อวี้จิ่นเฝ้ามองเจินเหิงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำหมัด เขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
เอ๋ๆ หรือว่าอยากเจอกับเขาสักยก
ไอ้หมอนี่ยังไม่ตัดใจยอมแพ้จริงๆ ด้วย!
เรื่องเรียน เขาอาจไม่สู้นิมิตมงคล แต่ถ้าเป็นเรื่องชกต่อย รับรองว่าไอ้หมอนี่ไม่ติดฝุ่น ในขณะที่เขายกดาบมาฆ่าฟันศัตรู ไอ้คนอ่อนนี่คงกำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เป็นแน่
“ข้าจำได้ว่าพี่เจินเพิ่งเข้าไปทำงานที่เน่ยเก๋อมิใช่หรือ” อวี้จิ่นยิ้มร่าพลางถามเมื่อเห็นอาการเครียดเขม็งของฝ่ายตรงข้าม
คนที่ทำงานอยู่ในเน่ยเก๋อไม่ได้มีเพียงผู้อาวุโสที่ทำงานสำคัญเท่านนั้น แต่ยังรวมไปถึงพวกเสมียนที่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ด้วย
ถึงแม้ในสายตาคนนอก คนหนุ่มที่ทำงานเล็กน้อยในเน่ยเก๋อก็นับว่ามีอนาคตมากแล้ว เพราะถึงจะช้าไปบ้างแต่พวกเขาก็จะได้เข้าไปทำในส่วนงานชั้นในอยู่ดี
เจินเหิงเป็นคนหนึ่งที่ได้รับความสนใจ
แต่เมื่อคำถามนี้ออกจากปากอวี้จิ่นกลับทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดี
เจินเหิงสูดลมหายใจเข้าปอดและเตือนตัวเองให้ข่มใจไว้
ความจริงชกกันสักยกคงไม่เป็นไร คนหนุ่มที่ไหนเอะอะก็ตีกันทั้งนั้น เพียงแต่หากชกแล้วแพ้ มีแต่จะขายหน้า
เขามองออกว่าเยี่ยนอ๋องรอโอกาสนี้มานาน เขาคงโง่มากทีเดียวหากปล่อยให้อีกฝ่ายสมหวังตามปรารถนา
เมื่อคิดตกดังนั้น เจินเหิงก็กลับไปเป็นคนสุขุมนุ่มลึกเหมือนเก่า เขาคลี่ยิ้มพร้อมถวายความเคารพอวี้จิ่นและเจียงซื่อ “ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมพระชายา การได้บังเอิญพบพระองค์ทั้งสองที่นี่ถือเป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่งนัก”
“พี่เจินเกรงใจแล้ว” เจียงซื่อผงกศีรษะรับเล็กน้อย
เมื่ออวี้จิ่นเห็นว่าอีกฝ่ายสงบลงแล้วก็หมดอารมณ์ เขาทำทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ พี่เจิน ข้าต้องพาชายาไปเดินเที่ยวเล่นที่ร้านเครื่องประดับ ขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
เจินเหิงยิ้มรับพลางพยักหน้า “ท่านอ๋อง พระชายา เดินทางปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นและเจียงซื่อเดินจับมือห่างไปไกลแล้ว เจินเหิงถึงได้หันหลังกลับไปมองและถอนหายใจแผ่วเบา
เป็นการบังเอิญพบกันที่น่าเศร้าใจเสียเหลือเกิน
โชคดีที่เจินเหิงมิใช่คนยึดติดกับความทุกข์ ไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกกลืนหายไปในความทรงจำ ชายหนุ่มเดิมเข้าไปสังสรรค์ด้านใน
อวี้จิ่นจูงมือเจียงซื่อขึ้นไปบนรถม้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง พลางบ่นกระปอดกระแปด “ไอ้คนชั่วนั่นยังไม่ตัดใจจากเจ้าถึงได้ทำตัวเจ้าเล่ห์ประหนึ่งสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น สมแล้วที่เป็นลูกของตาเฒ่าเจิน”
เจียงซื่อตีสามีตัวเองอย่างจนใจ “เจ้ายังไม่เลิกหึงอีกหรือ เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว…”
อวี้จิ่นหรี่ตาพลางขยับเข้าไปใกล้หญิงสาว “เรื่องอะไร”
เจียงซื่อเงียบไป
ดูเหมือนนางจะหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว
ในสายตาของคนไม่กี่คนที่ทราบว่าตระกูลเจินเคยมาทาบทามสู่ขอเจียงซื่อ เพราะเจินซื่อเฉิงรู้สึกถูกชะตาอยากได้เจียงซื่อไปเป็นลูกสะใภ้ ส่วนเจินเหิงบุตรชายของเขาก็ชอบพอในตัวหญิงสาวเช่นกัน แต่เรื่องราวการพบกันครั้งแรกเป็นเช่นไรมีเพียงเขาทั้งสองที่รู้
ดังนั้น เจียงซื่อจึงรู้ว่าเจินเหิงคิดกับนางเช่นไร
แม้เจียงซื่อจะหลุดปากออกไป แต่นางไม่ได้รู้สึกผิด นางกลอกตาใส่อวี้จิ่นพลางบอก “ก็จะเรื่องอะไรได้เล่า ก็ที่ท่านลุงเจินเคยมาทาบทามข้าให้แต่งงานกับบุตรชายของเขากับท่านพ่ออย่างไรล่ะ เรื่องก็ผ่านมานานนมแล้ว จะยังไม่เลิกหึงอีก ไม่กลัวว่าคุณชายเจินเขาจะหัวเราะเยาะเอาหรืออย่างไร…”
อวี้จิ่นเอ่ยกระแทกกระทั่น “คำก็คุณชายเจิน สองคำก็พี่เจิน หากเจ้ายังเรียกอีก ข้าจะจัดการ!”
ขณะที่กล่าว ร่างของชายหนุ่มก็ขึ้นคร่อมร่างของหญิงสาวพร้อมกับใช้คางถูลงที่แก้มของนางแรงๆ
เจียงซื่อทั้งคันทั้งเจ็บ นางเอี้ยวตัวหลบและใช้มืออีกข้างบิดหูชายหนุ่มเต็มแรงอย่างชำนาญ
อวี้จิ่นที่ถูกปฏิเสธเช่นนั้นก็หมดอารมณ์ทันที
เจียงซื่อลูบผมเผ้าให้เข้าที่ก่อนจะมองขวางใส่อวี้จิ่น
อวี้จิ่นเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาจากบนโต๊ะ รินชาใส่ถ้วยแล้วจิบสองอึก จากนั้นก็วางถ้วยคืนลงบนโต๊ะ “อาซื่อ ข้าจะบอกอะไรให้ ไอ้คนชั่วนั่นมันยังไม่ตัดใจจากเจ้า เจ้าคิดว่าข้าหึงเจ้ากับเขางั้นหรือ ใช่เรื่องนั้นที่ไหนกัน ข้าใช่คนที่หึงแบบไม่มีสาเหตุที่ไหนกัน”
เจียงซื่อหัวเราะคิกคัก
“หากเขาไม่คิดอะไรกับเจ้าจริงๆ เหตุใดเขาถึงไม่ยอมออกเรือนสักที” อวี้จิ่นปล่อยให้ความหึงหวงทวีขึ้นอีกครั้ง “ที่บังเอิญเจอกันวันนี้ก็เป็นความตั้งใจของเขานั่นแหละ…”
เจียงซื่อถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ “แล้วอย่างไร เจ้าก็เลยจะไปชกเขางั้นหรือ”
อวี้จิ่นลูบจมูกพร้อมกล่าวด้วยความแค้นใจ “ก็เพราะเขามันเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่เปิดโอกาสให้ข้าชกน่ะซิ”
หากตอนนี้เขายังไม่ได้แต่งงานกับอาซื่อแล้วรู้ว่ามีศัตรูหัวใจตัวเอ้ขนาดนี้ เขาคงวิ่งไปเป่าหูเสด็จพ่อให้สั่งให้ไอ้หมอนี่เป็นราชบุตรเขยให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ในเมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว เขาคงทำได้เพียงหาโอกาสให้ศัตรูหัวใจของเขาได้พบรักกับสตรีนางอื่น
สองสามีภรรยามีปากเสียงกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่รถม้าจะมาจอดเทียบท่าที่จวนเยี่ยนอ๋อง
ทั้งสองเดินเข้าไปในอวี้เหอย่วน จัดการล้างหน้า เปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็ยั่งลงที่โต๊ะรับประทานเนื้อตุ๋นในหม้อร้อนอย่างเอร็ดอรอ่ย จากนั้นก็เข้าไปคุยธุระกันที่ห้องด้านใน
เจียงซื่อยกชาขึ้นมาจิบแก้เลี่ยน นางเป่าใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยแผ่วเบาก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ฟังจากเฝิงเหล่าฮูหยิน “ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านยายของข้าและไทเฮาเป็นสหายสนิทกัน ในกลุ่มของพวกนางยังมีสตรีจากหนานเจียงด้วยอีกคน ซึ่งข้าคิดว่าสตรีจากหนานเจียงผู้นั้นน่าจะเป็นชาวอูเหมียว และเป็นไปได้ว่านางอาจเป็นยายของอาซัง…”
อวี้จิ่นประหลาดใจ “มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ”
เจียงซื่อพยักหน้า “เกินคาดมากทีเดียวจริงไหม ข้าเป็นหลานสาวของท่านยายแท้ๆ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นท่านยายไปมาหาสู่กับไทเฮาเลยสักครั้ง หากมิใช่เพราะถามจากท่านย่าวันนี้ ข้าคงเดาไม่ออกว่าพวกนางเคยมีความสัมพันธ์เช่นนั้น”
อวี้จิ่นถามถึงรายละเอียดก่อนจะเงียบไป ชายหนุ่มจรดนิ้วมือลงบนโต๊ะพลางบอก “อาซื่อ เจ้ารู้สึกไหมว่าใครน่าจะเป็นตัวละครสำคัญของเรื่องนี้”
ดวงตาของเจียงซื่อเปล่งประกาย “เจ้าหมายถึง…ไทเฮา?”
อวี้จิ่นพยักหน้า “ถูกต้อง ไทเฮานั่นแหละ ก่อนหน้านี้ตั่วหมัวมัวก็อยู่ที่ตำหนักฉือหนิง หนำซ้ำยายของอาซังก็มีความข้องเกี่ยวกับสตรีต้าโจวสองคน ซึ่งก็คือท่านยายของเจ้าและไทเฮา เห็นได้ชัดว่าไทเฮาคงกำลังปิดบังความลับสำคัญไว้อยู่”
หากอดีตอันคลุมเครือเกี่ยวข้องกับบุคคลใด เราต้องพยายามไม่ให้สถานะของคนผู้นั้นหลอกตาเอาได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่เมื่อกะเทาะเปลือกนอกก็ย่อมพบบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
ความคิดของอวี้จิ่นนั้นเถรตรงและเฉียบแหลม
“สาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของไทเฮาและเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวเดินทางมาถึงจุดจบน่าจะเป็นกุญแจสำคัญของปริศนานี้”
เจียงซื่อขมวดคิ้วกลัดกลุ้ม “ข้าก็คิดเช่นนั้น ติดก็แต่ท่านยายไม่ยอมพูดอะไรเลย…”
อวี้จิ่นตบบ่าเจียงซื่อพลางกล่าวอย่างแน่วแน่ “อาซื่อ จุดสำคัญของเรื่องอยู่ที่ท่านยายของเจ้าจริงๆ นั่นแหละ”
สายตาที่เจียงซื่อมองมาทำให้อวี้จิ่นหลุดหัวเราะ “การจะให้เหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวพูดย่อมง่ายกว่าไปคาดคั้นจากไทเฮา”
ไทเฮาเป็นคนที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ให้ความเคารพ ฉะนั้นไม่ต้องไปคิดว่าจะบังคับให้นางพูด เพียงแค่ไทเฮาทราบว่าทั้งสองกำลังคิดอะไร นางคงใช้อำนาจของฝ่าบาทสั่งเก็บสองสามีภรรยาคู่นี้ได้ในชั่วพริบตา
ฉะนั้นแล้ว ด้านไทเฮายังไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่น
“ในเมื่อเรื่องนี้ก็ผ่านมานานแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อนไป…หลังจากนี้เราหมั่นไปเยี่ยมจวนอี๋หนิงโหว แล้วเจ้าก็ใช้ทักษะความหน้าหนาของตัวเองตะล่อมความจริงออกมาให้ได้ อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นเด็ก ฉะนั้นไม่ต้องอายหากต้องทำตัวออดอ้อน…” อวี้จิ่นแบ่งปันประสบการณ์ให้เจียงซื่อฟัง
เจียงซื่อจ้องหน้าเขาพลางถามเน้นทีละคำ “เจ้าบอกให้ข้าใช้ทักษะความหน้าหนาอย่างนั้นรึ”
นางหน้าหนาตรงไหน!
อวี้จิ่นเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากพูดออกไป เขาจึงหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วจึงชวนเปลี่ยนเรื่อง “ที่ข้าเข้าวังวันนี้ได้เรื่องด้วย”
“ได้เรื่องอะไร”
“ข้าประกาศศึกกับเสียนเฟยอย่างเป็นทางการแล้ว นางจะได้เลิกเพ้อฝันเสียที”
เจียงซื่อดึงมุมปาก
เนี่ยหรือที่เรียกว่าได้เรื่อง นี่เรียกว่าก่อเรื่องชัดๆ
อวี้จิ่นลูบหน้าพร้อมเอ่ยแน่วแน่ “อาซื่อ ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้ต้องยืดเยื้ออีกแล้ว ข้าจะเป็นไท่จื่อโดยเร็วที่สุด”