บทที่ 558 ช่างสำราญใจอะไรเช่นนี้ หากแม้นมิได้เกิดเป็นมนุษย์ (2)
“พี่ชายไม่ต้องทำเพียงนั้นก็ได้” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “การที่ศาลสวรรค์จะผงาดขึ้นได้นั้น ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ผ่านความยากลำบาก ปรมาจารย์จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมนั้นก็คือ ปรมาจารย์จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าของเรา ในวันนี้ วิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นได้รับคลังสมบัติของวังมังกรไปและได้แก้แค้นเผ่ามังกรและศาลสวรรค์ หลังจากนี้ พวกเขาจะเงียบไปสักระยะหนึ่ง ช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อศาลสวรรค์”
“ช่างน่าโมโหนัก!” จ้าวกงหมิงรู้สึกคับแค้นใจเล็กน้อย เขาอยากดำเนินการต่อ แต่เทพธิดาอวิ๋นเซียวก็เอ่ยปากกล่าวเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ ท่านอย่าก่อเรื่องยุ่งยากให้เขาเลย เรื่องนี้ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง”
จ้าวกงหมิงพยักหน้ารับทันที “น้องรองกล่าวได้ถูกต้อง!”
ในขณะนั้นแม่ทัพตงมู่ก็รีบรุดไปหาเหล่าทหารสวรรค์ตามคำแนะนำของหลี่ฉางโซ่ว แล้วไปรายงาน ที่ศาลสวรรค์
อวิ๋นเซียวเห็นว่าหลี่ฉางโซ่วดูเหนื่อยล้า จึงกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าจะส่งเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ภูเขาก่อน ไม่รู้ว่าศิษย์พี่เสวียนตูหายไปที่ใดกัน”
“ให้ข้าส่งเจ้ากลับเถิด ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเกาะซานเซียนนัก” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “แล้วข้าค่อยขอให้พี่ชายช่วยส่งข้ากลับไปที่วิหารเทพทะเลในภายหลัง”
อวิ๋นเซียวพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าไปพักผ่อนบนเกาะซานเซียนก็ได้”
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก” หลี่ฉางโซ่วกล่าว และรอยยิ้มของเขาค่อยๆ เลือนหายไป “คราวนี้เราต้องสรุปข้อผิดพลาดเพื่อหลีกเลี่ยงข้อบกพร่องเช่นนั้นในภายหน้า ครั้งนี้ มีเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นกับเผ่ามังกร ครั้งหน้ามันอาจทำให้ข้าเป็นอันตรายได้ ดังนั้นข้าต้องระวังตัว”
จ้าวกงหมิงยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าช่างมั่นคงจริงๆ”
ดูเหมือนว่า จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และขมวดคิ้วครุ่นคิด
อวิ๋นเซียวเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่ “ชายชรา” ทันที ราวกับว่านางจะสามารถมองเห็นผ่านวิชาการแปลงร่างของเขาได้ นางได้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มอยู่ภายในนั้น และไม่ละสายตาไปชั่วขณะหนึ่ง
ในยามนั้น จ้าวกงหมิงซึ่งอยู่ข้างหลังทั้งสองคนถึงกับพูดไม่ออก …
เขามักจะรู้สึกเสมอว่า ในพลังเวท มีตัวเลือกพิเศษอยู่
จากนั้นเขาก็ขี่เมฆ พาคนทั้งสองไปที่เกาะซานเซียน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ แล้วเข้าไปในชั้นเมฆหมอก ก่อนจะพบเกาะอมตะที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้กำบังของค่ายกลใหญ่
ทั้งสามแผ่กระจายสัมผัสเซียนรับรู้ของพวกเขาออกไปภายในค่ายกลใหญ่นั้น
นั่นเป็นนิสัยหนึ่งที่ผู้ฝึกบำเพ็ญเกือบทุกคนมี แต่เมื่อหลี่ฉางโซ่วปล่อยสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไป เขาก็จะระมัดระวังโดยไม่รู้ตัว และหากพบ “โอสถพิษสัมผัสเซียนรับรู้” เขาก็จะตัดการตรวจจับของเขาทันที
ไม่สำคัญว่าทั้งสามคนจะตรวจสอบหรือไม่ ในเวลานั้น เทพธิดาอวิ๋นเซียวขมวดคิ้วในขณะที่ดวงตาของอาจารย์ลุงจ้าวเปล่งประกาย ส่วนหลี่ฉางโซ่วก็เอามือหนึ่งก่ายหน้าผากของเขาอยู่เงียบๆ
เขารู้สึกอับจนหนทาง
ในลานที่รายล้อมไปด้วยควัน ‘หลี่ฉางโซ่ว’ และ ‘อวิ๋นเซียว’ กำลังสวมกอดกันด้วยสีหน้าท่าทางแสดงออกที่เกินจริงขณะที่พวกเขาพูดพร่ำรำพันรักที่หลี่ฉางโซ่วไม่เคยลองทำ
สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วอยากจะทิ่มตาของเขาให้บอดเสีย คือ ‘หลี่ฉางโซ่ว’ ที่อยู่ในสถานที่นั้น ใช้รูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขา…
หลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ในศาลาร้องตะโกนด้วยความรักว่า “อวิ๋น มองดูข้าสิ เข้ามามองใกล้ๆ ให้ดีๆ เห็นหน้าเจ้าในดวงตาของข้าหรือไม่?”
“โซ่ว อย่ามองข้าเยี่ยงนั้นสิ มันทำให้ข้ารู้สึกดั่งมีบุปผาเบ่งบานในใจ ข้ารู้สึกเหมือนมีกวางน้อยกำลังวิ่งมากระแทกใจข้า”
“อวิ๋น…”
“คุกเข่า!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนเบาๆ และคนสองคนที่สวมกอดกันก็แยกจากกันทันที และพร้อมด้วยเสียงฟู่ๆ สองครั้ง พวกเขาก็กลายเป็นเทพธิดาที่มีรูปลักษณ์ดูเหมือนเด็กสาวสองคน
ฉยงเซียวซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีส้มหน้าซีดเซียว
ปี้เซียวที่สวมกระโปรงผ้าโปร่งสีเขียวหญ้า กำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับร่างวิญญาณภูตผีในขณะนี้ ได้กดขาชิดกัน งอเข่า บิดหู และเบะปากเล็กๆ ของนาง…
ฉยงเซียวตัวสั่นเทาและกล่าวว่า “พี่สาว พี่สาว ท่านกลับมาเมื่อใดกัน?”
ในขณะนั้น ร่างของอวิ๋นเซียวเคลื่อนไหวแวบวาบรวดเร็วแล้วไปปรากฏตัวในศาลา นางหยิบผลึกบันทึกเหตุการณ์บนโต๊ะหินขึ้นมาและบดขยี้ทำลายมัน
“พวกเจ้าทั้งสองคนคิดว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นน่าเบื่อเกินไปหรือไม่?” ฉยงเซียวและปี้เซียวต่างตัวสั่นเทาไปด้วยกัน ฉยงเซียวคุกเข่าอยู่ข้างๆ น้องคนสุดท้อง ปี้เซียวเงียบๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเสียใจ
เสียใจ… นางเต็มไปด้วยความเสียใจ
บนเมฆข้างๆ เกาะ หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะไปและไม่เห็นจ้าวกงหมิง ทว่าเมื่อมองลงไปอีกครั้ง เขาก็เห็นอาจารย์ลุงจ้าวกำลังยืนขึ้นช้าๆ ขณะที่เอามือกุมเข่าด้วยท่าทางลำบากพร้อมกับพึมพำว่า
“เฮ้อ ขาข้ามันถึงยิ่งเป็นมากขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว…เหตุใดตอนนี้โรคเก่าของข้าถึงได้กำเริบขึ้นมาเพียงนี้…”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงันกะทันหัน
สิ่งที่กลัว?
หลังจากอยู่บนเกาะซานเซียนมาได้ระยะหนึ่ง หลี่ฉางโซ่วก็อำลาจ้าวกงหมิงและมุ่งหน้าไปยังดินแดนเทวะบูรพา
อวิ๋นเซียวสั่งให้จ้าวกงหมิงพาหลี่ฉางโซ่วไปยังที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้เขาถูกผู้ทรงพลังจากสำนักบำเพ็ญประจิมวางแผนทำร้ายได้
แม้จ้าวกงหมิงอยากจะเอ่ยว่า “น้องรอง เจ้ามาปกป้องเขาเองไม่ดีกว่าหรือ?” แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ทำไม่ได้…
แค่กๆ!
ศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย จะกลัวน้องสาวร่วมสาบานของเขาได้อย่างไรกัน?
เขาเพียงแค่ไม่ค่อยกล้าเท่านั้น
ดังนั้น จ้าวกงหมิงจึงปฏิเสธข้อเสนอของหลี่ฉางโซ่วที่จะแยกทางไปในทะเลบูรพา และดึงหลี่ฉางโซ่วไปยังวิหารเทพทะเลในดินแดนเทวะทักษิณทันที ทำให้หลี่ฉางโซ่วกลับบ้านได้ยากขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุด ด้วยเจดีย์เสวียนหวงและไม้เฉียนคุนที่ปกป้องคุ้มครองเขา หลี่ฉางโซ่วก็กลับคืนสู่ยอดเขาหยกน้อยของสำนักตู้เซียนได้สำเร็จราบรื่น จากนั้นเขาก็ซ่อนกายอยู่ในค่ายกลใหญ่และปล่อยให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทำงาน
สำนักบำเพ็ญประจิม…
หลี่ฉางโซ่วยังมีปัญหาเล็กน้อยเช่นกัน เขาจึงไม่รีบไปพบองค์เง็กเซียน และไม่ได้ไปตามหาปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ซึ่งจากไปยังที่ใดสักแห่ง แต่เขาเพ่งจิตมุ่งความสนใจไปที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และเดินเล่นไปรอบทะเลสาบและไปที่กรงสัตว์วิญญาณของยอดเขาหยกน้อย
หลังจากครุ่นคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบแล้ว เขาก็สรุปและวางแผนกำหนดขั้นตอนต่อไป
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็แผ่สัมผัสเซียนรับรู้ไปตรวจสอบยอดเขาพิชิตสวรรค์และเมื่อพบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ต่อจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เดินไปที่กระท่อมมุงจากริมทะเลสาบโดยไม่รู้ตัว เขาหยุดเดินและมองไปที่ร่างของอาจารย์ของเขาที่กำลังนั่งสมาธิอยู่
‘ถึงเวลาจัดการให้ท่านอาจารย์ได้ขึ้นไปแล้ว และข้าก็ควรฉวยโอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์…’
ในเวลานี้ บันทึกเสนอแนะต่อไปที่เขาต้องเขียนถึงองค์เง็กเซียนนั้น ได้ผ่านการคิดพิจารณามาอย่างดีแล้ว
“ศิษย์พี่?”
หลิงเอ๋อร์ขี่เมฆ บินมาจากทิศทางของห้องเดินหมากเล่นไพ่ แล้วร่อนลงมาอย่างสง่างามต่อหน้า หลี่ฉางโซ่ว และถามเบาๆ ว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ? สีหน้าท่านดูไม่ดีเลย”
“ข้ากำลังถูกคนวางแผนคิดร้าย” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเผชิญอุปสรรคภายนอกบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาและถามว่า “มีผู้ใดสามารถวางแผนทำร้ายศิษย์พี่ได้หรือเจ้าคะ?”
“มีผู้คนอยู่มากมาย” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ[1] นอกจากนี้ยังมีผู้ดำรงอยู่ไม่ธรรมดาที่อยู่บนยอดสูงสุด พวกเราเป็นเพียงปลาตัวเล็กๆ สองตัวในโลกบรรพกาลนี้เท่านั้น จงอย่าได้ทำตัวยโสและชะล่าใจเพียงเพราะคำชื่นชมจากสหายศิษย์ในสำนัก และจงให้ความเคารพ อย่าได้หมิ่นเกียรติผู้คน!”
หลิงเอ๋อร์เม้มปากและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้ว”
“อืม ข้ารู้สึกดีขึ้นมากหลังจากได้สั่งสอนบทเรียนให้เจ้า” หลี่ฉางโซ่วชี้ไปที่เมฆสีขาวและก้าวขึ้นไปเหยียบบนนั้นง่ายๆ “ข้าจะไปหลอมโอสถที่หอโอสถ และในเวลาเดียวกัน ข้ายังต้องคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง ครั้งนี้ ข้าตัดสินใจจะลงโทษตัวเองด้วยการคัดลอก ‘พระสูตรมั่นคง’ หกพันจบ แต่ข้าก็ยุ่งมากเกินกว่าจะหาเวลาว่างได้…”
“เช่นนั้นก็พยายามให้เต็มที่เจ้าค่ะ!”
หลิงเอ๋อร์กำหมัดของนางทันทีและชูกำปั้นขึ้น ทำท่าทาง ‘สู้ๆ’ ให้กำลังใจเขาเพื่อให้ทำงานหนักเต็มกำลังก่อนจะหันกลับมาและกำลังจะใช้หลีกลมเร้นกาย
จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็สะบัดนิ้วของเขา ทันใดนั้นร่างของหลิงเอ๋อร์ก็สั่นเล็กน้อยและหน้าผากของนางก็ชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น
จากนั้นนางก็ได้ยินศิษย์พี่ของนางกล่าวออกมาอย่างสบายๆ ว่า “ข้าต้องรบกวนเจ้าให้ยอมรับการลงโทษแทนข้าในครั้งนี้เสียแล้ว ศิษย์น้องหญิง”
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” หลิงเอ๋อร์รับคำอย่างเศร้าใจในขณะที่หลี่ฉางโซ่วรู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ขึ้นอย่างยิ่ง แล้วขี่เมฆตรงปรี่ไปที่หอโอสถ
ช่างสำราญใจอะไรเช่นนี้ หากแม้นมิได้เกิดเป็นมนุษย์
ในขณะนั้น แผนภาพไท่จี๋ขนาดเล็กได้ปรากฏขึ้นบนร่างหลักของหลี่ฉางโซ่ว เจดีย์เสวียนหวงและไม้เฉียนคุนรีบบอกลาเขาและเข้าไปในแผนภาพไท่จี๋อย่างรวดเร็ว
เขาบอกว่าศิษย์คนโตเรียกหาเขา… และดูเหมือนว่า หลี่ฉางโซ่วจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลมปราณสกปรกที่คุ้นเคยผ่านแผนภาพไท่จี๋
ทะเลเลือด?
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไปที่ทะเลเลือด?
ที่ขอบของแดนยมโลก ในความลึกของทะเลเลือดไร้ที่สิ้นสุด อสุราหญิงผู้งดงาม นุ่งน้อยห่มน้อยที่มีแขนสองข้าง กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ก้นทะเลเลือด นางกำลังดูดซับพลังของทะเลเลือดเพื่อรักษาตัวเอง
มีกระบี่สีขาวเงินอยู่บนเข่าของนาง ทันใดนั้น อสุราหญิงก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ นางจึงลืมตาขึ้นกะทันหัน ลมปราณรอบกายนางสั่นสะเทือนและนางก็เงยหน้าขึ้นมองทันที
บนทะเลเลือด แผนภาพไท่จี๋ค่อยๆ หมุนไปช้าๆ แล้วนักพรตเต๋าหนุ่มในชุดเขียวก็ก้าวออกมา มีเจดีย์เสวียนหวงอยู่เหนือศีรษะของเขา และเขากำลังถือไม้ยาวสีเขียวเอาไว้ แผนภาพไท่จี๋ค่อยๆ หมุนวนไปข้างหลังเขา แล้วทะเลเลือดที่ปั่นป่วนสงบลงทันที…
“ถึงตาข้าแล้ว”
………………………………………………………………..
[1] เป็นสัจธรรมนิรันดร์ว่าในหมู่ผู้เก่งกาจสามารถก็ย่อมมีผู้เก่งกาจเหนือกว่า