ฮองเฮาได้ฟังเจียงซื่อเอ่ยถามเช่นนั้นก็ส่งยิ้มอ่อนโยนพลางตอบ “ฝูชิงน่ะหรือ…นางชอบดูโคมไฟที่สุดแล้ว”
องค์หญิงฝูชิงป่วยด้วยโรคตาตั้งแต่ยังเด็ก นางไม่เคยเห็นสีสันในพื้นพิภพนี้มานานนับสิบปีแล้ว หลังจากที่เจียงซื่อรักษาโรคตาของนางจนหายดี ไม่ว่านางจะเฝ้ามองสิ่งใดก็รู้สึกว่ายังดูไม่จุใจ ขนาดเห็นมดบนพื้นกำลังแบกอาหารกลับรังนางยังหัวเราะได้ ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงโคมไฟหลากสีในเทศกาลหยวนเซียวเลย
ราชวงศ์แตกต่างจากคนทั่วไป ในเทศกาลซั่งหยวนบรรดาองค์หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวเล่น แต่สามารถขึ้นไปชมโคมไฟจากหอเซวียนเต๋อได้
ประตูเซวียนเต๋อเป็นประตูหลักของพระราชวัง หากมุ่งหน้าไปทางทิศใต้จะพบถนนราชดำเนินสือหลี่ สองข้างถนนขนาดใหญ่นั้นรายล้อมไปด้วยศาลาสูงและซุ้มโค้งประตูสีชาด เมื่อถึงเทศกาลซั่งหยวน ตามศาลาสูงและซุ้มโค้งจะถูกประดับประดาด้วยโคมไฟสีสันสดใส ตระการตา ซึ่งหน้าประตูหอเซวียนเต๋อถือเป็นจุดที่มีโคมไฟงดงามที่สุด
ครั้นเอ่ยถึงธิดาสุดที่รัก ฮองเฮามีเรื่องให้กล่าวไม่รู้จบ “ข้าจำได้ว่าเมื่อปีกลาย ฝูชิงขึ้นไปชมโคมไฟที่หอเซวียนเต๋อ นางร้องไห้ดีใจน้ำตาไหลจนผ้าเช็ดหน้าเปียกไปสองผืน กว่านางจะยอมกลับตำหนักได้ต้องให้คนช่วยกันลากนางกลับ…”
เจียงซื่อหัวเราะ “หากเป็นหม่อมฉัน ผ้าเช็ดหน้าสามผืนคงไม่พอเพคะ”
เมื่อสองปีที่แล้ว โรคดวงตาขององค์หญิงฝูชิงเพิ่งหายดี ฉะนั้นเมื่อเทศกาลโคมไฟเมื่อปีที่แล้วจึงเป็นการชมโคมไฟครั้งแรกของนางในรอบหลายปีที่ผ่านมา จึงไม่แปลกหากนางจะรู้สึกสุขล้นมากกว่าคนทั่วๆ ไป
เมื่อชาติก่อน เจียงซื่อจะกลับมาจากอูเหมียวในปีหน้า ซึ่งในตอนนั้นนางกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่านางมีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูสี่จวนตงผิงปั๋ว นางจึงเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน แม้แต่งานเลี้ยงของราชวงศ์นางก็ไม่มาร่วม หลังจากนั้นนางก็ได้ทราบข่าวเรื่องธิดาที่เกิดในฮองเฮาตกจากแทนสูงเสียชีวิต
ฮองเฮารันทดโศกศัลย์กับการจากไปของธิดาสุดที่รัก จึงไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงองค์หญิงฝูชิงอีกเลย
เมื่อหวนคิดถึงเด็กสาวอ่อนสุภาพที่มีดวงตามืดบอด เจียงซื่อก็รู้สึกปวดใจ ในตอนนั้นนางอดคิดไม่ได้ว่า หากองค์หญิงฝูชิงมองเห็นก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
แต่เมื่อวันนี้ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงกลับมามองเห็นแล้ว แต่เจียงซื่อก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดเช่นนั้น ฉะนั้นนางจะประมาทไม่ได้
เพราะหากลองคิดย้อนกลับไป การที่องค์หญิงที่ตาบอดขึ้นไปชมโคมไฟบนหอคอยสูงก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนัก
นั่นเป็นเพราะองค์หญิงฝูชิงอยากจะขึ้นไปฟังเสียงดอกไม้ไฟและเสียงของผู้คนจากบนนั้น หรือว่านี่อาจไม่ใช่เหตุบังเอิญ
อุบัติเหตุที่เกิดกับองค์หญิงเมื่อชาติที่แล้วไม่ได้เกิดขึ้นในเทศกาลซั่งหยวนในปีนี้ แต่เจียงซื่อก็จำบทเรียนที่สองสามีภรรยาหย่งชังปั๋วมอบให้นางได้ขึ้นใจ
ในชาติที่แล้ว ก่อนที่นางจะเสียชีวิต สองสามีภรรยาหย่งชังปั๋วมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย แต่ในชาตินี้นางเปลี่ยนเรื่องราวบางอย่าง จึงเป็นเหตุให้คนทั้งสองต้องเสียชีวิตอย่างน่าเวทนา และให้เซี่ยชิงเหยาสหายรักของนางต้องสูญเสียบุพการี
เจียงซื่อจึงพึงระลึกอยู่เสมอว่า การได้กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง มิใช่ว่าเรื่องที่เปลี่ยนไปจะส่งผลดีเสมอไป
นางใช้วิชารักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิง แต่จะทราบได้อย่างไรว่าเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นกับองค์หญิงในเทศกาลซั่งหยวนอีกสองปีข้างหน้าจะไม่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
แม้ว่าฮองเฮาอาจมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ควรเตือนให้นางรู้
ในขณะนั้นฮองเฮายังคงเล่าเรื่องขององค์หญิงฝูชิงอยากออกรส แต่เจียงซื่อจำต้องทำลายบรรยากาศเปี่ยมสุขนั้น
“เมื่อคืนหม่อมฉันฝันเพคะ…”
ทันทีที่เจียงซื่อเอ่ยปาก ฮองเฮาก็ชะงักงัน ท่าทีของนางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
พระชายาเยี่ยนอ๋องฝันอีกแล้วหรือ
ก่อนหน้านี้นางสั่งให้องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ไปดูว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่ที่จริงหรือไม่ แต่ผลปรากฏว่าองค์หญิงทั้งสองไม่ได้สนทนากับพระชายาเยี่ยนอ๋องเลยแม้แต่คำเดียว เนื่องจากมีคนมาเตือนนางในฝันว่าให้นางตั้งจิตสวดมนต์ภาวนา
ก่อนที่อวี้จิ่นจะกลับมา ฮองเฮาได้แต่ส่ายศีรษะกับคำกล่าวไร้สาระนั้น แต่ครั้นอวี้จิ่นพาตงผิงปั๋วซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย ฮองเฮาก็ประหลาดใจยิ่งนัก
ความฝันของคนอื่นๆ คงเป็นแค่ความฝัน แต่ความฝันของพระชายาเยี่ยนอ๋องกลับเป็นนิมิต…
ฉะนั้นเมื่อเจียงซื่อเอ่ยถึงเรื่องความฝัน ฮองเฮาก็ตั้งใจขึ้นมาทันที นางรีบถาม “เจ้าฝันอะไรหรือ”
“หม่อมฉันฝันว่าองค์หญิงล้มและได้รับบาดเจ็บขณะที่ไปทอดพระเนตรเทศกาลโคมไฟเพคะ…”
ประโยคของเจียงซื่อยังไม่ทันจบดี ฮองเฮาก็ลุกพรวดพร้อมกับสีหน้าตกใจสุดขีด “เจ้าว่าอะไรนะ”
ปฏิกิริยาของฮองเฮามิได้เกินความคาดหมายของเจียงซื่อ
องค์หญิงฝูชิงเป็นธิดาองค์เดียวของฮองเฮา นางหวงแหนบุตรีคนนี้ยิ่งกว่าสมบัติล้ำค่า หากเกิดอันตรายกับบุตรีของนาง นางคงรับไม่ไหว
ฮองเฮาไม่สนว่าเจียงซื่อจะคิดกับนางเช่นไร นางรีบเอื้อมมือไปคว้ามือของเจียงซื่อมาจับไว้ “พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้าฝันอะไรกันแน่”
เจียงซื่อเม้มปากด้วยท่าทีลังเล
ฮองเฮารีบตอบสนอง นางหันไปสั่งให้นางในทั้งหมดออกไป ทันทีที่ห้องเหลือกันเพียงสองคน ฮองเฮาก็รีบถามทันควัน “ฝูชิงเป็นอะไร”
เจียงซื่อขบริมฝีปากด้วยความลำบากใจ “แค่ก็ความฝันเพคะ เท่าที่จำได้คือเหมือนว่าอยู่ในที่ที่มีแสงไฟมากมาย แต่หม่อมฉันไม่ทราบว่าฝูชิงหกล้มได้อย่างไรเพคะ…”
นางไม่สามารถบอกอย่างละเอียดว่าองค์หญิงฝูชิงตกจากที่สูงจนเสียชีวิต อีกทั้งนางก็ไม่รู้ด้วยว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับองค์หญิงฝูชิงจะเกิดในเทศกาลซั่งหยวนปีนี้หรือไม่ นางเพียงแต่กันไว้ก่อนเท่านั้น
หากเกิดขึ้นจริง ความรู้สึกของฮองเฮาที่มีต่อนางคงเปลี่ยนไป แต่หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฮองเฮาคงได้แต่ตำหนินางอยู่ในใจ ฉะนั้นแล้วนางจะไม่ฟันธงซุ่มสี่ซุ่มห้า
แม้นี่จะเป็นการกล่าวเตือนลอยๆ แต่ก็ทำให้ฮองเฮาหวาดผวาจนเหงื่อกาฬท่วมตัว
“นี่อาจเป็นเพียงฝันทั่วๆ ไปที่ตื่นมาก็ลืมไปกว่าครึ่ง… เดิมทีลูกไม่อยากเล่าให้ผู้ใดฟัง เพราะกลัวจะถูกหัวเราะเยาะ เพียงแต่ลูกเป็นห่วงฝูชิงจึงอดไม่ได้ที่จะนำเรื่องนี้มากราบทูลเสด็จแม่ ขอเสด็จแม่อย่าได้ถือโทษที่ลูกเอ่ยวาจาเลอะเทอะเลยนะเพคะ…”
ฮองเฮาพยายามปรับอาการตื่นตระหนกให้กลับสู่ความสงบนิ่ง นางตบมือเจียงซื่อแผ่วเบาพลางฝืนยิ้ม “ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร กันไว้ก่อนย่อมดีกว่า ไม่แน่เทพเจ้าและพระพุทธองค์อาจใช้เจ้ามาเตือนภัยให้ฝูชิงก็เป็นได้…”
จะละเลยความฝันของพระชายาเยี่ยนอ๋องอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง!
เจียงซื่อลอบดึงมุมปาก
ฮองเฮาคงตื่นตัวไม่น้อย เทพเจ้าและพระพุทธองค์มิใช่หลักความเชื่อเดียวกัน หากจะมาปรากฏในฝันของนางพร้อมกัน คงได้เกิดศึกสงครามในฝันของนางเป็นแน่
“เสด็จแม่ นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว ลูกไม่รบกวนพระองค์แล้วเพคะ” เมื่อพูดสิ่งที่ต้องพูดครบแล้ว เจียงซื่อก็ไม่อยากอยู่ที่วังหลวงนานนักจึงรีบขอตัวกลับ
ฮองเฮาเดินออกมาส่งเจียงซื่อที่หน้าประตูด้วยตนเองพลางกำชับข้าหลวง “ไปส่งพระชายาให้ถึงที่” เมื่อคนในตำหนักเห็นขันทีเดินนำเจียงซื่อออกไปด้วยท่าทีนอบน้อมก็พากันคิดว่า ฮองเฮาทรงให้ความสำคัญพระชายาเยี่ยนอ๋องเพียงนี้เชียวหรือ
ฮองเฮารู้สึกว้าวุ่น ขณะที่นางกำลังเดินเข้าไปด้านใน นางชะงักฝีเท้าก่อนจะหันมาสั่งข้าหลวง “ไปเชิญองค์หญิงฝูชิงมาที่นี่”
องค์หญิงฝูชิงที่กำลังนั่งปักตัวอักษรคำว่า ‘พรรษา’ ถูกเรียกตัวกลับมาที่ตำหนักของฮองเฮา นางไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดเกิดขึ้น “เสด็จแม่เรียกลูกกลับมามีเรื่องอะไรหรือเพคะ”
ฮองเฮาพิศมองบุตรสาวพลางเอื้อมมือไปลูบเรือนผมแผ่วเบา นางกลืนคำพูดที่ตั้งใจจะกล่าวลงคอไป “เปล่าหรอก แค่จะดูว่าเจ้าแอบอู้อยู่หรือเปล่า”
แม้นางจะกังวลเรื่องความฝันของพระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่อาจกะทันหันเกินไปที่จะห้ามไม่ให้ฝูชิงไปชมโคมไฟตอนนี้
เอาเถอะ ไว้ถึงเทศกาลซั่งหยวน นางค่อยอ้างว่าไม่สบายและขอให้ฝูชิงอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน
ฮองเฮาตกลงใจเช่นนั้น ความรู้สึกของนางก็สงบลงมาก
แล้วคืนก่อนเทศกาลซั่งหยวนก็มาถึง ฮองเฮายังไม่ทันได้แสดงอาการป่วย องค์หญิงฝูชิงที่กลับมาจากตำหนักฉือหนิงก็มายืนอยู่ตรงหน้านางและฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเริงร่าพลางกล่าว “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เสด็จย่าตรัสว่าอยากเสด็จไปทอดพระเนตรโคมประทีปที่หอเซวียนเต๋อ ลูกและน้องสิบสี่ก็จะได้ไปด้วยเพคะ…”