนไปสร้างโรงงานนะคะ” ซูเสี่ยวเถียนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดยิ่ง

“หนูจะไปหาใครหรือ?”

โรงงานสร้างไปแล้วแน่นอนว่าซูเสี่ยวเถียนย่อมไม่มีเวลาแล้ว การสร้างโรงงานช่วงแรกจะต้องมีคนที่พึ่งพาได้ถึงจะช่วยได้

“หนูคิดว่าจะไปลองถามพี่ใหญ่มู่มู่ค่ะ ถ้าเขาตกลงแบบนั้นก็จะเยี่ยมเลยค่ะ แต่ถ้าไม่เห็นด้วยหนูค่อยลองไปคิดดูอีกทีค่ะ”

ไม่รู้ว่ารับสมัครคนในมหาวิทยาลัยตอนนี้จะหาคนได้ไหม

น่าจะเป็นไปไม่ได้ นักศึกษามหาวิทยาลัยในตอนนี้ ก็ล้วนคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้งานที่มั่นคง เรื่องการทำงานในโรงงานเอกชนแบบนี้นักศึกษามหาวิทยาลัยน่าจะไม่ค่อยสนใจ

ซูเสี่ยวเถียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

“ฉันเอง!” ซูซื่อเลี่ยงพูดขึ้นมา

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูซื่อเลี่ยงพูด เฉินจื่ออันกับซูเสี่ยวเถียนก็ตกใจ

“ฉันเรียบจบแล้วคุณครูบอกว่าฉันสามารถไม่ใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นสักพักก็ได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ผลงานของฉัน ยิ่งไปกว่านั้นฉันว่าไม่อาจปิดประตูสร้างรถได้*[1] นะ”

ซูเสี่ยวเถียนได้ยินซูซื่อเลี่ยงพูดแบบนี้ก็รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว

เพียงแต่พี่รองไม่คิดจะหางานที่มั่นคงหรือ? หรือว่าคิดจะทำอาชีพอิสระจริง ๆ?

ในยุคสมัยนี้การทำอาชีพอิสระไม่ได้เป็นที่นิยมนัก

ถ้าพี่รองจะทิ้งงานที่เหมาะสมจริง ๆ แล้วมาเสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว

เฉินจื่ออันพูด “ซื่อเลี่ยงนายไปสมัครงานที่ศูนย์วัฒนธรรมได้นะ”

ด้วยความสามารถของซูซื่อเลี่ยงการไปทำงานที่ศูนย์วัฒนธรรมย่อมไม่มีปัญหา

“ผมคิดว่าจะใช้เวลาหนึ่งไปลองตกตะกอนความคิดดูสักหน่อยครับ แล้วปีหน้าค่อยเรียนต่อปริญญาโท” ซูซื่อเลี่ยงส่ายหัว

“ปริญญาโท? สาขาศิลปะมีชั้นเรียนปริญญาโทด้วยหรือคะ?” ซูเสี่ยวเถียนถามอย่างแปลกใจ

เดิมทีสาขาศิลปะมีชั้นเรียนปริญญาโทเร็วขนาดนี้เลยหรือ?

“ใช่ครูของฉันบอกว่าปีหน้าจะมีติวเตอร์มาประจำชั้นเรียนระดับปริญญาโท ฉันสามารถเรียนกับครูต่อได้เลย!” ซูซื่อเลี่ยงพูดต่อ “เรื่องงานรอให้เรียนจบปริญญาโทก่อนค่อยคิดอีกทีก็ยังไม่สาย”

เห็นซูซื่อเลี่ยงพิจารณาเอาเองว่าต้องการเรียนปริญญาโทในอนาคต ซูเสี่ยวเถียนก็รู้สึกมีความสุขมาก

ตอนนี้พี่รองดูไม่เลวเลยทีเดียว แต่ถ้าให้พูดอนาคตของพี่รองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้

ถึงอย่างไรในวงการศิลปะจะได้มีหน้ามีตาหรือไม่ก็พูดได้ยากจริง ๆ แต่ตอนนี้พี่รองวางแผนจะไปเรียนปริญญาโทต่อในอนาคต ไม่ว่าในอนาคตจะสอนอยู่ที่โรงเรียน หรือจะไปทำงานที่แผนกวัฒนธรรมก็ล้วนได้ทั้งนั้น

ช่วงต้นปี 1980 นักศึกษาปริญญาโทจะขาดแคลนจึงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานที่มั่นคงทำ

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ถ้าอย่างนั้นเรื่องการสร้างโรงงานต้องรบกวนพี่รองแล้วค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดด้วยรอยยิ้ม

ถ้ามีคนของตัวเองคอยเฝ้าดูจะดีกว่าไปจ้างคนนอกมารับหน้าที่มาก

แต่พี่รองต้องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ จึงไม่สามารถเฝ้าดูที่โรงงานได้ตลอด ยังต้องหาคนอื่นที่จะมารับผิดชอบหน้าที่นี้อีกจะดีกว่า

ซูเสี่ยวเถียนนึกถึงปัญหาเรื่องทหารปลดประจำการของต่งหยวนจงขึ้นมาได้จึงพูด “ก่อนหน้านี้คุณปู่รองบอกว่ามีเหล่าทหารปลดประจำการที่ไม่มีงานทำ หนูจะลองกลับไปถามดูว่าพวกเขาจะตกลงไปที่ลี่เฉิงด้วยกันกับพี่รองไหม”

ในเรื่องนี้ซูเสี่ยวเถียนวางใจต่งหยวนจงมาก

หากต่งหยวนจงคิดว่าคนคุ้มค่าถึงอย่างไรก็ต้องคุ้มค่าแน่นอน

ซูซื่อเลี่ยงคาดไม่ถึงว่าซูเสี่ยวเถียนจะต้องการให้คนอื่นไปกับเขาด้วย

ซูเสี่ยวเถียนมองความคิดของซูซื่อเลี่ยงออกจึงยิ้มและอธิบาย “พี่รองพี่เป็นคนที่ต้องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะไม่อาจมาอยู่ในโรงงานทั้งวันทั้งคืนได้ ขอเพียงสนใจเป็นครั้งคราวก็ได้ เรื่องจัดการงานอย่างละเอียดให้คนอื่นทำเถอะค่ะ”

ซูซื่อเลี่ยงคิดว่าคำพูดนี้สมเหตุสมผลจึงพยักหน้า

เฉินจื่ออันมองพี่น้องทั้งสองคนที่ตัดสินใจเรื่องใหญ่ได้ย่างรวดเร็วก็ยิ้มออกมา

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้เป็นอันตกลงตามนี้นะ?”

ตกดึกหลังจากส่งพวกเฉินจื่ออันเดินทางออกจากเมืองหลวง คุณย่าซูก็เพิ่งรู้ว่าซูเสี่ยวเถียนวางแผนจะเปิดโรงงานสาขาย่อยที่ลี่เฉิง

ยิ่งไปกว่านั้นซูเสี่ยวเถียนยังต้องการไปกู้เงินมาเปิดโรงงานด้วย

เมื่อคิดว่าตัวของซูเสี่ยวเถียนต้องถูกกดดันจากเงินกู้หลายหมื่นหยวน หากต้องการกู้ยืมเงินอีกเด็กคนนี้จะไม่ถูกหนี้กดดันจนหมดแรงหรือ

คุณย่าซูคิดใคร่ครวญก่อนจะตัดสินใจไปปรึกษากับคุณปู่ซู

“ตาเฒ่าคุณว่าของที่พวกเราเก็บไว้ พวกเราเอาออกมาตอนนี้ดีไหม?” คุณย่าซูถามหยั่งเชิง

ก่อนหน้านี้แม้ว่าทุกคนจะบอกว่านโยบายมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่เธอก็ยังไม่กล้าคิดเคลื่อนย้ายสมบัติเหล่านี้ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณย่าซูก็ไม่คิดจะให้ซูเสี่ยวเถียนกดดันมากเกินไปจึงมีความคิดเช่นนี้

“เธอกังวลว่าเสี่ยวเถียนจะกดดันเรื่องการยืมเงินมากเกินไปหรือ?” คุณปู่ซูจะไม่เข้าใจความคิดของคุณย่าซูได้อย่างไร

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นคุณย่าซู หรือคุณปู่ซูก็ใคร่ครวญปัญหานี้เหมือนกัน

“ตาเฒ่าคุณคิดว่ายังไง? ดีหรือเปล่า?” คุณย่าซูถามซ้ำ

“เรื่องนี้ฉันว่าดีทีเดียวแต่การจะเอาสมบัติออกไปขายที่ลี่เฉิงก็ยากเกินไป” คุณปู่ซูพูดอย่างกังวล

ไม่ใช่แค่แท่งสองแท่งแต่เป็นทองคำทั้งกล่อง!

คุณย่าซูขมวดคิ้ว ใช่นี่เป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข บนรถไฟก็ไม่ปลอดภัย

“ตาเฒ่าพวกเราคิดมากเกินไปแล้ว ฉันว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่นักหรอก” คุณย่าซูนึกขึ้นได้ว่าพวกเด็ก ๆ ต่างขนส่งสินค้าจำนวนมากกลับมาได้ ไม่แน่อาจมีวิธีเอาทองคำไปลี่เฉิงและหรงเฉิงได้

รุ่งสางคุณย่าและคุณปู่ก็จัดประชุมครอบครัว

ตอนนี้ลูกชายลูกสะใภ้รวมถึงพวกหลาน ๆ ก็อยู่ที่บ้านพอดีจึงจะมาพูดคุยเรื่องนี้กัน

“ฉันกับตาเฒ่ามีเรื่องจะมาปรึกษาทุกคน ให้ทุกคนออกความเห็นของตัวเองมา!”

ซูเสี่ยวเถียนเห็นคุณปู่และคุณย่าเอาจริงเอาจังมากแบบนี้ ก็คิดว่าอาจมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ซูเสี่ยวเถียนคิดครู่หนึ่งก็คิดไม่ออก

“พ่อครับ แม่ครับ พวกคุณมีอะไรก็พูดมาได้เลยครับจะปรึกษาเรื่องอะไรหรือครับ?” ซูเหล่าเอ้อร์พูดอย่างเรื่อยเฉื่อย

วันนี้เขากับภรรยาวางแผนว่าจะกลับแล้ว เพราะไม่อาจปิดร้านนานเกินไปได้

เขายังคาดหวังจะพึ่งร้านนี้หาเงินเพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ดี

กลับกันเป็นซูเหล่าต้าที่เหมือนจะคาดเดาบางอย่างได้จึงไม่พูดอะไรสักประโยค ทำเพียงแค่รอให้คุณปู่ซูเปิดปากพูดเท่านั้น

[1] ประตูสร้างรถได้ หมายถึง การทำงานโดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริง