เมื่อเสียงพิณอันงดงามอ่อนโยนแฝงความโศกสลดสุดพรรณนาดังก้องอุโบสถหลังใหญ่ ข้าก็จมดิ่งลงสู่ห้วงความทรงจำอีกครั้ง
แรกเริ่มเสียงพิณละเมียดละไมงดงามดั่งหยาดฝนวสันต์พันหมื่นสายซึมซาบลงสู่ดินโคลน ดุจบุปผาวสันต์บานสะพรั่งหลากหลายสีสัน หลังจากนั้นความสวยสดงดงามก็กลับคืนสู่ความนิ่งสงบ ในความอ่อนโยนแฝงความรักอันลึกซึ้ง ทว่าทันใดนั้น เสียงเศร้าสร้อยพลันดังโดด สายลมสารทฤดูอันเปล่าเปลี่ยว หิมะหนาวเหน็บโถมพสุธา ความรักลึกล้ำกลับเป็นต้นตอแห่งทุกข์ คู่ครองพลัดพรากจากจร หลังจากนั้นท่วงทำนองพลันเปลี่ยนกลายเป็นเชื่องช้าระทมขมขื่น นั่นคือความเศร้าเสียใจอันสลักลึกถึงกระดูก
หยดน้ำตาคลอเอ่อในดวงตาทั้งสอง ข้าครวญบทกวีแผ่วเบา “หวนผ่านชางเหมินหาเหมือนเก่าก่อน จากจรเคียงคู่ไยกลับลำพัง หิมะกร่อนอู๋ถงยืนแห้งกรัง เคยร่วมรังกลับพลัดพรากให้เดียวดาย น้ำค้างต้องแดดรอนเหือดหาย สุสานใหม่ริมเรือนเก่าชวนคะนึงมิคลาย นอนเปล่าเปลี่ยวฟังพิรุณโปรยปราย ไม่มีแล้วคืนค่ำเจ้าคอยปะอาภรณ์”
ชั่วชีวิตของท่านพ่อช่างทุกข์ทนนัก แม้นมีความสามารถเปี่ยมล้น แต่เพราะโลกหล้าโกลาหลจึงยินดีหลีกเร้นทั้งชีวิต โชคดีได้พบคู่ครองที่รักใคร่ แต่ระหว่างทางกลับพรากจากกันกลางทาง สุดท้ายก็ทอดทิ้งข้าเด็กกำพร้าคนนี้ แล้วจากโลกไปอย่างหมองหม่น
เพลงพิณจบลงแล้ว เกาเหยียนเอ่ยขออภัย “เพลงบทนี้ลุ่มลึกนัก ฉุกละหุกเช่นนี้ ข้าดึงห้วงอารมณ์ออกมาได้เพียงสามถึงสี่ส่วน ขอสหายเจียงอภัยด้วย”
ข้าถอนหายใจกล่าวว่า “ซวี่จือไฉนจึงเอ่ยเช่นนี้ ได้ฟังบทเพลงนี้อีกหน เจียงเจ๋อก็ซาบซึ้งยิ่งนักแล้ว แม้บนโลกนี้มีผู้ชำนาญเพลงพิณมากมาย ทว่าเพลงนี้เป็นบทเพลงที่บิดาประพันธ์ ข้ามิยินดีให้คนไร้ฝีมือดีดมัน ครั้งก่อนที่ได้ยินบทเพลงนี้ก็สิบเจ็ดปีเต็มแล้ว ขอบคุณซวี่จือยิ่งนักที่บรรเลงพิณเพื่อข้า”
ดวงตาเกาเหยียนฉายแววเศร้าสร้อย ในใจคิดว่าเรื่องที่ข้าทำเพื่อท่านได้คงมีเพียงเรื่องนี้แล้ว เมื่อนึกถึงความกระอักกระอ่วนที่ต้องเผชิญยามที่ตนต้องเปิดเผยตัวตนลอบสังหารเจียงเจ๋อ หัวใจของเกาเหยียนก็ยิ่งเป็นทุกข์
เวลานี้เอง คำถามที่ราวกับอสนีบาตฟาดก็ดังลอยเข้ามาในหูเขา “ซวี่จือ ท่านคิดว่าสงครามระหว่างต้ายงกับเป่ยฮั่น ผู้ใดจะชนะ ผู้ใดจะปราชัย”
เกาเหยียนหัวใจสั่นไหว ได้สติกลับมาทันใด คนตรงหน้าตนผู้นี้ไม่เพียงเป็นสหายรู้ใจผู้เมตตาตนเองอย่างยิ่งคนหนึ่ง แต่ยังเป็นเสนาธิการของต้ายง เป็นศัตรูของเป่ยฮั่นด้วย เขาก้มหน้าลง สงบอารมณ์ตกตะลึงครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ข้าเป็นคนนอก มิทราบเรื่องเหล่านี้ดีนัก แต่ต้ายงมีทหารนับล้านและยึดครองภาคกลางอยู่ เป่ยฮั่นอาณาเขตเล็กกระจ้อย กำลังทหารอัตคัด เป็นเช่นนี้นานวันคงแพ้พ่ายอย่างแน่นอน ทว่าทางใต้ของต้ายงยังมีภัยรุมเร้าอยู่ หากเผชิญศัตรูรอบด้าน ไม่แน่เป่ยฮั่นอาจยังมีโอกาสต่อลมหายใจ”
คำพูดนี้ของเขาเอ่ยออกมาจากใจจริง เขาทราบว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีต่อเป่ยฮั่นยิ่งนัก หากมิใช่เช่นนั้น เขาก็คงไม่ขันอาสาเดินทางมาลอบสังหารเจียงเจ๋อ นี่หาใช่วิธีการอันชอบธรรมในการรบไม่ เขาทราบดีว่าหากต้องการปิดบังสายตาของเจียงเจ๋อ วิธีการอันดีที่สุดก็คือกล่าวความจริง
เป็นดังคาด เจียงเจ๋อพยักหน้ากล่าวว่า “แม้ซวี่จือมาถึงจงหยวนมินาน แต่นับว่าทราบสถานการณ์อยู่บ้าง ท่านกล่าวไม่ผิด ยามนี้ต้ายงอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ หากยกพลบุกเป่ยฮั่นสำเร็จในครั้งเดียว การรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น หากครั้งนี้บุกขึ้นเหนือล้มเหลว น่าสงสารก็แต่ประชาชนทั้งหลาย มิทราบว่าต้องทนทุกข์กับสงครามอีกนานเท่าใด”
เกาเหยียนหัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แม้เขาทราบว่าปีหน้าจักต้องมีสงครามบังเกิดแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อจะมองเรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ถึงขนาดที่คิดจะบุกครั้งเดียวให้สำเร็จ ในใจเขาตกตะลึงอยู่เล็กน้อย แต่มิกล้าเผยออกมา กลับตอบอย่างนิ่งสงบ “ข้ามิทราบการใหญ่เกี่ยวกับสงครามและแว่นแคว้นมากนัก ทว่าใต้เท้าเป็นถึงขุนนางคนสำคัญของต้ายง คำที่กล่าวคงมิผิดพลาด”
ข้ายิ้มละไมตอบว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ นำธูปมาอีกดอก ข้าจะเซ่นไหว้สหายเก่าคนหนึ่ง”
เสี่ยวซุ่นจื่อส่งธูปอีกหนึ่งดอกมาให้ ข้าถือธูปคำนับหลายครั้ง หลังจากนั้นจึงให้เสี่ยวซุ่นจื่อปักมันไว้ในกระถางธูป ข้าสวดภาวนาอย่างเงียบงันครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ซวี่จือทราบหรือไม่ว่าสหายเก่าที่ข้าเซ่นไหว้คือผู้ใด”
เกาเหยียนตะลึงเล็กน้อย เขาจะรู้ได้เช่นไรเล่า จากนั้นจึงเอ่ยตอบว่า “ข้ามิทราบ แต่ผู้ที่ใต้เท้าตั้งใจเซ่นไหว้ย่อมมิใช่บุคคลธรรมดากระมัง”
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา ตอบว่า “ผู้ที่ข้าเซ่นไหว้เมื่อครู่ก็คืออดีตเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ย เจียงเจ๋อเคยทำงานใต้บัญชาของเขา เต๋อชินอ๋องคุณธรรมสูงส่ง เป็นขุนนางน้ำดีผู้จงรักภักดี เจียงเจ๋อนับถือยิ่งนัก วันนี้นึกถึงเรื่องในวันวาน จึงเซ่นไหว้เขา ณ ที่นี้ด้วย”
เมื่อคำนี้ถูกเอ่ยออกมา หัวใจของเกาเหยียนก็ตกตะลึง หากเป็นเกาเหยียนตัวจริงย่อมมิทราบเรื่องราวในอดีตระหว่างเจียงเจ๋อกับเต๋อชินอ๋อง แต่ชิวอวี้เฟยทราบดี เขาลังเลอยู่หลายหน ในที่สุดก็อดใจมิไหว ถามออกมาว่า “ข้าเคยได้ยินเรื่องระหว่างใต้เท้ากับเต๋อชินอ๋อง ได้ยินว่าเต๋อชินอ๋องชื่นชมใต้เท้ายิ่งนัก ท่านติดตามเขาออกรบถึงสู่จงจนได้ชัยชนะกลับมา
ต่อมาเต๋อชินอ๋องสิ้นใจที่เซียงหยาง ใต้เท้าก็เคยเดินทางพันลี้เพื่อไปหา หลังจากนั้นใต้เท้าถวายหนังสือจนถูกปลด แล้วถูกจักรพรรดิต้ายงองค์ปัจจุบันจับตัวมาฉางอัน จนสุดท้ายยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา ได้ยินว่าหลังจากนั้นข้ารับใช้เก่าของเต๋อชินอ๋องทำตามคำสั่งเสียของท่านอ๋องมาลอบสังหารใต้เท้า จนใต้เท้าเกือบวายปราณ เหตุไฉนจนวันนี้ใต้เท้ายังคิดถึงเต๋อชินอ๋องอีกเล่า”
ข้ามองควันธูปที่ลอยวนเวียนแล้วตอบว่า “เต๋อชินอ๋องเป็นขุนนางภักดีที่ถูกแคลงใจจนวายชีวา ณ เซียงหยาง เวลานั้นเจียงเจ๋อเองก็ทำงานให้เขา ตั้งแต่เล็กเจียงเจ๋อเติบโตที่หนานฉู่ หากเป็นไปได้ย่อมหวังให้หนานฉู่รวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ในอดีตจึงช่วยเหลือเต๋อชินอ๋องบุกสู่จง แม้ในใจทราบว่าเป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่ก็ปรารถรนาจะทุ่มสุดแรงกายเพื่อแว่นแคว้น
น่าเสียดายหลังเต๋อชินอ๋องจากไป หัวใจของเจียงเจ๋อก็ท้อแท้ ไม่เหลือความหวังกับหนานฉู่อีกแม้แต่น้อย ยามนั้นยงอ๋องจับตัวข้ามาต้ายง ความจริงในใจข้ามิยินดีสวามิภักดิ์ จึงจงใจสร้างความลำบากใจให้องค์ชาย มิว่าหนานฉู่ปฏิบัติต่อข้าเช่นไร สุดท้ายแล้วข้าก็ยังนึกถึงบุญคุณของหนานฉู่
จนปัญญาที่องค์ชายมีเมตตามอบให้มากมายเท่าฟ้า ข้าคนธรรมดาคนหนึ่งไฉนจะมิรู้สึกซาบซึ้ง ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดจึงยอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย
แม้เป็นเช่นนี้ หัวใจข้าก็ยังรู้สึกผิดต่อเต๋อชินอ๋อง การลอบสังหารครั้งนั้นกลับทำให้ข้าทราบว่าสำหรับเต๋อชินอ๋อง แว่นแคว้นสำคัญเหนือทุกสิ่ง ตัวข้าเจียงเจ๋อเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง หากมีประโยชน์ต่อหนานฉู่ย่อมต้องการดึงมาเป็นพวก หากเป็นอันตรายจักต้องกำจัดทิ้ง ทว่าแม้นหัวใจข้าเจ็บปวด แต่ก็นับถือหัวใจภักดีของเขายิ่งนัก”
เกาเหยียนมึนงงเล็กน้อย มิทราบว่าเหตุใดพูดถึงเป่ยฮั่น จู่ๆ เจียงเจ๋อจึงกล่าวถึงหนานฉู่
เวลานี้เอง ข้าจึงรับธูปมาคารวะอีกหนึ่งดอกแล้วกล่าวว่า “เต๋อชินอ๋องเป็นสหายเก่าของข้า แต่แม่ทัพถานจี้ ข้ามิเคยพบหน้า ธูปดอกนี้หวังว่าแม่ทัพถานจะพักผ่อนอย่างเป็นสุขในปรภพ ในอดีตเต๋อชินอ๋องสิ้นใจด้วยข้าไร้ความสามารถ แต่วันนี้ความตายของแม่ทัพถานข้าเป็นผู้วางแผนด้วยมือตน แม่ทัพถานภักดีต่อเป่ยฮั่นดุจเต๋อชินอ๋องภักดีต่อหนานฉู่ ทั้งสองล้วนเป็นขุนนางผู้ภักดีกล้าหาญ เป็นผู้ที่หัวใจของเจียงเจ๋อนับถือ แม้สิ่งที่เจียงเจ๋อทำ ทั้งสองคนคงนึกเคียดแค้น แต่ทุกคนล้วนทำเพื่อนายของตน หวังว่าทั้งสองท่านจะอภัย”
เกาเหยียนตกตะลึงอยู่ในใจ คิดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อจะเซ่นไหว้ถานจี้ด้วย เขายิ่งฉงนสนเท่ห์ แต่แล้วก็เห็นเจียงเจ๋อจุดธูปอีกหนึ่งดอก ภาวนาว่า “ธูปดอกที่สี่นี้ขอสวรรค์โปรดอภัย เจียงเจ๋อทราบว่าแม่ทัพหลงแห่งเป่ยฮั่นเป็นยอดแม่ทัพและขุนนางผู้ภักดี ข้ามิสมควรสมคบคนถ่อยลอบวางแผนทำร้าย แต่เมื่อสงครามบังเกิด ซากศพกองเกลื่อนทุ่งกว้าง หากทหารมิต้องเสียเลือดเนื้อได้ เจียงเจ๋อก็ยินดีแบกรับชื่อเลวทรามนี้ไว้”
ฟังมาถึงตรงนี้ เกาเหยียนแทบจะหลุดอุทานออกมา นี่หมายความว่าอย่างไร คนผู้นี้เล็งเป้าหมายไปที่หลงถิงเฟยหรือ สมคบกับคนถ่อยหมายความเช่นไร หรือเรื่องที่ใต้บัญชาของหลงถิงเฟยมีไส้ศึกทรยศจะเป็นความจริง เวลานี้ในใจเขาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัยจนแทบจะลืมเลือนความซาบซึ้งและนับถือที่เกิดขึ้นในหัวใจเมื่อครู่ แต่เขาก็ฉุกคิดได้อย่างฉับไว หรือความจริงแล้วเจียงเจ๋อฉวยโอกาสหยั่งเชิงเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงแสร้งทำสีหน้ามึนงงสับสนคล้ายไม่เข้าใจความนัยในถ้อยคำของเจียงเจ๋อ
ข้ารอจนกระทั่งธูปหมดดอก จึงเอ่ยกับเกาเหยียนว่า “ข้าสั่งให้คนเตรียมสี่สมบัติแห่งห้องอักษรไว้แล้ว วันพรุ่งนี้จะออกเดินทางกลับค่าย เกรงว่าซวี่จือคงไม่มีโอกาสได้อ่านตำราพิณเล่มนี้อีก เชิญไปคัดลอกไว้ก่อนเถิด”
สายตาของเกาเหยียนเลื่อนมาจับบนตำราพิณ เขาแทบจะลืมอันตรายที่เป่ยฮั่นเผชิญจนสิ้น ในใจเขาคิดว่าต่อให้ตนเองจะทราบสิ่งใดมาก็มิอาจกลับไปเตือนหลงถิงเฟยยามนี้ได้ คัดลอกตำราพิณก่อน เรื่องที่เหลือหลังจากนี้ค่อยว่ากันเถิด
เสี่ยวซุ่นจื่อมองแผ่นหลังของเกาเหยียนแล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณชายเหตุใดจึงทำเช่นนี้ การสืบข้อมูลของคนผู้นี้ยังมิทันทราบผล คุณชายก็แทบจะทำเหมือนเขาเป็นผู้บริสุทธิ์มิเกี่ยวข้อง แล้วยังปฏิบัติต่อเขาเสมือนสหายสนิท แต่เมื่อครู่กลับจงใจชักนำเขาให้เข้าใจผิด บ่าวมิทราบว่าคุณชายตั้งใจเช่นไรกันแน่”
ข้าถอนหายใจเอ่ยว่า “มิต้องสืบแล้ว ข้าแน่ใจแล้วว่าคนผู้นี้ต้องเป็นมือสังหารของเป่ยฮั่นเป็นแน่”
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อทอประกายวูบหนึ่ง แล้วพลันเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณชายแน่ใจแล้ว บ่าวก็เชื่อว่าต้องมีหลักฐาน ถ้าเช่นนั้นคุณชายมิเตรียมการสังหารเขาหรือ”
ฮูเหยียนโซ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างสับสนมึนงงอยู่นานแล้ว เมื่อครู่ยามฟังคำพูดที่เจียงเจ๋อเซ่นไหว้เต๋อชินอ๋อง ในใจเขารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก คำพูดต่อมาเขายิ่งฟังไม่ค่อยเข้าใจ แผนการที่เจียงเจ๋อดำเนินการอยู่ นอกจากฉีอ๋องก็มีเพียงเสี่ยวซุ่นจื่อที่ทราบแผนการทั้งหมด ฮูเหยียนโซ่วรู้เพียงบางส่วนผิวเผินเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าเจียงเจ๋อกล่าวจริงหรือลวง เรื่องเหล่านี้เขาต้องเขียนรายงานลับถวายแด่ฝ่าบาท แต่หากชักนำให้ฝ่าบาทคลางแคลงใต้เท้าขึ้นมาเล่า นั่นสมควรจะทำเช่นไรดี
ฮูเหยียนโซ่วตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากที่ไม่ว่าเลือกซ้ายหรือขวาก็ลำบากใจ ยามนี้เมื่อได้ยินเจียงเจ๋อกับเสี่ยวซุ่นจื่อสนทนากัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าอย่างน้อยคำพูดเมื่อครู่ของใต้เท้าเจียงก็เป็นคำพูดที่ชักนำเกาเหยียนให้เข้าใจผิด แต่เหตุใดใต้เท้าเจียงจึงมั่นใจปานนั้นว่าเกาเหยียนเป็นมือสังหาร