บทที่ 743 การสืบสวนของฮั่วจีว์ 1
เมื่อทั้งสองเดินผ่านโถงด้านในของหอนางโลม ถังหลี่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคย คุณชายเจ้าสำราญรูปงามรายล้อมไปด้วยผู้หญิงที่อายุมากกว่าเขา พวกเขาดูท่าทางสนิทสนิมกัน ถังหลี่จำได้ทันทีว่าคือฮั่วจีว์พี่ชายร่วมสาบานของนาง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะกู้หวนจิ่นและไป๋มู่หยางแต่งงานไปแล้ว ความโดดเดี่ยวเหงาหงอยจึงทำให้เขามาเยี่ยมเยียนหอนางโลมแบบนี้ แต่ในย่านกลางเมืองมีหอนางโลมที่เต็มไปด้วยหญิงสาวมากมาย เหตุใดเขาจึงมาที่หอนางโลมนี้กัน? ยิ่งไปกว่านั้นสตรีที่รายล้อมเขานั้นมีอายุมากกว่า ไม่ได้งดงาม บางคนริมฝีปากหนาเจ่อ บางคนตาหรี่เล็ก บางคนก็ผมสั้นกุด รสนิยมฮั่วจีว์เปลี่ยนไปแล้วหรือ?
“คุณชาย คืนนี้ให้พี่สาวได้ดูแลท่านนะ” สตรีคนหนึ่งรีบไปพิงอกฮั่วจีว์ เป็นเรื่องหายากที่จะมีแขกหน้าตาดีเช่นนี้เข้ามาในหอนางโลม พวกนางจึงไม่อยากจะปล่อยเขาไป
“ข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้น” ฮั่วจีว์พูดด้วยหน้าตาที่เหมือนบอกจะว่า ‘ข้าไม่มีเงิน ปล่อยข้าไปเถิด’
“โอ้ ..เพื่อเห็นแก่ท่าน พวกข้าจะเก็บเงินแค่เล็กน้อยเท่านั้น”
“ที่จริงข้าไม่ได้พกเงินมา” เขาพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากสาวๆ กลุ่มนั้นแต่ก็โดนดึงกลับ
“งั้นคิดว่าเรามาเล่นไร้สาระกันทั้งคืนดีหรือไม่?” นางพูดพลางสัมผัสไปที่ใบหน้าของฮั่วจีว์
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของถังหลี่ ฮั่วจีว์รีบหันไปมอง เขาขยิบตาให้ส่งให้
น้องสาวช่วยพี่ชายของเจ้าที
“สามี เขาทำแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรหรือ?” ถังหลี่ถาม
“อาจจะไม่อยากให้ใครไปรบกวนเขากระมัง” เว่ยฉิงพยายามช่วยคิด
“โอ้ งั้นไปกันเถิด” ถังหลี่พูดอย่างเข้าใจ พวกเขาทั้งสองคนเดินออกจากหอนางโลมแห่งนั้นทิ้งฮั่วจีว์ไว้ด้านหลังอย่างเลือดเย็น
ฮั่วจีว์อกหัก เขาคิดว่าน้องสาวจะช่วยเขา
ในที่สุดเขาก็สบโอกาสหาทางปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำ ผลักสตรีที่รุมล้อมตนเองออกไป เขารีบวิ่งกระโดดขึ้นรถม้าของถังหลี่และเว่ยฉิง นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ถังหลี่มองท่าทางลุกลนของเขาแล้วถอนหายใจ
“เกิดอาเพศขึ้นหรืออย่างไร?”
“อย่าเข้าใจข้าผิดนะ ข้าไม่ได้มาเที่ยว” ฮั่วจีว์แก้ตัวอย่างร้อนรน
ถังหลี่ถามด้วยความสงสัย
“ข้ามาสืบคดีบางอย่าง” เขาตอบ
สืบคดี? คุณชายเจ้าสำราญอย่างฮั่วจีว์มาทำงานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สืบคดีอะไร? เหตุใดจึงต้องไปหอนางโลมด้วย? ใบหน้าของถังหลี่เต็มไปด้วยความสงสัย สีหน้าของนางแสดงความไม่เชื่อถือออกมา
“น้องสาว เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับน้องเขย”
พูดจบเขาก็ตบบ่าของเว่ยฉิง ว่ากันตามตรงแล้วตอนนี้เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของฮั่วจีว์เลยก็ว่าได้ ผู้สำเร็จราชการคนนี้คือน้องเขยของเขา สวรรค์ ! ไม่ต้องบอกว่ามีคนหลายคนที่กำลังอิจฉาฮั่วจีว์
แม้แต่บิดาของเขาก็ยังปลื้มอกปลื้มใจไปด้วยเช่นกัน เขาไม่ทุบตีฮั่วจีว์อีกแล้ว เมื่อย้อนกลับไปตอนที่เขาเลือกเป็นพี่น้องร่วมสาบานของถังหลี่ นั่นถือเป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุดในชีวิตของเขาเลยทีเดียว
การไปหอนางโลมของฮั่วจีว์เกี่ยวข้องอย่างไรกับสามีนาง? ดวงตาของถังหลี่เหลือบไปทางเว่ยฉิง เขาตัวแข็งทื่อตบไหล่ฮั่วจีว์อย่างแรง
“อย่าหยุดสิ! รีบพูดให้จบ” ไหล่ของฮั่วจีว์ชาไปครึ่งแถบเพราะแรงตบจากเว่ยฉิง เขาลูบไหล่ที่ปวดร้าวของตน
“ปกติแล้วกรมอาญาและศาลต้าหลี่จะมีขอบเขตการทำงานที่ไม่ชัดเจน น้องเขยอยู่ที่กรมอาญาทำงานแบบเคร่งครัดในเรื่องคดี รวมถึงศาลต้าหลี่และกรมตรวจตรา แต่นอกเหนือจากกรมตุลาการทั้งสามแล้วยังมีการจัดตั้งหน่วยพิเศษขึ้นมา เรียกว่า “หน่วยลาดตระเวน” หน่วยนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพราะต้องแก้ไขคดีลึกลับที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ นอกจากนี้ยังรับสมัครคนทุกรูปแบบไม่จำเป็นว่าเขาจะเกิดในสกุลใหญ่โตหรือไม่ก็ตามที” ฮั่วจีว์เงยหน้าขึ้นแล้วตบที่อกตัวเอง
“สามีของเจ้าให้ข้าได้เข้าร่วมหน่วยงานนี้เพราะความสามารถของข้า”
“ความสามารถอะไร?” ถังหลี่มองไปที่เว่ยฉิง ฮั่วจีว์เงี่ยหูฟังเพื่อรอคำชมจากน้องเขยที่เป็นผู้สำเร็จราชการ
“คุณชายเสเพลไม่ได้ความแบบนี้สมควรหางานให้เขาทำบ้างจะได้ไม่เป็นภัยสังคม” เว่ยฉิงกล่าว
“…..”
ฮั่วจีว์คิดในใจว่า น้องเขย ข้าให้โอกาสเจ้าพูดใหม่..
“เขาเป็นชายเจ้าสำราญที่รู้จักทุกซอกทุกมุมในเมืองหลวงน่ะ” เว่ยฉิงกล่าวต่อ
ฮั่วจีว์: เป็นความสามารถที่เขายอมรับอย่างไม่เต็มใจ
ถังหลี่มองไปที่ฮั่วจีว์
“พี่รอง พี่กำลังสืบสวนอะไรอยู่หรือ? เหตุใดจึงต้องไปที่หอนางโลมแห่งนั้น”
“ครั้งนี้เป็นการจับฆาตกรต่อเนื่อง สมญานามคือ -ปีศาจถลกหนัง- คนผู้นี้เชี่ยวชาญเรื่องการถลกหนังของผู้หญิงในหอนางโลม แต่ก่อนอยู่ในเจียงหนานได้ก่อคดีถลกหนังนางโลมมาสองคน วิธีการของมันโหดร้ายมาก” ฮั่วจีว์ลดเสียงต่ำลง
“เมื่อเร็วๆ นี้ทางหน่วยได้รับรายงานว่าปีศาจถลกหนังได้มาถึงเมืองหลวงแล้ว มันจะต้องก่อคดีขึ้นอีกแน่นอน สาวๆ ในเมืองหลวงและหญิงในหอนางโลมกลางเมืองนั่นข้าคุ้นเคยดี แต่ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับย่านนี้เลยมาดูลาดเลาไว้” ฮั่วจีว์หยุดพูดไปชั่วครู่
“หลังจากการสืบสวนของข้า มันคงไม่ได้เล็งเป้าหมายผู้หญิงในหอแห่งนี้ เพราะผิวหนังที่มันต้องการต้องเป็นผิวชั้นดี นางโลมในหอนี้ไม่มีใครมีคุณสมบัติที่ว่า”
ถังหลี่ฟังแล้วพยักหน้า
“ข้าต้องจับมันให้ได้ จะดูสิว่าใครจะกล้าเรียกข้าว่าคุณชายเสเพลอีกหรือไม่?” ฮั่วจีว์พูดพลางมองไปที่เว่ยฉิงเป็นนัยว่ากำลังพูดกับเขา
“โอ้! จะได้เห็นฝีมือของเจ้าแล้ว” เว่ยฉิงตอบรับ
ท่าทีไม่ยี่หระของเว่ยฉิงกระตุ้นจิตวิญญาณในการต่อสู้ของฮั่วจีว์ลุกโชนขึ้น เขากำหมัดแล้วพูดว่า
“คอยดูเถิด” เขาจะต้องสืบคดีนี้ให้ได้ แล้วทุกคนจะได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คุณชายเสเพลไร้ความสามารถ!
หากเขามีชื่อเสียงไปทั่วแคว้น สาวงามที่เขาพบในงานแต่งงานของเหล่าไป๋จะได้สังเกตเห็นเขา หลังจากพบกันอย่างกระทันหันในคืนนั้น เขาก็ไม่เคยพบนางอีกเลย ราวกับเป็นแค่ฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น แต่เขาอดแย้งไม่ได้ว่า นั่นไม่ใช่ภาพฝันที่เขาละเมอคิดไปเองแต่อย่างใด เขาได้เห็นหญิงสาวผู้นั้นจริงๆ
ฮั่วจีว์ติดรถม้าของทั้งสองไปลงที่ใจกลางเมือง
“น้องเขย เจ้ารอดูความสำเร็จของข้าได้เลย” ความอยากเอาชนะของฮั่วจีว์ทำให้ถังหลี่อดยิ้มออกมาไม่ได้
ในนวนิยายเรื่องนี้ฮั่วจีว์ถูกกู้อิ๋นใส่ร้าย เขาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ แต่ตอนนี้เขายังคงอยู่สบายดีมีชีวิตที่สดใสราวก้บดวงตะวัน ช่างดีเหลือเกิน
ถังหลี่อดคิดอีกครั้งไม่ได้ว่า เป็นการดีแล้วที่จูชุนเจียวได้รับผลกรรมที่ตนได้เอาไว้
หลังจากที่ฮั่วจีว์ลงจากรถม้า เขาเข้าไปในร้านอาหารโดยมีสหายเจ้าสำราญของเขาเตรียมอาหารและสุราไว้ให้ พวกเขาทั้งสองคนดื่มกินและพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ในเมืองหลวง
“พี่ฮั่ว พี่เคยได้ยินหรือไม่ว่ามีสาวงามคนหนึ่งที่จือฮวาโหลว นางงดงามมากจนไม่อาจมีใครเทียบได้ ใครเห็นนางแค่เพียงครั้งเดียวก็ไม่อาจขยับตัวได้อีกเลย” สหายของฮั่วจีว์พูดอย่างพร่ำเพ้อ เรียกความสนใจจากเขาได้ทันที
“เจ้าเคยเห็นนางหรือไม่?”
“ไม่เลย นางลึกลับมาก ข้าได้ยินแต่เสียงร่ำลือเรื่องของนางเท่านั้น”
“เชอะ! นึกว่าเคยเห็นแล้วเสียอีก หอนางโลมที่ว่าคงอยากเพิ่มรายได้กระมัง ให้คนมาร่ำลือว่าเป็นสาวงามน่าหลงใหล พอเห็นเข้าจริงก็ไม่แคล้วหน้าตาธรรมดา ดาษดื่น” ฮั่วจีว์จงใจพูดเยาะ
“โอ้.. ข้าได้ข่าวว่านางจะเปิดตัวคืนนี้นะ เหตุใดเราไม่ไปชมดูนางกันล่ะ?” สหายเจ้าสำราญของฮั่วจีว์พูดขึ้น
“นางโลมที่งดงามเช่นนี้ ตั๋วที่เข้าไปชมนางหาได้ยากมาก ขนาดข้ายังได้มาแค่สองใบเท่านั้น พี่ฮั่วไปกับข้าหรือไม่?”
“ก็ได้..” ฮั่วจีว์กลอกตาทำท่าไม่เต็มใจ
“ฮิๆ ทำเป็นปากแข็ง” สหายของเขากระทุ้งศอกเข้าที่เอวของฮั่วจีว์
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าทำงานน่ะมันเหนื่อยยาก สู้เที่ยวสู้กินเล่นไม่ได้ สบายกว่ากันเยอะ”
ฮั่วจีว์ไม่ได้ตอบโต้ เขาอยากทำงานเพื่อที่จะได้ลบล้างคำสบประมาทเหล่านี้ ไม่ให้ใครมาดูถูกเขาได้อีก
ตกดึกคืนนั้นโคมไฟระหว่างทางถูกจุดขึ้น เมืองหลวงในเวลานี้เผยโฉมเปลี่ยนไปในมุมที่บางคนอาจไม่เคยได้เห็นมาก่อน
ฮั่วจีว์และเพื่อนเจ้าสำราญของเขาเข้าไปในจือฮวาโหลว หอนางโลมแห่งนี้นับว่าเป็นหอนางโลมที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แตกต่างจากหอนางโลมทั่วไปมาก สาวๆที่นี่จะแต่งกายงดงาม มีกิริยามารยาทดี รู้จักกาลเทศะ
“คุณชายทั้งสอง ที่นั่งของท่านอยู่ตรงนี้ขอรับ”
ฮั่วจีว์และสหายนั่งลงในทำเลที่ดีที่สุด เป็นที่นั่งตรงกลาง หันหน้าเข้าเวที
เขาและคนอื่นมาถึงในเวลาไล่เรี่ยกัน
ไม่นานที่นั่งก็เต็มอย่างเร็ว นางโลมคนใหม่ท่าทางจะมีชื่อเสียงมาก
ฮั่วจีว์และสหายแทะเมล็ดแตงโมงรอคอยการปรากฏตัวของสาวงาม
เมื่อมีเสียงดนตรีดังขึ้น หญิงสาวผู้หนึ่งสวมผ้าปิดหน้าก็เดินออกมา หญิงสาวมีรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสีขาว เรือนผมสีดำ คิ้วงามดูเลือนราง ดวงตาราวกับหยาดน้ำในฤดูใบไม้ร่วง เหมือนเป็นนางฟ้าที่ร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์ ความงดงามของนางทำให้ผู้ชายทุกคนตกตะลึง ดวงตาของฮั่วจีว์เบิกกว้าง เขารู้สึกว่าคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นเหลือเกิน
มันได้เข้ามาปรากฏในความฝันของฮั่วจีว์นับครั้งไม่ถ้วน หัวใจของเขาเต้นแรงกระหน่ำ ต้องการที่จะไปดึงผ้าคลุมหน้าผืนนั้นออกเพื่อดูว่าใช่สตรีคนเดียวกับที่เขาได้เห็นในงานเลี้ยงหรือไม่?