ภายในห้อง แสงโคมริบหรี่ดั่งเมล็ดถั่ว หัวใจข้าหมองเศร้ายากหลับใหล เสี่ยวซุ่นจื่อผลักประตูเข้ามา ส่งม้วนสารในมือมาให้ “นี่คือข่าวเกี่ยวกับเกาเหยียน หากมิใช่คุณชายแน่ใจแล้วว่าคนผู้นี้เป็นมือสังหารของเป่ยฮั่น ข้าก็มองไม่ออกว่ามีความผิดปกติที่ใด”
ข้าเอ่ยเสียงราบเรียบ “จวงจวิ้นมาแล้วหรือยัง ให้เขาทำหน้าที่วันพรุ่งนี้ เรื่องนั้นนับเป็นเรื่องบังเอิญยิ่งนัก เกาเหยียนเดิมทีเป็นคนที่มีอยู่จริง ตอนนี้ตัวเขาคงอยู่ในเป่ยฮั่น การที่คนผู้นี้สวมรอยมา เดิมทีไม่มีช่องโหว่อันใด น่าเสียดายที่กลับกลายเป็นว่าสมบูรณ์มากเกินไปจนเกิดเป็นช่องโหว่
พิณโบราณ ‘สี่เฉิน’ นั่นเป็นช่องโหว่ข้อใหญ่ที่สุด แม้พิณคันนี้ราชวงศ์เกาลี่จะเป็นผู้เก็บรักษาไว้จริง แต่น่าเสียดาย หลายปีก่อนถูกคนขโมยออกมาจากพระราชวัง เปลี่ยนมือจนมาถึงเจียงหนาน ผู้ที่รับซื้อของโจรเอาไว้ก็คือหอกลไกสวรรค์ ข้ายังเคยไปประเมินค่าพิณเล่มนี้กับตาตนเองมาแล้ว ลายร้าวตรงส่วนท้ายของพิณ ข้าเป็นผู้ตรวจสอบและซ่อมแซมด้วยตนเอง
พิณเล่มนี้ถูกข้าลักลอบนำออกมาประมูล มีผู้คนน้อยนิดที่ล่วงรู้ แต่มิว่าผู้ที่ซื้อพิณไปคือผู้ใด ล้วนไม่มีทางเป็นเกาเหยียนตัวจริง ข้าคิดว่าคนผู้นี้แต่เดิมคงคิดจะใช้ประโยชน์จากพิณโบราณเล่มนี้เพื่อปิดบังตัวตน แต่น่าเสียดายกลับทิ้งช่องโหว่เช่นนี้เอาไว้”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างเสียดาย “น่าเสียดายความสามารถของคนผู้นี้ เป็นวิญญูชนดีๆ เหตุไฉนมาเป็นโจร แต่ในเมื่อเขามาเพื่อคุณชาย คุณชายเองก็คิดจะใช้ประโยชน์จากคนผู้นี้ แล้วเหตุใดจึงมอบตำราให้ มิน่าเสียดายหรอกหรือ”
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา “แม้ใจข้าคิดใช้ประโยชน์จากคนผู้นี้ แต่ความคิดที่จะมอบตำราให้ก็เป็นความต้องการจากใจจริง คนผู้นี้จิตใจดีมีคุณธรรม รักเสียงพิณดั่งชีวิต ตำราพิณเล่มนี้มอบให้เขาดีที่สุดแล้ว หวังเพียงว่าคนผู้นี้จะไม่ยึดติดเกินไป เก็บชีวิตเอาไว้สร้างประโยชน์ต่อ อย่าได้ทรยศตำราพิณของข้า ทว่าแม้มิทราบตัวตนของเขา ผู้มีความสามารถเช่นนี้ก็ไม่น่าจะใช่คนธรรมดา ข้าคิดว่าเขาน่าจะนำตำราพิณกลับไปถึงเป่ยฮั่นได้”
เสี่ยวซุ่นจื่อถาม “ถ้าเช่นนั้นคุณชายยังจะใช้หลิงตวนอีกหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น หากปล่อยให้เกาเหยียนลอบสังหารคุณชายก็ออกจะเสี่ยงอันตรายเกินไปสักหน่อย ร่างกายคุณชายมีค่าพันตำลึงทอง ไฉนจะนำไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ได้”
ข้าหัวเราะ “วันพรุ่งนี้มีเจ้าอยู่ข้างกายข้า ทั้งยังรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะลงมือ เขายังจะฉวยโอกาสได้อีกหรือ เจ้าวางใจเถิด วันพรุ่งนี้ทำตามแผนการก็พอ”
ยามดึกท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ เกาเหยียนนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือขยับพู่กันอย่างว่องไว เร่งรีบคัดลอกตำราพิณ เวลานี้การลอบสังหารอันใด เป่ยฮั่นต้ายงอันใด ถูกเขาโยนทิ้งออกไปจากสมองนานแล้ว คัดลอกจนกระทั่งเที่ยงคืนยามสาม ในที่สุดก็เสร็จสิ้น เกาเหยียนตรวจทานตั้งแต่ต้นจรดท้ายหนึ่งรอบ เมื่อไม่พบข้อตกหล่น จึงเก็บตำราพิณที่คัดลอกเสร็จอย่างทะนุถนอม แล้ววางตำราพิณที่เจียงเจ๋อให้เขายืมไว้อย่างเรียบร้อย เตรียมส่งคืนให้วันพรุ่ง หลังทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น เกาเหยียนก็ถอนหายใจเสียงเบา
วันพรุ่งยามออกเดินทาง ตนจะฉวยโอกาสลงมือแล้ว หากต้องติดตามไปถึงค่ายทหาร ต่อให้ลอบสังหารสำเร็จก็คงยากจะหนีออกมาได้ เดิมทีเขาเตรียมตัวแลกชีวิตปะปนเข้าไปในค่ายทหารของต้ายง แต่ตอนนี้มีโอกาสอันหายากที่องครักษ์ข้างกายเจียงเจ๋อไม่มากนัก หากวันพรุ่งลอบสังหารไม่สำเร็จ เกรงว่าตนคงยากจะหนีพ้นจริงๆ
แต่ได้ยินมาว่าเงามารหลี่ซุ่นวรยุทธ์สูงส่ง ตนจะปิดบังหูตาของเขาลอบจู่โจมสายฟ้าแลบสักหนหนึ่งได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ลอบสังหารสำเร็จ เกรงว่าตนก็คงนึกเสียใจชั่วชีวิต เกาเหยียนลอบหัวเราะขมขื่นอยู่ในใจ
ตลอดทั้งคืน ผู้ที่ยากจะหลับใหลมิใช่เพียงเกาเหยียนผู้เดียว ค่ำคืนนี้หลิงตวนก็ยากจะหลับใหลเช่นเดียวกัน เมื่อวานยามมาถึงวัดวั่นฝัว เดิมทีเขาตั้งใจจะฉวยโอกาสยามราตรีหลบหนี แต่เมื่อมาถึงได้ไม่นานก็พบว่าราชองครักษ์หู่จีข้างกายเจียงเจ๋อทยอยมาถึงและควบคุมวัดวั่นฝัวไว้อย่างแน่นหนา นี่ยังมิเท่าไร หลิงตวนเชื่อว่าตนยังมีโอกาสหลบหนี ถึงอย่างไรตนก็มิได้ถูกคนเฝ้าจับตามองนัก
แต่เมื่อคืนวาน องครักษ์ที่พักห้องเดียวกับตนนำยารักษาอาการบาดเจ็บมาให้หนึ่งถ้วย เพราะตอนกลางวันตนประมือกับฮูเหยียนโซ่วจนได้รับบาดเจ็บประมาณหนึ่ง ตนจึงมิได้ปฏิเสธ มิทราบว่าองครักษ์ผู้นั้นเจตนาหรือไม่ ในยาจึงผสมยานอนหลับเอาไว้เล็กน้อย ทำให้ตนหลับสนิททั้งคืน
วันนี้หลิงตวนจึงลอบเทยาทิ้งและแสร้งทำเป็นหลับ องครักษ์ผู้นั้นอยู่ในห้องด้วย หลิงตวนจึงมิกล้าขยับตัวเพราะเกรงว่าจะทำให้องครักษ์ผู้นั้นรู้ตัว เขาทราบมาว่าวันพรุ่งนี้จะออกเดินทางกลับแล้ว หากไม่คิดหาวิธีหลบหนีอีก ตนก็จะไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ
เขามิต้องการถูกสังหารปิดปากอย่างไร้สาเหตุในวันใดวันหนึ่งเช่นเดียวกับหลี่หู่ เขาขบคิดเรื่องนั้นมานานนัก สุดท้ายก็ได้แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสืออิง แต่ขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับพลทหารตัวน้อยเช่นหลี่หู่อย่างไร เหตุไฉนหลี่หู่จึงต้องพบเรื่องน่าสลดเช่นนี้
ในที่สุดค่ำคืนก็เงียบสงัด หลิงตวนลุกขึ้นอย่างแผ่วเบาแล้วเดินไปถึงข้างกายองครักษ์ผู้นั้น กำลังคิดจะฉวยโอกาสที่เขาหลับสนิทสังหารเขาเสีย แต่เมื่อคิดอีกครั้งหนึ่ง องครักษ์ผู้นี้วรยุทธ์สูงกว่าตนเอง หากไม่ระวังปลุกผู้อื่นตื่นขึ้นมา เขาคงยากจะหนีเอาชีวิตรอด ยิ่งไปกว่านั้น หากตนทำเช่นนี้ก็ออกจะเนรคุณอยู่เล็กน้อย หลายวันนี้องครักษ์ผู้นี้ดูแลตนเป็นอย่างดี เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เพียงสกัดจุดหลับขององครักษ์ผู้นั้นเบาๆ ไม่ให้เขาตื่นขึ้นมาเท่านั้น
หลิงตวนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กวาดเงินบนร่างขององครักษ์ผู้นี้ไปจนหมดอย่างไม่เกรงใจ เขามิใช่วิญญูชนและเข้าใจดีว่าหากไร้ทุนรอนย่อมยากจะเดินทางต่อ เขาเปลี่ยนมาสวมชุดธรรมดา ทับด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ จากนั้นจึงเล็ดลอดออกจากห้อง
บางทีอาจเป็นเพราะเขามิได้ถูกจับตามองมากนัก ห้องแห่งนี้จึงเรียกได้ว่าอยู่ค่อนข้างห่างไกล ขอเพียงทะลุผ่านแนวป้องกันสองแห่งไปได้ก็น่าจะไม่มีอันตรายแล้ว แน่นอนว่าวันพรุ่งนี้หลังจากพวกเขารู้ตัว อาจส่งกองทหารไปค้นหาตน แต่อาศัยความชำนาญภูมิประเทศแถบเจ๋อโจว หลิงตวนคิดว่าตนมีโอกาสประมาณหนึ่งที่จะลัดเลาะข้ามเขากลับไปยังชิ่นโจวได้
ระหว่างที่หลิงตวนลักลอบออกจากวัดเก่าตามเส้นทางที่สำรวจตอนกลางวันอย่างระมัดระวัง ดวงตาหลายคู่ก็ก็กำลังลอบจ้องมองเขา ฮูเหยียนโซ่วหัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าหนูคนนี้นับว่าฉลาดทีเดียว เส้นทางที่เลือกค่อนข้างปลอดภัย แน่นอนว่านี่เป็นเพราะพวกเราวางกำลังคุ้มกันเพื่อปกป้องใต้เท้าเป็นสำคัญจึงมีช่องโหว่เช่นนี้ให้เขาแอบหนีออกไปได้ ใต้เท้าบอกว่าวันนี้หลิงตวนต้องหนีแน่นอน ไม่ผิดจากที่เขาว่าจริงๆ”
องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาเอ่ยตอบ “ใต้เท้าช่างวางแผนได้ล้ำเลิศ เมื่อวานใช้ยาถ้วยหนึ่งทำให้เจ้าหนูคนนี้สงบ วันพรุ่งก็จะกลับค่าย หากเจ้าหนูคนนี้มิฉวยโอกาสคืนนี้หลบหนี ยังจะคิดหนีอีกเมื่อใด หลายวันนี้เขาเองก็ลำบากพอสมควร แต่เหล่าจ้าวโชคร้ายนัก ถูกคนดักตีสลบยังมิพอ ยังถูกปล้นจนหมดตัวอีก”
ฮูเหยียนโซ่วหัวเราะ “วันพรุ่งทำตามแผน ออกคำสั่งจับตัวหลิงตวน จะหนีรอดได้หรือไม่ก็ดูความสามารถของตัวเขาเองแล้ว แต่เจ้าจงลอบบอกเป็นนัยไว้ บอกว่าความจริงแล้วใต้เท้าค่อนข้างสงสารเขาพอสมควร ไม่รีบร้อนต้องการศีรษะของเขา แต่อย่าทิ้งพิรุธไว้มากเกินไป เรื่องเหล่านี้เจ้าคงเข้าใจดี คนผู้นี้ปล่อยให้เขาหนีกลับไปจะดีกว่า เอาละ วันพรุ่งนี้พวกเรายังมีงานสำคัญอยู่ ทุกคนกลับไปนอนเถิด”
ชิวอวี้เฟยยืนมือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่าง สีหน้าเฉยชา วันนี้คือวันตัดสินความเป็นความตาย เขาต้องทำจิตใจให้สงบดุจวันวานจึงจะทำภารกิจลอบสังหารเจียงเจ๋อสำเร็จและฝ่าวงล้อมหนีเอาชีวิตรอดออกไปได้ หญิงรับใช้นามจินจือยกน้ำเข้ามาปรนนิบัติเขาอาบน้ำแต่งตัว เขามองจินจือ จู่ๆ ก็เอ่ยเป็นภาษาเกาลี่ “วันนี้มิว่าสำเร็จหรือไม่ พวกเจ้าสองคนล้วนต้องสละชีวิต เจ้านึกเสียใจหรือไม่”
จินจือมองนอกหน้าต่างอย่างระแวดระวังแล้วตอบด้วยภาษาเกาลี่ “นายท่านติดค้างบุญคุณของท่านต้วน แต่มิมีสิ่งใดตอบแทน จินจือกับตาเฒ่าชุยยินยอมพร้อมสละชีวิต ขอคุณชายอย่าได้กังวล”
ชิวอวี้เฟยถอนหายใจอีกครั้ง แล้วหยิบตำราพิณเล่มนั้นขึ้นมาจากบนโต๊ะ เขาลูบหน้าปกแพรสีเหลืองแผ่วเบา สีหน้าเศร้าหมองเหลือคณา
จินจือเห็นเข้าจึงถามอย่างสงสัย “คุณชาย ข้าดูแล้วใต้เท้าเจียงผู้นั้นอ่อนโยนสง่างาม ความสามารถล้ำเลิศ ปฏิบัติต่อคุณชายอย่างจริงใจ คุณชายเองหวั่นไหวเช่นนี้ ก็คงมิปรารถนาจะสังหารเขาเช่นกัน เหตุใดจึงต้องฝืนตนเองเล่า จินจือมิได้หวั่นเกรงความตาย เพียงรู้สึกว่าหากคุณชายสูญเสียสหายรู้ใจเช่นนี้เกรงว่าชั่วชีวิตคงมิอาจมีความสุขได้อีก”
ชิวอวี้เฟยยิ้มขมขื่น ตอบว่า “ท่านอาจารย์มีบุญคุณมากนัก เรื่องนี้มิอาจทำตามใจตน เมื่อวานเจ้ามิได้อยู่ในอุโบสถจึงมิได้ยินคำพูดของเขา มิว่าเขาเป็นคนเช่นไร มีเขาอยู่วันหนึ่ง เหล่าทหารและแม่ทัพเป่ยฮั่นของข้าก็ยากจะนอนหลับสบาย ความจริงข้าก็ทราบว่าสถานการณ์เป็นเช่นตอนนี้แล้ว ไม้เพียงท่อนเดียวย่อมยากจะค้ำจุนไหว แต่หากผ่านพ้นสงครามเลวร้ายในวสันต์ปีนี้ได้ ก็อาจต่อลมหายใจให้เป่ยฮั่นได้อีกเฮือกหนึ่ง”
จินจือถอนหายใจตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บ่าวก็มิมีคำใดจะกล่าว”