ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 80 ทีละก้าว (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

จังหวะที่เจียงเจ๋อรับตำราพิณ ชิวอวี้เฟยกำอาวุธที่ซ่อนไว้อย่างไม่รู้ตัว ทว่าเมื่อเห็นดวงตาอันสงบนิ่งวางเฉยคู่นั้น เขาก็ใจอ่อนอย่างห้ามมิได้ ความลังเลชั่วครู่นี้ทำให้เสี่ยวซุ่นจื่อเข้ามาประชิดเจียงเจ๋อ คุ้มกันเจียงเจ๋อไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

ในใจชิวอวี้เฟยทอดถอนใจที่พลาดโอกาสครั้งหนึ่ง แต่กระนั้นก็ลอบยินดีอยู่เลือนราง เขาหวังว่าจะทำให้เจียงเจ๋อตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ ดีที่สุดให้เขามิทราบว่าตนคือมือสังหารที่คร่าชีวิตเขา

ข้ารับตำราพิณกลับมาแล้วยื่นแขนขวาออกมาเชื้อเชิญ ‘เกาเหยียน’ เข้ามาด้านในเพื่อร่วมรับประทานมื้อเช้า เห็นเขามองข้าอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ในใจก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ข้าตัดใจสังหารเขามิลง ดูท่าเขาก็คงตัดใจลงมือกับข้ามิได้ดุจเดียวกัน ข้าจึงยิ้มละไมเอ่ยว่า “ซวี่จือกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ”

ชิวอวี้เฟยได้สติกลับมา เขากำลังคิดจะหาข้ออ้างที่ตนเหม่อลอยสักข้อหนึ่ง ทันใดนั้นเสียงอาชาควบเต็มฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอก ทุกคนมองไปยังประตูเรือน ไม่นานทหารม้าสวมเกราะสีเพลิงสี่ห้านายก็ลงจากม้าตรงหน้าประตูเรือน ทหารม้าผู้องอาจคนหนึ่งผลุนผลันเข้ามา เมื่อเดินมาถึงหน้าบันไดก็คุกเข่าลงคำนับ สองมือชูขึ้นเหนือหัว ประคองถุงผ้าแพรสำหรับใส่สารใบหนึ่งไว้ แล้วเอ่ยอย่างรีบร้อน “จวงจวิ้นคารวะใต้เท้า องค์ชายมีรับสั่ง กองทัพมีเรื่องด่วน ขอใต้เท้ากลับค่ายเพื่อหารือทันที”

ฮูเหยียนโซ่วรับถุงผ้าแพรมาแล้วเปิดออกตรวจสอบก่อน จากนั้นจึงส่งสารสองฉบับที่อยู่ด้านในให้เจียงเจ๋อ ดวงตาชิวอวี้เฟยทอประกายวูบหนึ่ง เขามองเห็นคำว่า ‘เกาเหยียน’ ที่เขียนอยู่บนสารฉบับหนึ่งในนั้น ส่วนสารอีกฉบับมีเพียงคำขึ้นต้นกับลงท้าย แม้เพียงเหลือบมองไวๆ ก็เห็นว่าเป็นสารที่ฉีอ๋องเขียนถึงเจียงเจ๋อ

เขาเห็นเจียงเจ๋อเปิดสารฉบับนั้น เมื่ออ่านจนจบ ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ายินดีจางๆ แม้จะปรากฏเพียงชั่วครู่แล้วจางหาย แต่ชิวอวี้เฟยก็เห็นชัดเจน เจียงเจ๋อพับสารฉบับนั้นแล้วส่งให้เสี่ยวซุ่นจื่อ เสี่ยวซุ่นจื่อสอดสารฉบับนั้นไว้ในอกเสื้อ ส่วนสารอีกฉบับหนึ่ง เจียงเจ๋อหยิบมาอ่านอย่างไวๆ รอบหนึ่งก็มองมาทางตนเอง

ชิวอวี้เฟยทราบว่านั่นคงเป็นข่าวกรองที่สายลับแห่งกองทัพต้ายงสืบเกี่ยวกับตัวตนของตน แม้เชื่อว่าศิษย์พี่คงมิทิ้งช่องโหว่อันใดไว้ แต่ชิวอวี้เฟยก็ยังคงลุ้นระทึก ทว่าบนใบหน้ากลับไม่เผยท่าทางให้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย

ข้าแสดงรอยยิ้มเบิกบานใจออกมา แล้วกล่าวว่า “ซวี่จือ เดิมทีข้าคิดจะพาท่านกลับค่าย แต่ค่ายใหญ่ส่งข่าวมาแจ้งแล้วว่าตัวตนของท่านไม่มีปัญหา ข้าจึงตัดสินใจโดยพลการ ทำหนังสือยืนยันตัวตนให้ท่าน ให้ท่านจากไปได้อย่างอิสระ

แม้ข้าอยากอยู่กับท่านเพิ่มอีกสักสองสามวัน แต่สงครามอันตรายนัก ข้ามิต้องการให้ท่านเข้ามาเสี่ยง หากท่านยินดี จะไปพักยังจวนของข้าที่ฉางอันก่อนก็ได้ อย่างมากสองปี อย่างสั้นปีเดียว ข้าก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว ถึงยามนั้นข้าอยากฟังว่าวิชาพิณของท่านก้าวหน้าสักเพียงใด”

หัวใจชิวอวี้เฟยสะท้านอย่างรุนแรง เขาเบิ่งตามองเจียงเจ๋อเดินเข้าไปในห้อง ไม่นานอีกฝ่ายก็ถือสารที่รอยหมึกยังใหม่เอี่ยมฉบับหนึ่งออกมา แล้วคลี่ยิ้มเอ่ยกับตนว่า “มีสารฉบับนี้ ขุนนางระหว่างทางจะไม่สร้างความลำบากให้ เมื่อท่านไปถึงฉางอัน จงไปหาภรรยาของข้า นางย่อมช่วยท่านจัดหาที่พักอาศัย ฉางอันเป็นนครแห่งจักรพรรดิ รุ่งเรืองหาใดเทียม ซวี่จือจักต้องอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุขเป็นแน่”

แววตาของเจียงเจ๋อช่างแสนมีความสุข ทว่าชิวอวี้เฟยกลับประหนึ่งตกลงไปในห้องเก็บน้ำแข็ง เขาไหนเลยจะคิดว่าหลังเจียงเจ๋อ ‘พิสูจน์’ ตัวตนของตนแล้วจะส่งตนจากไปทันที แม้นี่บ่งบอกว่าเจียงเจ๋อรู้สึกดีต่อตนเองอย่างยิ่ง จึงปล่อยให้ตนจากไปอย่างอิสระโดยง่ายดายเช่นนี้ ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนไหนเลยจะยังมีโอกาสลอบสังหาร เมื่อเขาได้สติกลับมา สารฉบับนั้นก็ถูกยัดเข้ามาในมือตน ส่วนเจียงเจ๋อก็ถอยออกไปแล้ว

หลังจากส่งเอกสารให้แก่ ‘เกาเหยียน’ ข้าก็ถอยกลับมาอยู่ข้างกายเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างปลอดภัย ในใจคิดอย่างพึงพอใจว่าครานี้คงไม่มีอันตรายมากนักแล้ว แต่ก็มิกล้าเผยความยินดีปรีดาออกมา ใบหน้าข้าเต็มไปด้วยความเสียดายขณะกล่าวว่า “ซวี่จือ ข้าต้องออกเดินทางประเดี๋ยวนี้แล้ว หากมีวาสนา พวกเราคงจักได้พบกันอีก”

เวลานี้เอง องครักษ์หลายคนก็เดินออกมาจากด้านในห้อง มือหอบหิ้วสัมภาระ เสี่ยวซุ่นจื่อรับเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเขียวมาผูกบนร่างของข้า ข้าคำนับ ‘เกาเหยียน’ อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ซวี่จือรักษาตัวด้วย” กล่าวจบก็เดินไปด้านนอก เสี่ยวซุ่นจื่อกับองครักษ์หลายนายคุ้มกันข้าอยู่ตรงกลางขณะก้าวออกไป

ชิวอวี้เฟยทราบว่านี่เป็นโอกาสสุดท้าย หากไม่คิดหาหนทางย่อมไม่มีโอกาสลอบสังหารอีกแล้ว ชั่วขณะฉุกละหุก ปฏิภาณก็บังเกิด เขาตะโกนเสียงดัง “สหายเจียงช้าก่อน” กล่าวจบก็ก้าวเร็วไวมาด้านหน้า จนถึงด้านหลังเจียงเจ๋อไม่กี่จั้งก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงคารวะ กล่าวว่า “ข้าเป็นคนตกยาก แต่กลับได้รับความเมตตาจากสหายเจียง ท่านมอบตำราพิณให้ ดูแลดั่งน้องชายในสายเลือด ข้ามิมีสิ่งใดตอบแทน ขอสหายเจียงโปรดรับการคำนับครั้งนี้ นับจากนี้อีกหลายปีอาจมิมีโอกาสพบหน้ากันแล้ว” กล่าวจบก็ก้มลงโขกศีรษะ

ข้าตกตะลึงวูบหนึ่ง ทั้งที่เดาได้ว่าเขาต้องการล่อให้ข้าเข้าไปใกล้ ทว่าในหัวใจก็ยังคงเศร้าหมอง ข้าย่อมมีวิธีการดีๆ รับมือ เพียงหันหลังให้เขา กล่าวถ้อยคำถ่อมตนอย่างเสแสร้งสองสามคำแล้วกล่าวคำลวงแสร้งทานทนความเจ็บปวดที่ต้องแยกจากมิไหวอีกเล็กน้อยก็มิต้องไปประคองเขาแล้ว

ทว่าสิ่งซึ่งโศกาสุดแสน มิพ้นพลัดพรากจากจร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลังจากแยกจากกันวันนี้ต้องกลายเป็นศัตรูคู่แค้น มิอาจมีวาสนาได้พบหน้าถกเพลงพิณกันอีก หวนนึกถึงช่วงหลายวันนี้ที่ได้อยู่ด้วยกัน แม้ข้าจะแสดงออกเหมือนจริงใจ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับวางแผนตลบหลังเขา ส่วนเขาทั้งที่เป็นมือสังหาร แต่ข้ากลับเห็นว่าเขามอบใจจริงให้มากกว่าข้าเสียหลายส่วน ในใจจึงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง

มิรู้เพราะเหตุใด หัวใจของข้าจึงร้อนรุ่ม มิอาจรักษาความสงบเยือกเย็นได้อีกต่อไป ให้โอกาสเขาลอบสังหารข้าสักครั้งเถิด หลังจากนี้ข้าจะได้มิติดค้างเขาแม้แต่น้อยอีก

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าจึงหันหลังกลับเดินเข้าไปหาเขา แล้วยื่นมือออกมาประคองพร้อมกล่าวว่า “ซวี่จือมิต้องมากพิธี วันนี้เพียงจากกันชั่วคราว วันหน้าย่อมมีโอกาสพบพานกันอีก”

จังหวะที่เจียงเจ๋อหมุนตัวกลับไปอย่างกะทันหัน เสี่ยวซุ่นจื่อกับองครักษ์ที่ทราบเรื่องมาก่อนล้วนหัวใจสั่นไหว แต่ก็มิกล้าเข้ามาขวาง หากทำให้ ‘เกาเหยียน’ มองออกว่าพวกเขากำลังเล่นละคร เกรงว่าแผนการของใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพคงคว้าน้ำเหลว ความผิดประการนี้พวกเขาแบกรับมิไหว

ทว่าชีวิตกับความปลอดภัยของเจียงเจ๋อก็สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด นอกจากเสี่ยวซุ่นจื่อผู้มีฐานะพิเศษซึ่งก้าวเร็วไวตามไปปกป้องข้างกายเจียงเจ๋อแล้ว พวกเขาก็ล้วนขยับเข้าใกล้เจียงเจ๋ออย่างมิรู้ตัว โชคยังดี หัวใจของชิวอวี้เฟยกำลังฮึกเหิมจึงมิทันสังเกตความผิดปกติขององครักษ์เหล่านี้

ตอนที่มือขวาของข้าเอื้อมไปหา ‘เกาเหยียน’ นั่นเอง เขาก็เงยหน้าขึ้น ข้ามองเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็เห็นเงาดำดั่งอสรพิษเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา ระยะห่างใกล้เช่นนี้ ข้ามองเห็นแส้อ่อนสีดำเส้นนั้นได้ชัดยิ่งนัก ยามนี้ตัวแส้อาบด้วยลมปราณเต็มเปี่ยม เสมือนหนึ่งลูกศรคมกริบพุ่งเข้ามาที่ใบหน้าของข้า

ทั้งที่ในใจรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมีการลอบสังหาร แต่ข้ากลับได้ยินเสียงตวาดอย่างโศกศร้าโกรธแค้นดังขึ้นข้างหู “ซวี่จือ!” นั่นเป็นเสียงของตัวข้าเองแท้ๆ แต่เหตุไฉนข้ากลับมิทราบว่าตะโกนออกมาได้เช่นไร

ในชั่วเวลาระหว่างความเป็นความตายนั้น ข้าพลันรู้สึกเจ็บแปลบตรงข้อพับเข่า สองเข่าอ่อนยวบลงไปคุกเข่า ขณะที่เส้นสีดำนั่นเฉียดผ่านเรือนผมของข้าไป หลังจากนั้นกำลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งก็ฉุดกระชากข้าจากด้านหลัง ข้าล้มหงายหลัง เข่าสองข้างเกือบหักจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างมิอาจห้าม

ข้าเห็นเงาสีเขียวสายหนึ่งโฉบผ่านเบื้องหน้า หลังจากนั้นก็มีคนหิ้วปีกข้าสองข้างลากไปอยู่ด้านข้าง เมื่อสติข้ากลับมาแจ่มชัดก็เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อโรมรันอยู่กับ ‘เกาเหยียน’ ผู้นั้นแล้ว ผู้ที่ช่วยพาข้ามาอยู่ด้านข้างก็คือฮูเหยียนโซ่วกับองครักษ์อีกนายหนึ่ง

ในตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว จะต้องเป็นเสี่ยวซุ่นจื่อใช้วิชาอันใดช่วยข้าไว้เป็นแน่ แต่เจ้าเด็กคนนี้คงโกรธที่ข้าประมาทเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย หรือไม่ก็ไม่มีหนทางอื่นที่ดีกว่าอีกแล้วจึงต้องให้ข้าเจ็บปวดเล็กน้อย แต่จากที่ข้ารู้จักเขา เหตุผลน่าจะเป็นประการแรกเสียมากกว่า อาการอ่อนแรงหลังจากรอดพ้นความตายทำให้ข้าลอบสาบานในใจว่าหลังจากนี้ห้ามบุ่มบ่ามอีกเป็นอันขาด จะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้มิได้อีกต่อไป

ข้าเช็ดเหงื่อเย็นเฉียบที่มิทราบว่าหลั่งรินออกมาตั้งแต่เมื่อใดเบาๆ จากนั้นจึงตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวซุ่นจื่อ จับเป็นเกาเหยียนมาให้ข้า ข้าจะถามเขาว่ายังมีความดีงามในหัวใจเหลืออยู่หรือไม่”

ไม่ต้องเสแสร้ง น้ำเสียงกับสีหน้าของข้าก็มีแต่ความโศกเศร้าและโกรธแค้น องครักษ์ทั้งหลายรอบด้านตีวงล้อมเข้ามา ภาพที่เจียงเจ๋อเกือบถูกลอบสังหารเมื่อครู่ทำให้ในใจพวกเขาหวาดผวาไม่หาย นึกเคียดแค้นชิงชังมือสังหารไปถึงกระดูกดำ ดังนั้นย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีรอดไปเป็นอันขาด