ภาค-4-ดรุณีสีเพลิง ตอนที่ 81 พลีชีพสัประยุทธ์ (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เงาแส้บินฉวัดเฉวียนประหนึ่งมังกรดำบินร่อนกลางหมู่เมฆา แต่เงาร่างดั่งภาพลวงร่างนั้นกลับรุกคืบถอยหลบเงาแส้ได้ดั่งใจคราแล้วคราเล่า ทุกนิ้ว ทุกฝ่ามือดุดันเฉียบคม ทว่ากลับลื่นไหลต่อเนื่อง ชิวอวี้เฟยยิ่งต่อสู้ด้วยยิ่งตระหนก แม้ทราบมาก่อนแล้วว่าเงามารหลี่ซุ่นวรยุทธ์สูงส่ง แต่วันนี้ได้ประมือจึงเพิ่งทราบว่าคนผู้นี้เก่งกาจอย่างแท้จริง

หากศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่นี่น่าจะต่อสู้กับเขาได้ แต่ตนเองรับมือได้สองร้อยกระบวนท่าก็ยากแล้ว ราชองครักษ์หู่จีเหล่านั้นเพียงล้อมอยู่รอบด้าน คิดว่าคงเชื่อมั่นในตัวเงามารหลี่ซุ่นอย่างยิ่ง จึงไม่สอดมือเข้ามายุ่งระหว่างการต่อสู้ของพวกเขา เพียงแต่ป้องกันมิให้ตนหลบหนีเท่านั้น

ประมือกันเพียงสิบกว่ากระบวนท่า ชิวอวี้เฟยก็เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่าง เขาลอบยินดีที่เมื่อก่อนแม้ตนเกียจคร้านการฝึกฝนวิทยายุทธ์ แต่ถูกอาจารย์กับศิษย์พี่ใหญ่กวดขัน วรยุทธ์จึงมิย่ำแย่มากเท่าใดนัก ในตอนนี้เอง เขาก็ได้ยินเจียงเจ๋อออกคำสั่งอย่างโกรธแค้นว่าให้จับเป็นตนเอง ชิวอวี้เฟยเจ็บปวดใจจึงตัดสินใจบุกโจมตีสุดชีวิตอย่างมิสนความเป็นความตาย แม้บนสีหน้าของเงามารหลี่ซุ่นมิปรากฏความลังเล แต่มือก็ผ่อนแรงลงมาก เมื่อฝั่งหนึ่งเพิ่มฝั่งหนึ่งลดเช่นนี้ ชิวอวี้เฟยจึงกลับกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ

การถูกบีบให้ลงมือลอบสังหาร แต่เดิมก็ยากนักจะสำเร็จ ชิวอวี้เฟยก็มิทราบว่าตนเองเตรียมใจสละชีวิตเอาไว้หรือไม่ แต่เขามิได้สนใจคำสั่งที่อาจารย์บอกแก่ตนก่อนเดินทางว่าให้ ‘ลงมือหากมีโอกาส’ อย่างสิ้นเชิง ในใจเขาทราบดีว่าถึงแม้เขารักพิณเหนือทุกสิ่ง แต่หากเป่ยฮั่นล่มสลาย พรรคต้องพบคราวเคราะห์ เขาก็ยินดีตายเพื่อขอขมา ในเมื่อแม้แต่ชีวิตยังมิคิดรักษา ยังจะคะนึงถึงมิตรภาพบุญคุณอันใดอีก แม้ตัวตาย เขาก็ต้องสังหารเจียงเจ๋อให้จงได้ ความคิดบ้าคลั่งเช่นนี้ค่อยๆ เข้าครอบงำหัวใจของเขา

ประมือกันอีกไม่กี่กระบวนท่า จู่ๆ สีหน้าของชิวอวี้เฟยก็เคร่งขรึม เขาโถมเข้าใส่เสี่ยวซุ่นจื่อโดยไม่หลีกไม่หลบ ฝ่ามือของเสี่ยวซุ่นจื่อฟาดเข้ามา ชิวอวี้เฟยกลับทำราวกับไม่เห็น แส้อ่อนประหนึ่งอสรพิษฉกลิ้นอ้อมหลังของเสี่ยวซุ่นจื่อ ฝ่ามืออยู่ด้านหน้า แส้อยู่ด้านหลัง ล้อมเสี่ยวซุ่นจื่อไว้ตรงกลาง

เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้ว เขาย่อมมิคิดตกตายไปพร้อมกับชิวอวี้เฟย เขาพลิกกายครั้งหนึ่ง หลบพ้นปลายแส้กับสายลมจากฝ่ามือด้วยช่องว่างที่แคบยิ่งกว่าเส้นผม เวลานี้เอง ชิวอวี้เฟยพลันเบี่ยงศีรษะแล้วอ้าปาก ลูกศรสีเลือดเล่มหนึ่งพุ่งออกมาดั่งสายฟ้า ยิงเข้าใส่จุดสำคัญของเสี่ยวซุ่นจื่อ แม้ท่าร่างของเสี่ยวซุ่นจื่อแปรเปลี่ยนยากคาดเดาก็ยังยากจะรับมือ

โชคยังดีที่เขาก้าวเข้าสู่ขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว เพียงพริบตาเดียวลมปราณในร่างก็พลันไหลย้อนกลับ ลูกศรสีเลือดเล่มนั้นเฉียดผ่านหัวไหล่ เสี่ยวซุ่นจื่อรู้สึกว่าหัวไหล่เจ็บแปลบ คิดว่าคงบาดเจ็บไม่เบา การบังคับลมปราณให้ไหลย้อนกลับอย่างฉับพลัน แม้แต่ตัวเขาเองก็มิอาจปลอดภัยดี เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่งอย่างมิอาจกลั้น ยิ่งเพลิงโทสะของเขาลุกโหม หัวใจกลับยิ่งเยือกเย็น เขาฉวยโอกาสโจมตีหนึ่งฝ่ามือเข้าใส่

สิ่งที่ชิวอวี้เฟยใช้คือวิชามาร ‘ศรหยกโลหิต’ วิชาลับของพรรคมาร แปรเปลี่ยนโลหิตเป็นอาวุธร้ายสังหารคน ทว่าวิชานี้ทำให้ลมปราณเสียหายอย่างยิ่ง ขณะที่หนึ่งฝ่ามือนี้ของเสี่ยวซุ่นจื่อแฝงโทสะและพิสดารยิ่งนัก ชิวอวี้เฟยเห็นท่าจะหลบมิพ้นจึงตัดสินใจฝืนรับฝ่ามือตรงๆ ลมปราณหนาวยะเยือกพุ่งเข้ามาในร่างชิวอวี้เฟยอย่างกำเริบเสิบสาน ชิวอวี้เฟยกลับอาศัยแรงลอยล่องถอยหลัง แม้โลหิตสาดกระเซ็นเป็นทางบนผืนหิมะในลานเรือนระหว่างที่ร่างกายลอยละลิ่ว ทว่าในที่สุดก็สลัดกายหลุดได้สำเร็จ แล้วพุ่งตรงเข้าใส่เจียงเจ๋อ

ฝ่ามือขวาของเสี่ยวซุ่นจื่อโจมตีถูกชิวอวี้เฟย กลับรู้สึกดั่งฟาดฝ่ามือใส่ปุยนุ่น มิมีจุดใดต้องแรง ในใจพลันรู้ทันทีว่าแย่แล้วจึงเร่งทะยานร่างไล่ตามไป

ข้ามองจากไกลๆ เห็นเพียงระหว่างไม่กี่สิบกระบวนท่า เสี่ยวซุ่นจื่อกับ ‘เกาเหยียน’ ก็เลือดสาดบนลานกว้าง ต่อสู้ดุเดือดยิ่งนัก ในใจอดนึกหวาดหวั่นมิได้ กังวลจริงๆ ว่าเสี่ยวซุ่นจื่อจะสู้มิได้ แล้วจึงนึกเสียใจว่าเหตุใดมิใช้อุบายจับตัว ‘เกาเหยียน’ ผู้นั้นไว้เสียตั้งแต่แรก

เวลานี้ ‘เกาเหยียน’ ผู้นั้นทะยานร่างเข้ามาหาข้าอีกครั้ง ในใจข้าตกตะลึง โชคยังดีที่พวกฮูเหยียนโซ่วขวางเขาเอาไว้ แม้ราชองครักษ์หู่จีเหล่านี้มิมีผู้ใดเป็นคู่ต่อกรของเขาได้ แต่ชั่วครู่ชั่วยามเขาก็อย่าหวังว่าจะพุ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาได้เช่นกัน ข้าเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อไล่ตามมาแล้ว คิดว่าเขาคงมิอาจสลัดหนีพ้น ข้าจึงสงบใจลง

ผู้ใดจะคาดคิด เพิ่งจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้เหินร่อนกลางอากาศประหนึ่งเหยี่ยวโฉบจับเหยื่อผู้นั้นก็พลันหันหน้ามายิ้มให้ข้า ข้าเห็นคราบเลือดเด่นชัดบนดวงหน้างดงามซีดเผือดของเขาพลันรู้สึกโศกสลด ยังมิทันปรามอารมณ์ให้กลับมาสงบ เขาก็หยิบยืมแรงทะยานหลบคมอาวุธเข้ามาอีกหน ประกายแสงสีทองสองจุดดีดออกมาจากในแขนเสื้อ ทะลวงผ่านกลุ่มคนพุ่งเข้ามาหาข้า

องครักษ์สองนายชักดาบออกมาฟาดฟันทว่าพลาดเป้า พวกเขาถลันร่างมาขวางหน้าอาวุธลับแทน ประกายแสงสีทองสองจุดนั้นกลับทะลุผ่านเลือดเนื้อของพวกเขาแล้วพุ่งเข้าใส่ข้าต่อด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงแม้แต่น้อย

ข้ารู้สึกสองขาอ่อนแรง ไร้กำลังหลีกหลบ ทว่าเวลานี้เอง มือขาวซีดข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบปิ่นสีดำสนิทเล่มหนึ่งสกัดประกายแสงสีทองสองจุดนั้นจนร่วง กลับกลายเป็นว่าเสี่ยวซุ่นจื่อหัวไว เห็นชิวอวี้เฟยบุกโจมตีอย่างไม่เสียดายสิ่งที่ต้องแลกเช่นนี้ก็ทราบว่าต้องมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นแน่ สำหรับเขาแล้วความปลอดภัยของข้าสำคัญที่สุด ดังนั้นจึงเร่งรีบกลับมาข้างกายข้า ใช้ปิ่นเหล็กนิลที่ข้าบังคับให้เขาพกติดตัวปัดอาวุธลับหมายเอาชีวิตนั่นสำเร็จทันเวลา

เวลานี้องครักษ์สองคนที่ถูกอาวุธลับทะลวงผ่านร่างเพิ่งทรุดฮวบลงบนพื้น ท่าทางเจ็บปวดยิ่งนัก พวกเขาล้วนเป็นบุรุษกล้าแกร่งแต่กลับเจ็บถึงเพียงนี้ เห็นชัดว่าอาวุธลับนั่นคงสร้างบาดแผลให้พวกเขาฉกรรจ์นัก โลหิตทะลักออกมามิหยุด

ชิวอวี้เฟยมองจากไกลๆ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง อาวุธลับนี้ร้ายกาจยิ่ง มันเป็นสิ่งที่จิงอู๋จี๋ใช้ผลึกประหลาดชนิดหนึ่งซึ่งได้มาอย่างไม่คาดฝันจากทะเลทรายสร้างขึ้นมา ผลึกชนิดนี้ไม่กลัวไฟไม่กลัวน้ำ แข็งแกร่งยิ่งนัก น่าเสียดายมีขนาดเพียงเท่าแกนพุทรา จิงอู๋จี๋ใช้นายช่างมากฝีมือและเสียเวลานานหลายปีกว่าจะฝนผลึกชนิดนี้จนกลายเป็นอาวุธลับทรงกระสวยปาดเฉียงเป็นคมแหลมได้สำเร็จ ขอเพียงใส่พลังภายในลงไปเพียงพอ มันก็จะทะลุได้แม้แต่เกราะเหล็กกล้า แล้วยังทะลุผ่านลมปราณคุ้มครองกายได้อีกด้วย

จิงอู๋จี๋มีอาวุธลับชนิดนี้เพียงหกชิ้น เพราะตัวเขาเองมิใช้อาวุธลับ และชิวอวี้เฟยวรยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอ เขาจึงมอบให้ชิวอวี้เฟยไว้ป้องกันตัวสามชิ้น นับเป็นอาวุธล้ำค่าสำหรับปกป้องตนเองของชิวอวี้เฟย เขาไม่มีทางนำออกมาใช้โดยง่ายเป็นอันขาด แต่คิดไม่ถึงว่ายามนี้ใช้ออกมาสองชิ้นกลับถูกเสี่ยวซุ่นจื่อขวางไว้ได้ เขานึกเสียใจ หากเมื่อครู่ตอนเริ่มลอบสังหารเขาใช้อาวุธลับทันที บางทีอาจกระทำการสำเร็จแล้วก็เป็นได้

กายข้าสั่นสะท้าน อาวุธลับนั่นทะลวงผ่านองครักษ์ผู้สวมเกราะอ่อนมาแล้วยังทรงพลังปานนั้น คิดดูก็ทราบว่าหากตกต้องร่างข้าจะเกิดผลเช่นไร ข้าก้มลงเก็บอาวุธลับสองชิ้นนั้นบนพื้น แม้ยังมิทราบวัสดุที่ทำ แต่ทราบว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง เมื่อพบว่าไม่มีพิษ ข้าอดรู้สึกโชคดีมิได้ คิดว่า ‘เกาเหยียน’ คงหยิ่งทะนงจนดูแคลนไม่ทายาพิษลงบนอาวุธลับกระมัง

ข้าตะโกนเสียงดัง “อาวุธลับไม่มีพิษ ใช้ยาขวดนี้ห้ามเลือดให้พวกเขา”

ข้าล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อส่งให้องครักษ์ด้านข้าง พวกเขารีบเข้าไปช่วยเหลือองครักษ์ที่บาดเจ็บสองคนนั้น ไม่นานเลือดก็หยุดไหล โชคยังดีที่พวกเขาพยายามเลี่ยงแล้วจึงไม่ถูกจุดสำคัญ มิเช่นนั้นคมมีดเฉียงอันร้ายกาจเช่นนี้ย่อมเพียงพอทำให้พวกเขาตายในทันที

แม้เวลาจะผ่านไปเพียงชั่วครู่สั้นๆ แต่ชิวอวี้เฟยก็ถูกองครักษ์หกคนร่วมมือกันใช้ค่ายกลดาบกักเอาไว้แล้ว องครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นทหารกล้าผู้ชาญสมรภูมิ วรยุทธ์ก็ล้วนเป็นชั้นสองขึ้นไป อีกทั้งยามนี้ยังมิมุ่งหวังความดีความชอบ ต้องการเพียงมิทำผิดพลาด ชิวอวี้เฟยจึงรู้สึกว่าตนตกอยู่ท่ามกลางตาข่ายดัก ไร้กำลังพาตัวเองออกไป แต่เขาเป็นผู้มีสันดานหยิ่งทะนง แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังกัดฟันต่อสู้อย่างยากลำบาก โชคยังดีเสี่ยวซุ่นจื่อเหมือนจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเจียงเจ๋อจึงมิได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย มิเช่นนั้นเขาคงต้านมิไหวนานแล้ว

ข้ากลุ้มใจเล็กน้อย ‘เกาเหยียน’ ผู้นี้เหี้ยมหาญเกินไปหน่อยแล้ว เดิมทีข้าคาดหวังให้เขารับรู้ความลำบากแล้วถอยหนี หากเขาตั้งใจหนีพร้อมกับที่เสี่ยวซุ่นจื่อยอมออมมือให้ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาส แต่เขาสู้แลกชีวิตเช่นนี้ ดูท่าคงได้แต่จับตัวเขาไว้ แล้วอ้างว่าตัดใจสังหารเขาไม่ลงกักตัวเขาไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยให้เขาหาโอกาสหลบหนีแล้ว เฮ้อ แปดเก้าในสิบส่วนของเรื่องราวบนโลกใบนี้ช่างไม่เป็นดั่งใจคนเสียเลย

ผ่านไปอีกหลายสิบกระบวนท่า เสี่ยวซุ่นจื่อก็เริ่มหมดความอดทน เขาฉวยหิมะกำหนึ่งขึ้นมาจากบนพื้น สองมือประกบแผ่ลมปราณออกมาด้านนอก ไม่นานหิมะก็พลันกลายเป็นน้ำแข็ง เสี่ยวซุ่นจื่อถูฝ่ามือเข้าหากัน เศษน้ำแข็งสิบกว่าชิ้นอยู่ในฝ่ามือ จากนั้นเขาก็นิ้วมือแผ่วเบาอย่างต่อเนื่อง เศษน้ำแข็งเหล่านั้นพลันกลายเป็นอาวุธลับที่ผลุบโผล่ดุจภูตผี เพียงไม่กี่กระบวนท่า ชิวอวี้เฟยก็หลบไม่พ้น ถูกเศษน้ำแข็งก้อนหนึ่งโจมตีเข้าจุดชา ร่างกายหยุดชะงักวูบหนึ่งจนถูกฮูเหยียนโซ่วฟันสันดาบเข้ากลางหลัง ล้มลงกับพื้น

องครักษ์สองนายจับแขนเขาไพล่หลังกดไว้บนพื้นทันควัน องครักษ์ที่ชำนาญวิชากรงเล็บอินทรีคนหนึ่งก้าวเข้าไปถอดข้อต่อสองแขนของเขาออกอย่างฉับไว หลังจากนั้นฮูเหยียนโซ่วกับองครักษ์หลายนายจึงลากเขามาไว้ตรงหน้าข้า ออกคำสั่งบังคับให้เขาคุกเข่า ฮูเหยียนโซ่วกระชากเส้นผมเขาไปด้านหลังด้วยตนเองเพื่อให้เขาแหงนหน้าขึ้น ข้ามองเห็นเหงื่อเย็นเฉียบหยดแล้วหยดเล่าผุดพรายออกมาจากหน้าผากของเขาอย่างชัดเจน ใบหน้าของเขาซีดเผือดปานหิมะ ทว่ากลับสีหน้าเฉยชา มิยอมส่งเสียงร้องสักคำ

ในใจข้ากำลังคร่ำเคร่งขบคิดว่าจะปล่อย ‘เกาเหยียน’ ให้หนีไปโดยไม่แสดงพิรุธเช่นไร แต่ปากกลับถามว่า “เกาเหยียน ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคือผู้ใด ข้าคิดว่าเจ้าคงมิใช่องค์ชายจากเกาลี่ตัวจริงสินะ”

ชิวอวี้เฟยได้ยินคำถามของเจียงเจ๋อก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ามิสู้บอกกล่าวตามตรง ตัวข้าคือชิวอวี้เฟย ศิษย์สายตรงของประมุขพรรคมาร ศึกฉินเจ๋อวันนั้น ข้าใช้แตรสัญญาณช่วยหนุนเป่ยฮั่น แต่กลับถูกเสียงกลองของเจ้าทำให้ปราชัย ในใจนึกเคืองแค้น ด้วยเหตุนี้จึงเดินทางมาลอบสังหารเจ้า แคว้นของเจ้ากับข้าเคียดแค้นกันล้ำลึกดั่งมหาสมุทร พูดมากความก็ไร้ประโยชน์ จะฆ่าก็ฆ่าเสีย หากเจ้าแค้นที่ข้าหลอกเจ้า ไม่ว่าอยากลงทัณฑ์ทรมานอันใด ข้าก็จะยอมรับไว้”

ข้าถอนหายใจ “ที่แท้เจ้าก็คือลูกศิษย์ของประมุขพรรคมาร เฮ้อ ลูกศิษย์ประมุขพรรคมารช่างทระนงในศักดิ์ศรีเสียจริง ครั้งนั้นแม่ทัพเซียนเฟิงซูติ้งหลวนของแคว้นเจ้าสิ้นใจในนครหลวงต้ายง แม้ข้ามิได้เห็นกับตา แต่ฝ่าบาทก็เคยเล่าถึงความกล้าหาญของแม่ทัพซูอยู่หลายหน

ชิวอวี้เฟย เจ้าเองก็มิเสียทีเป็นลูกศิษย์ประมุขพรรคมาร ข้างกายข้ามียอดฝีมือมากมายเพียงนี้ยังเกือบถูกเจ้าลอบสังหารสำเร็จ หากเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อข้า เห็นแก่ที่เจ้ายังไม่ทันก่อเรื่องร้ายแรงสำเร็จ ข้าจะยอมให้อภัย หากเจ้าดึงดันมิยอมจำนน อย่ากล่าวโทษว่าเจียงเจ๋อใจดำอำมหิต”

ชิวอวี้เฟยสีหน้าเย็นชา ตอบว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าพวกเราศิษย์พรรคมารทระนงในศักดิ์ศรีก็มิสมควรเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน หลายวันที่ผ่านมาเจ้าเมตตาต่อข้า ทั้งยังมอบตำราพิณของบิดาให้ข้าอีก ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก แต่สองแคว้นทำสงคราม ต่างคนต่างทำเพื่อแว่นแคว้น แม้การลอบสังหารเจ้ามิใช่สิ่งที่ข้าปรารถนา แต่ก็มิอาจไม่ทำเช่นนี้ ยามนี้ข้าตกอยู่ในกำมือเจ้าแล้ว หากเจ้ายังมีใจเมตตาก็ขอให้สังหารข้าในดาบเดียว”

ข้าได้ความคิดทันใด จึงปิดหน้าถอนหายใจกล่าวว่า “ซวี่จือ ไม่สิ ข้าสมควรเรียกเจ้าว่าอวี้เฟย เจ้ากับข้าล้วนมิอาจทำตามใจตน เดิมทีข้าสมควรตัดศีรษะเจ้า ส่งศีรษะกลับเป่ยฮั่นประกาศศักดา ทว่าสามวันที่ผ่านมาผูกพันฉันสหาย ข้าตัดใจมิลงจริงๆ ตำราพิณที่มอบให้เจ้า ข้ามิคิดริบกลับคืน เอาเถิด เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าทำลายวรยุทธ์ของเขาเสีย หลังจากนั้นส่งเขาไปขังไว้ในค่าย”

แม้กล่าวเช่นนี้ แต่ข้ากลับส่งสายตาให้เสี่ยวซุ่นจื่อจากหลังแขนเสื้ออยู่หลายหน คิดว่าเขาน่าจะเข้าใจความหมายของข้า แต่ผู้ใดจะคิดว่าเสี่ยวซุ่นจื่อกลับทำหน้าถมึงทึงคล้ายไม่ทันสังเกตสายตาของข้า แล้วเดินปรี่ไปเบื้องหน้าชิวอวี้เฟย มองดูสีหน้าซีดเผือดแต่แน่วแน่ของอีกฝ่าย จากนั้นเคลื่อนดรรชนีเข้าใกล้แอ่งลมปราณของอีกฝ่ายช้าๆ

ข้าตกใจยิ่งนัก หากทำลายวรยุทธ์ของชิวอวี้เฟยไปจริง ข้าจะปล่อยให้เขาหลบหนีได้เช่นไรเล่า แต่เวลานี้ข้าก็มิกล้าขัดขวาง หากเผยพิรุธออกมา ชิวอวี้เฟยผู้นี้คงต้องตายเท่านั้น ข้าจะตัดใจให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร

นิ้วของเสี่ยวซุ่นจื่อเกือบจะแตะถูกแอ่งลมปราณของชิวอวี้เฟยแล้ว ทันใดนั้นเขาก็หยุดเคลื่อนไหว แล้วลุกขึ้นยืนอย่างอ้อยอิ่ง “คุณชาย คนผู้นี้บาดเจ็บสาหัส หากทำลายแอ่งลมปราณตอนนี้ เกรงว่าคงโรคภัยรุมเร้า ไม่นานก็สิ้นชีวิต ในเมื่อคุณชายตั้งใจจะไว้ชีวิตเขา มิสู้รออาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นสักหน่อยค่อยลงมือเถิด”

ข้าเกือบจะพรูลมหายใจออกมา ใจกระจ่างแจ้งว่าเสี่ยวซุ่นจื่อยังนึกเคืองที่วันนี้ข้าเสี่ยงอันตรายจึงทำเช่นนี้เพื่อทำให้ข้าตกใจ ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อด้วยแววตาขออภัยแล้วกล่าวขึ้นว่า “เป็นเช่นนั้นหรือ ข้าช่างชำนาญวิชาแพทย์เสียเปล่า กลับลืมว่าพวกเจ้าผู้ฝึกยุทธ์หากลมปราณถูกทำลาย มักจะแข็งแรงสู้คนธรรมดามิได้ เอาเถิด ตอนนี้อย่างเพิ่งลงมือ พวกเจ้าต่อข้อต่อให้เขาเสีย พาเขากลับไปคุมขังไว้ในค่ายก่อน เขายังมีบ่าวรับใช้อยู่ด้านนอกอีก น่าจะเป็นมือสังหารเช่นเดียวกัน พวกเจ้าไปจับตัวสองคนนั้นมา พากลับค่ายไปสอบสวนให้ดี”