คำพูดของอวี้จิ่นแน่วแน่และทรงพลัง แต่เจียงซื่อกลับหัวเราะอย่างไม่ไว้หน้าผู้เป็นสามี
“หัวเราะอะไร คิดว่าข้าเก่งแต่พูดงั้นหรือ” อวี้จิ่นไม่พอใจที่ถูกภรรยาสบประมาท
เจียงซื่อหยุดหัวเราะ “เราสามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว การจะไปแข่งขันกับคนพวกนั้นไม่มีสิ่งใดต้องกลัว แต่ที่เจ้าบอกว่าจะเป็นไท่จื่อให้ได้โดยเร็วที่สุดไม่รีบร้อนไปหน่อยหรือ”
จิ้นอ๋องถูกส่งไปเฝ้าอยู่ที่สุสานหลวง ส่วนอดีตไท่จื่อก็ถูกประหารชีวิต ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็เป็นที่หมายตาของใครหลายคน ฉะนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้คงระมัดระวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ศึกนี้ยืดเยื้อยาวนานและโหดร้าย
อวี้จิ่นผุดหัวเราะ “อาซื่อ นี่เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่ใช่หรือไม่ จากที่ข้าเห็นเจ้าสี่และเจ้าหกจ้องตำแหน่งไท่จื่อจนน้ำลายจะไหลออกมาอยู่แล้ว แต่ยังไม่กล้าออกตัวแรงก็เท่านั้น เอาแต่คอยระวังนั่นระวังนี่ หึๆ นี่น่ะหรือคือความระมัดระวังรอบคอบ เปล่าเลย ที่แท้ก็เป็นความเขลา! หากอยากชนะศึกครั้งนี้ วางกลยุทธ์มากไปก็เท่านั้น เพราะสิ่งที่ต้องทำคือต้องคว้าสิ่งสำคัญให้อยู่หมัดต่างหากเล่า”
เจียงซื่อตื่นเต้นตามไปด้วย นางคลี่ยิ้มโดยไม่รู้ตัว “อาจิ่น ไหนเจ้าลองบอกข้าซิว่า สิ่งสำคัญที่เจ้าหมายถึงคืออะไร”
อวี้จิ่นหรี่ตาพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยท่าทีเบาสบายประหนึ่งว่าไม่ได้กำลังพูดเรื่องจริงจังอย่างการสืบทอดตำแหน่งรัชทายาท “สิ่งสำคัญก็คือฮองเฮาอย่างไรล่ะ”
เจียงซื่อหน้าเคร่งเครียด “ฮองเฮางั้นรึ”
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็น่าสนใจ วันนี้ทั้งคู่พูดเรื่องตัวละครสำคัญเหมือนกัน แต่เรื่องของนางคือไทเฮา ส่วนเรื่องของอวี้จิ่นคือฮองเฮา
อวี้จิ่นโน้มตัวเข้ามากระซิบถาม “อาซื่อ เจ้าว่าการเลือกองค์รัชทายาทคราวนี้ เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับเรื่องใดมากที่สุด”
เจียงซื่อเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “ตำแหน่งองค์รัชทายาทมีความสำคัญยิ่ง เสด็จพ่อคงให้ความสำคัญในหลายๆ เรื่อง อย่างเช่น คุณสมบัติด้านคุณธรรม คุณสมบัติด้านความสามารถ…แต่ที่ข้ามองว่าเสด็จพ่อน่าจะให้น้ำหนักมากที่สุดคือลำดับการสืบสันตติวงศ์”
ดวงตาวาวโรจน์ของอวี้จิ่นมองเจียงซื่ออย่างชื่นชม ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพลางผงกศีรษะรับ “ใช่ คำตอบคือการสืบสันตติวงศ์ ในแง่ของการสืบทอดบัลลังก์ เสด็จพ่อเคร่งครัดตามธรรมเนียมยิ่งนัก ซึ่งดูได้จากวิธีที่เสด็จพ่อปฏิบัติต่ออดีตไท่จื่อ ขนาดอดีตไท่จื่อเหลวไหลปานนั้น เสด็จพ่อยังเปิดโอกาสให้เขากลับตัวตั้งกี่ครั้ง…สุดท้าย แม้จะเกินเยียวยา แต่เสด็จพ่อก็ยังชั่งใจอยู่นาน ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะไท่จื่อคือโอรสคนเดียวของฮองเฮาพระองค์ก่อน”
เจียงซื่อเห็นด้วยอย่างยิ่ง
หากจะพูดกันตามจริง การที่องค์จักรพรรดิให้ความสำคัญกับเรื่องลำดับการสืบสันตติวงศ์เป็นเรื่องดี เพราะเมื่อถึงยามต้องเลือกองค์รัชทายาท โอรสองค์โปรดจะได้ไม่ทำให้เขาสั่นคลอน เพียงแต่จิ่งหมิงฮ่องโชคร้ายที่โอรสหนึ่งเดียวที่ประสูติจากฮองเฮากลับเป็นคนใช้การไม่ได้
หากอดีตไท่จื่อมีสมองคิดเฉกเช่นคนทั่วไป เรื่องราวคงไม่กลับตาลปัตรเช่นนี้
นางพอจะเดาความหมายที่อวี้จิ่นกำลังจะสื่อได้ “อาจิ่น เจ้าคิดว่าฮองเฮาจะทำให้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะแย่งชิงตำแหน่งงั้นหรือ”
อวี้จิ่นส่ายหัว “ข้าไม่ได้ต้องการคุณสมบัติในการแย่งชิง แต่ข้าจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะจะนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นต่างหาก ส่วนเจ้าสี่และเจ้าหกก็นั่งมองน้ำลายไหลต่อไป”
เขาลูบหน้าขณะที่พูดก่อนจะหัวเราะเยาะกับตัวเอง “เมื่อก่อนข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ และใช้ชีวิตอย่างสบายใจ แต่ตอนหลังถึงได้รู้ตัวว่า บนศีรษะของข้ามีก้อนภูเขาหนักอึ้งกดทับอยู่ ความสบายใจนั้นเป็นเพียงความสบายใจจอมปลอม และอิสรภาพที่มีก็เป็นเพียงสิ่งลวงตา การได้นั่งอยู่บนที่สูงสุดต่างหากคือสิ่งแท้จริง เมื่อตัดสินใจลงแข่งก็ไม่มีหนทางให้ย้อนกลับ แต่ข้าก็ไม่อยากพาเจ้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายด้วย”
อวี้จิ่นเอื้อมมือมาจับมือเจียงซื่อ
มือนั้นทั้งกว้างและอุ่น สัมผัสนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอุ่นใจ
ท่าทางของเจียงซื่ออ่อนลงมาก นางรับฟังอย่างตั้งใจ
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชายหนุ่ม “อาซื่อ ข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะ ในเมื่อข้าตัดสินใจจะแย่งตำแหน่งนั้นแล้ว ข้าก็ไม่สนแล้วว่าคนจะว่าข้าหน้าไม่อาย เพราะคนที่มีคุณธรรมและจริยธรรมอย่างแท้จริงไม่มีทางมาแย่งชิงสิ่งที่จะทำไปสู่การนองเลือดเช่นนี้”
“แล้วเจ้าวางแผนไว้อย่างไร” เจียงซื่อถามเสียงเรียบ
ในบางสถานการณ์ การถูกตราหน้าว่าหน้าไม่อายกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่ อวี้จิ่นพูดถูก คนที่เป็นสุภาพบุรุษผู้ทรงคุณธรรมไม่มีทางแก่งแย่งเพื่อให้ได้ตำแหน่งนั้นมา แต่จะอดทนรอคอยให้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินใจ
เพียงแต่ การทำเช่นนั้นก็น่าขันสิ้นดี
ในเมื่อพวกเขาคิดจะเอาตัวลงไปสู้ในการแข่งขันครั้งนี้ ก็มิควรพะวงว่าชื่อเสียงจะแปดเปื้อน เพราะหากไม่ลงมือทำอะไรแล้วหวังว่าบัลลังก์จะตกลงมาถึงเขาอย่างนั้นหรือ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง อาจิ่นคงไม่ใช่โอรสของเสด็จพ่อ แต่เป็นโอรสของสวรรค์แล้วล่ะ
อวี้จิ่นเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
ที่นอกหน้าต่าง ดอกเหมยกำลังบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมมาเป็นระยะ อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ สรรพสิ่งก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
อวี้จิ่นเอ่ยแผ่วเบา “เสียนเฟยไม่เคยเห็นข้าเป็นลูกอยู่แล้ว ส่วนฮองเฮาก็ไม่มีลูกชายมิใช่หรือ”
เคยกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ชีวิตและประสบการณ์ที่ผ่านมาของอวี้จิ่นทำให้เขาไม่สนใจเรื่องจริยธรรมที่โลกให้คุณค่า ในมุมของเขา ใครก็ตามที่ดีกับเขา ก็สมควรได้รับการตอบแทนอย่างดีจากเขาดุจกัน มิใช่ถือวิสาสะว่าตนเป็นผู้ให้กำเนิดแล้วจะทำร้ายคนที่เขารักได้ตามใจปรารถนา
วินาทีที่อวี้จิ่นรู้ว่าเสียนเฟยวางแผนเอาชีวิตเจียงซื่อ ในใจของเขาก็ไม่มีที่สำหรับมารดาผู้ให้กำเนิดอีกต่อไป
แม้การยกให้คนอื่นเป็นมารดาดูน่าสมเพช แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวิธีการที่จะขจัดความยุ่งยากได้อย่างเฉียบขาดที่สุด เพราะเขาไม่ควรปล่อยให้ภรรยาต้องพบเจออันตรายที่ไม่คาดคิดเพียงเพราะการแย่งชิงตำแหน่งที่ยืดเยื้อ
“เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าและฮองเฮา เพราะนี่คือผลประโยชน์ต่างตอบแทน” อวี้จิ่นกล่าวจบก็จ้องมองไปที่เจียงซื่อ “อาซื่อ เจ้าจะมองว่าข้าเป็นพวกไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็จะเอาด้วยกลหรือไม่”
“นิดหน่อย”
สีหน้าของอวี้จิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่เจียงซื่อจะผุดหัวเราะ “อาจิ่น ข้ามิใช่พวกได้ประโยชน์แล้วต้องแสร้งทำตัวเป็นคนแสนดี หากเรื่องไหนเจ้าเห็นว่าควรทำก็ทำเถิด”
หากไม่ใช่เพราะนาง ด้วยนิสัยของอาจิ่น เขาคงใช้ชีวิตเป็นท่านอ๋องอย่างสุขสบาย ไม่ทำการทำงาน หรือนึกอยากจะซัดหน้าผู้ใดก็ทำเลยเดี๋ยวนั้น
แต่ตอนนี้เขาตั้งมั่นว่าจะสู้ศึกครั้งนี้เพื่อนาง หากนางยังดูถูกเขา สมองของนางก็ป่วยการเต็มที
อวี้จิ่นเม้มปากพร้อมกับดวงตาเป็นประกาย
“แต่หลายปีที่ผ่านมา ฮองเฮาวางตัวเป็นกลาง ไม่ขอมีส่วนเอี่ยวกับเรื่องใดๆ อีกทั้งยังไม่มีความคิดจะรับโอรสมาอุปถัมภ์” เจียงซื่อเอ่ยเตือน
อวี้จิ่นหัวเราะ “ฮองเฮาเป็นคนฉลาด นางไม่มีบุตรมาหลายปีแล้ว คงเห็นว่าถึงอย่างไรเสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญกับลำดับการสืบสันตติวงศ์มากที่สุด จึงไม่มีเหตุผลใดให้นางต้องสู้”
“ใช่ เสด็จพ่อเองก็ให้ความเคารพฮองเฮา ต่อให้ฮองเฮาไม่แย่ง ตำแหน่งในวังหลังของนางก็ไม่มีทางสั่นคลอน”
“ตำแหน่งไทเฮาที่ได้รับความเคารพจากโอรสที่เกิดจากนางสนมจะมั่นคงสู่ตำแหน่งไทเฮาที่มีโอรสของตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิได้อย่างไร”
อวี้จิ่นเคลื่อนสายตาจากดอกหงเหมยที่นอกหน้าต่างกลับมาที่เจียงซื่อ “หากฮองเฮาคิดเช่นนี้ เรื่องราวคงง่ายกว่านี้มาก”
คนที่ไม่แย่งชิงกับผู้ใดคงเป็นพระอิฐพระปูนเท่านั้น ไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ในวังหลังอย่างสุขสงบมานานนับสิบปี
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้ามีแผนแล้วรึ” เจียงซื่อเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ “ลองเล่าให้ข้าฟังซิ”
อวี้จิ่นกะพริบตาก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งเครียด “ไหน แม่นางลองเอาใจข้าแบบถึงใจดูซิ แล้วข้าจะบอก”
เจียงซื่อเลิกคิ้วพลางพ่นลม “เหอะ”
แม้ว่าภรรยาจะถือไพ่เหนือเขาเสมอ แต่อวี้จิ่นก็มิวายแสดงความกล้าหาญออกมา ชายหนุ่มพยายามทำให้หน้าหนาเข้าไว้ “เร็วเข้า ไม่งั้นข้าจะไม่บอกนะ”
“จะไม่บอกจริงๆ หรือ”
“ไม่บอกจริงๆ”
“ก็ดี” เจียงซื่อเอื้อมมือไปปลดม่าน ก่อนจะคลานขึ้นไปบนร่างของอีกฝ่าย
เนิ่นนานก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยเสียงแห้งที่ปนมากับเสียงลมหายใจ “แล้วยังไงต่อ”
แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาว “แล้วยังไง ก็ไม่แล้วยังไง หากเจ้ายังไม่พูด ข้าจะไปกล่อมอาฮวน”
อวี้จิ่น “…”