บทที่ 696 มองแวบเดียวก็รู้แล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 696 มองแวบเดียวก็รู้แล้ว

บทที่ 696 มองแวบเดียวก็รู้แล้ว

ฤดูวสันต์ สุริยาสาดแสง

แสงอาทิตย์เหนือศีรษะสาดส่องทะลุช่องว่างของกิ่งไม้ ตัดสลับจนเกิดเป็นเงาดำละเอียด ส่องกระทบกับร่างคนข้างกำแพง

ฝูโหรวชะโงกหน้าออกมา มองซ้ายแลขวาแวบหนึ่ง

เมื่อวานนางและเหยาต้าหลางได้นัดหมายให้มาเจอกันในช่วงเวลาของวันนี้ แต่ครั้นถึงตอนนี้กลับยังไม่เห็นเขา

“ยังไม่มาอีก” ฝูโหรวก้มหน้าพลางพึมพำหนึ่งเสียง

เวลานี้ เหยาต้าหลางเดินออกมาจากมุมถนน พร้อมกับชามใบหนึ่งในมือ เขาเห็นสตรีที่ยืนอยู่ข้างกำแพง ใบหน้าก็พลันปรากฏรอยยิ้มทันที

“รอนานเลยสิท่า”

เหยาต้าหลางเอ่ยปากกล่าว พลางยื่นชามในมือไปข้างหน้า

“ทำไมเจ้าเพิ่งมา?” ฝูโหรวบ่นหนึ่งเสียง แต่ครั้นเห็นขนมในชาม ก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่คือขนมพุทธาวสันต์บุหงันใช่หรือไม่?”

“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบขนมพุทธาวสันต์บุหงันนี้เป็นที่สุด วันนี้ข้าจึงนำมาให้เจ้า”

เหยาต้าหลางยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา

ขนมพุทธาในฤดูวสันต์มีปริมาณจำกัดในทุกวัน ต้องไปเข้าแถวในตอนเช้าถึงจะซื้อได้

นางก้มหน้าพลางกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ความกลุ้มใจในการเฝ้ารอเมื่อครู่ มันได้สลายหายไปหมดแล้ว

“ไปกันเถอะ รถม้าจอดอยู่ในมุมถนน” เหยาต้าหลางยื่นมือออกไป คว้าตัวของฝูโหรวไว้

รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ในมุมถนน ภายในถูกรองด้วยเบาะรองนั่งกำมะหยี มีเตาอังไฟอยู่ตรงกลาง

หลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถม้าแล้ว รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัว ครานี้พวกเขาเดินทางไปยังทางตอนเหนือของเมือง ห่างจากที่นี่ประมาณสามลี้ ทั่วทุกมุมเมืองเต็มไปด้วยต้นหญ้าสีเขียวขจี ฤดูกาลนี้ช่างเหมาะกับการเล่นว่าวอย่างมาก

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็ถึงที่หมาย

เหยาต้าหลางลงจากรถม้า โดยมีฝูโหรวเดินตามด้านหลัง เหยาต้าหลางหมุนตัวกลับมาอุ้นนางลงมาจากรถม้า

“ข้าเดินเองได้”

เสียงเล็ก ๆ ของฝูโหรวดังขึ้นข้างหูของเหยาต้าหลาง แต่ในใจของตัวเองกลับหวานเยิ้ม

“ข้ารู้ เพียงแต่ข้าอยากอุ้มเจ้า”

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหูฝูโหรว นางรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแทบจะระเบิดออกมา นางหันกลับไปถลึงตาใส่เหยาต้าหลางแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองอีกครั้ง ที่นี่มีรถม้าเข้ามาจอดอยู่หลายคัน

คุณหนูและหญิงงามที่แต่งงานแล้วในเมืองพากันมาเดินเล่นกันที่นี่ไม่น้อย นางรีบกระโดดลงจากตัวของเหยาต้าหลาง หากให้ผู้อื่นเห็นภาพนี้คงดูไม่งาม

“ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว ข้าอยากไปเล่นว่าว”

ฝูโหรวคว้ากระดาษว่าวบนรถม้าแล้ววิ่งออกไป เหยาต้าหลางได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของนางอยู่ด้านหลัง ระหว่างนั้นก็เดินลากรถม้าไปผูกติดกับต้นไม้ที่อยู่ถัดไป

สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาเป็นระลอก ฝูโหรวหยิบว่าวออกมาก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยให้ลู่ไปตามแรงลม

ครั้นเห็นว่าวลอยไปตามแรงลมอยู่บนฟากฟ้า ความสนใจทั้งหมดของฝูโหรวจับจ้องอยู่บนนั้น ก่อนจะเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้าสองก้าว หวังให้มันลอยสูงขึ้นอีกหน่อย

แต่ว่าวตัวนี้กลับร่วงโรยลงมาหลังจากวิ่งไปได้แค่สองก้าว ฝูโหรวไม่ได้ย่อท้อ วิ่งลากมันต่อไป

เหยาต้าหลางเดินมาถึง ฝูโหรวเห็นเขากลับลืมสิ้นความเนียมอายเมื่อครู่ ยัดว่าวใส่มือเขา “ช่วยข้าปล่อยว่าวหน่อยสิ”

นี่คือว่าวรูปนกนางแอ่น เหยาต้าหลางถือว่าวในมือ ค่อย ๆ ปล่อยอย่างระมัดระวัง ฝูโหรววิ่งต้านลม ในที่สุดครานี้ว่าวก็ได้ลอยสูงขึ้นสมใจ

“เห็นแล้วใช่หรือไม่? ว่าวลอยขึ้นแล้ว” ฝูโหรวเบิกบานใจเป็นที่สุด ก่อนจะตะโกนเรียกเหยาต้าหลางด้วยความภูมิใจ นางเงยหน้ามองว่าวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีสตรีผู้หนึ่งอยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนถอยหลังมาพร้อมกัน และชนกันในที่สุด

โชคดีที่พวกเขาสองคนไม่ได้วิ่งเร็วนัก ดังนั้นจึงแค่ชนกันไม่ได้ล้มลงไปกองกับพื้น

“เหยาต้าหลาง ท่านพี่ก็อยู่ที่นี่ด้วย”

เหยาต้าหลางเห็นฝูโหรวชนกับผู้อื่น จึงรีบเดินเข้ามา แต่จู่ ๆ ก็มีคนเรียกชื่อเขา เสียงนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก

ทันทีที่หันไปเห็นก็พบว่าคนที่วิ่งตามอย่างร้อนใจเหมือนกับเขานั้นคือเหยาเอ้อหลางญาติผู้น้องของตัวเองไม่ใช่หรือ

“พี่ปี้ชุน”

ด้านนี้ ครั้นฝูโหรวหันไปก็จำปี้ชุนได้ในทันที

“เจ้านี่เอง เจ้าก็มาเดินเล่นที่นี่สินะ” ครั้นปี้ชุนเห็นฝูโหรวก็รีบคลี่ยิ้มออกมา วันนี้ช่างบังเอิญยิ่งนัก พวกเขาสามีภรรยาถือโอกาสในช่วงนี้ มาพักผ่อนที่นี่เช่นกัน กระทั่งมาเจอกับฝูโหรวและเหยาต้าหลางโดยบังเอิญ

“ท่านพี่ ในเมื่อเราเจอกันแล้ว ประเดี๋ยวก็เที่ยงวัน เราไปกินอาหารที่โรงเตี๊ยมด้วยกันเถอะ” เหยาต้าหลางเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น เหยาต้าหลางมองฝูโหรว กระทั่งเห็นฝูโหรวพยักหน้า

“ได้ เที่ยงวันเราไปกินอาหารด้วยกัน” เหยาต้าหลางตอบรับสั้น ๆ

“นี่ขนาดยังไม่ได้แต่งงานก็ตอบรับแทนภรรยาแล้ว”

เหยาต้าหลางยืนอยู่ข้างกาย เห็นการกระทำของทั้งสองคนแล้วทนไม่ไหว เอ่ยปากหยอกล้อหนึ่งเสียง ทำให้เหยาต้าหลางทำตัวไม่ถูก กระทั่งชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าไม่เข้าใจ”

ใครเล่าจะไม่เข้าใจ เขาเองก็มีภรรยาทั้งคน

ในเมื่อเจอกันแล้ว ฝูโหรวและปี้ชุนจึงไปเล่นว่าวด้วยกัน เหยาต้าหลางและเหยาเอ้อหลางยืนอยู่ข้างกัน เข้าร่วมเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่จะยืนพูดคุยอยู่ด้านข้าง หรือไม่ก็มองคนของตัวเองเป็นระยะ ๆ

รอจนเวลาร่วงเลยผ่านไป ดวงอาทิตย์เริ่มไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุด บอกเวลาทานอาหาร พวกเขาวิ่งเล่นว่าวตลอดช่วงเช้า ตอนนี้จึงเริ่มหิวไม่น้อย ทั้งสี่คนเดินออกมาได้ครึ่งหมู่ก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่ทำการเลือกไว้แล้วแห่งหนึ่ง

ลูกจ้างในร้านเห็นดังนั้นก็รีบรุดหน้าเข้ามาต้อนรับ จากนั้นก็พาทั้งสี่คนมายังห้องพิเศษห้องหนึ่งบนชั้นสอง

ทั้งสี่คนคุ้นเคยอย่างดีจึงไม่ต้องเกรงใจมากนัก ดังนั้นต่างฝ่ายต่างสั่งอาหารคนละสองอย่าง หลังจากเสี่ยวเอ้อบันทึกแล้วก็ถอยออกไป ไม่นานอาหารก็ถูกยกเข้ามาพร้อมกับน้ำชา

แม้ว่าพวกเขาจะเจอกันในตอนเช้า แต่เพราะต่างฝ่ายต่างต้องแยกย้าย จึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก ตอนนี้ทั้งสี่คนได้นั่งอยู่ด้วยกันแล้ว

ปี้ชุนมองเหยาต้าหลางและฝูโหรวที่อยู่ตรงข้าม ทั้งสองคนสบตากัน ในตอนที่ก้มหน้าพูดคุยกันนั้น ได้บังเกิดบรรยากาศหนึ่งข้างกาย เป็นบรรยากาศที่ผู้อื่นแทรกเข้าไปไม่ได้ ได้แต่มองทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความในใจต่อกัน

“พวกเจ้าสองคน อีกไม่นานก็ต้องแต่งงานกันแล้ว วันนี้ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งสองครองคู่กันอย่างสงบร่มรื่น”

“ใช่ ภรรยาของข้าได้พูดในสิ่งที่ข้าคิดไว้หมดแล้ว เช่นนั้นข้าก็คงอวยพรให้ท่านพี่ ได้แต่งงานกับว่าที่พี่สะใภ้โดยเร็ววัน ถือไม้เท้ายอดทอง กระบอกยอดเพชร มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองนะ”

มีลูกเต็มบ้านอะไรกัน ครั้นฝูโหรวเห็นสายตาของพวกเขาทั้งสองคนก็รีบก้มหน้างุดอย่างเขินอายทันที

“ขอบคุณพวกเจ้ามาก” ฝูโหรวเงยหน้า แล้วกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง ความหวังดีนี้ นางย่อมรับไว้อย่างแน่นอน

“ดื่มน้ำก่อนเถอะ” เหยาต้าหลางเลื่อนจอกน้ำไปตรงหน้าของฝูโหรว นางเล่นว่าวมาตลอดช่วงเช้าแล้ว ตอนนี้คงจะกระหายน้ำแย่

ฝูโหรวรับจอกน้ำไปดื่ม ครั้นเห็นปี้ชุนและเหยาเอ้อหลางที่นั่งอยู่ตรงข้าม กระทั่งเห็นความรักที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน แม้ว่าจะแต่งงานกันเร็ว แต่ตอนนี้ยังคงหวานไม่สนสายตาของผู้อื่น

“ปี้ชุน เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงเป็นภรรยาที่ดีเช่นนี้?”

ในใจของฝูโหรวยังเกิดความกังวล กลัวว่าตัวเองจะทำออกมาไม่ดีพอ เหตุการณ์ในวันนี้ที่ยากนักจะได้เจอกับปี้ชุน นางจึงถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้มานานออกมา

“พี่สะใภ้ คำถามนี้ถ้าท่านถามนาง คงถามผิดคนแล้วล่ะ” เหยาเอ้อหลางรีบส่ายหน้า

เหตุใดถึงถามผิดคนเล่า? หรือว่าปี้ชุนไม่ใช่ภรรยาที่ดีนัก?

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ปี้ชุนหันไปมองเขา เหยาเอ้อหลางอธิบายทันที “ความหมายของข้าคือไม่ต้องถาม มองแวบเดียวก็รู้แล้ว”

เหยาต้าหลางและฝูโหรว ยิ้มออกมาให้เขาถามส่งเดชต่อไป

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ในที่สุดทุกคนก็จะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วนะคะ รู้สึกเจ็บแผลคลอดทิพย์เลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)

——————————————–