บทที่ 695 ควรเลี้ยงน้ำชาเสียหน่อย

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 695 ควรเลี้ยงน้ำชาเสียหน่อย

บทที่ 695 ควรเลี้ยงน้ำชาเสียหน่อย

หลินซือได้ยินว่าพี่น้องตระกูลเหยากำลังจะแต่งงาน นางพลันรู้สึกดีใจอยู่ในใจ

รู้ว่าเหยาเอ้อหลางและสตรีที่นางชื่นชอบสามารถลงเอยกันได้ ตอนนี้พวกเขาต่างมั่นใจในผลลลัพธ์ที่ดีแล้ว

เหยาซูเห็นลูกสาวของตนดูเหม่อลอยอีกครั้ง จึงเคาะศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา “คิดอะไรอยู่? ยังไม่รีบเขียนเทียบเชิญอีก วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้ากับเจี่ยงเถิง เจ้ากลับมัวแต่เหม่อลอย”

หลินซือแลบลิ้นด้วยความเขินอาย เวลานี้พวกเขาต่างวุ่นกันมาก ล้วนแต่เป็นเพราะต้องเตรียมตัวสำหรับงานแต่ง

สินสอดทองหมั้นถูกลำเลียงออกมา หลินซือรู้สึกว่าการแต่งงานในครานี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ความจุกจิกในขั้นตอนนั้นก็ซับซ้อนเกินไป

ยุ่งจนนางจับต้นชนปลายไม่ถูก โชคดีที่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ

เหยาซูเขียนเทียบเชิญแล้วส่งให้ลูกสาวของตนเอง ตอนนี้หน้าตาสะสวย สุภาพเรียบร้อย นางชำเลืองมองลูกสาวของตนเอง ด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ

“อาซือ ตอนนี้เจ้ากำลังจะกลายเป็นสตรีที่มีครอบครัวแล้ว มีเรื่องราวมากมายที่เจ้าต้องคอยเตือนตัวเอง แม้จะบอกว่าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจี่ยงเถิง หลังจากกลายเป็นสะใภ้แล้ว บางเรื่องเจ้าจะทำตามใจตัวเองเกินไปไม่ได้”

“ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ทำให้ตระกูลสามีต้องพาข้ากลับมาส่งแน่นอน”

“เจ้าเด็กคนนี้ ดูพูดจาดเหลวไหล ถ้ามีวันนั้นจริง สู้ไม่ต้องเขียนเทียบเชิญเสียดีกว่า”

เหยาซูเคาะศีรษะของลูกสาวอย่างแผ่วเบา แล้วเขียนเทียบเชิญอันต่อไป…

เพราะหลินซือและเจี่ยงเถิงได้ดูวันเดือนปีเกิดของกันและกันแล้วก่อนพี่ชายทั้งสองคนของตน ดังนั้นไม่นานก็ถึงวันของหลินซือและเจี่ยงเถิง

เจี่ยงเถิงขี่ม้าที่แข็งแรงออกมาตรงหน้าขบวนต้อนรับอันยิ่งใหญ่ สหายของพวกเขาทยอยกันแยกไปยืนสองฝั่ง

ฆ้องและกลองที่ดังสนั่นน่านฟ้า เสียงประทัดที่ดังสะเทือนพาให้หัวใจของนางสะเทือนไปด้วย

นับตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา หลินซือก็ยังไม่ได้กินอาหารสักคำ ท่านแม่บอกว่าคนที่ต้องเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ห้ามกินมากเกินไปมันดูไม่งาม

นางรู้สึกเหมือนเกี้ยวหยุดลง สาวใช้ข้างกายกล่าวว่า “คุณหนูซือ เรามาถึงจวนเจี่ยงแล้ว ข้าจะประคองคุณหนูเข้าไปนะเจ้าคะ”

มืออีกด้านหนึ่งถูกจูงลงมา เสียงที่ดังอยู่ข้างหูทำให้นางสงบลงได้

“อาซือ เจ้ามาแล้ว”

“พี่อาเถิง ข้าเป็นกังวล”

“ไม่เพียงแต่เจ้าหรอก ข้าก็กังวลเช่นกัน เพียงแต่วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของเรา อาซือ ข้าจะนำเจ้าไปเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกัน”

“พี่อาเถิง”

นางดูอ่อนโยน ผู้มาใหม่ทั้งสองถูกผลักให้เดินเคียงคู่กัน

สามคำนับเสร็จสิ้น ในใจของหลินซือก็ยิ่งเต้นระรัว พวกเขาถือผ้าไหมสีแดงตรงไปคำนับบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้น

นางได้ยินเจี่ยงฉีกำชับเจี่ยงเถิงว่า “เจี่ยงเถิง นับแต่นี้ไป เจ้าคือบุรุษที่สูงสง่า เจ้าต้องสัญญาไม่เพียงแต่ชีวิตของเจ้าเอง แม้แต่ชีวิตของอาซือล้วนเป็นหน้าที่ของทั้งสองตระกูล”

“ขอรับ ลูกจะจดจำไว้”

เหยาซูหัวเราะให้กับเด็กทั้งสองคน นางจึงอดสอบถามไม่ได้

“เจี่ยงเถิง ลูกเขยที่แสนดีของข้า อาซือของเราเป็นสตรีที่เพียบพร้อมทุกอย่าง มีความงดงามและจิตใจโอบอ้อมอารี แต่เจ้าต้องให้ความสนใจกับงานปักที่ไม่ค่อยดีของอาซือ อย่าหมดรักอาซือเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด”

เมื่อสิ้นสุดประโยคนี้ก็เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นในห้องโถงเป็นระลอก หลินซือเขินอายจนม้วนตัวเลยทีเดียว

คู่สามีภรรยาที่อยู่ในระหว่างพิธีจึงไม่สามารถเอ่ยปากพูดเยอะได้ มิเช่นนั้นนางคงบอกให้แม่ของตนหยุดพูดไปนานแล้ว

“อาซือ ข้าและท่านพ่อของเจ้าเฝ้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างทะนุถนอมมาโดยตลอด พี่ชายของเจ้าก็แต่งงานแล้ว พวกเจ้าต่างโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว”

“แม่ขออวยพรให้เจ้าครองคู่อย่างเป็นสุขดั่งที่ตนคาดหวังไว้”

หลินซือพยักหน้าอย่างเข้าใจ น้ำตาลหลั่งรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย นี่เป็นคำอวยพรที่งดงามที่สุดของนาง

หลังจากเสียงโวยวายดังขึ้น หลินซือก็วิ่งกลับเข้ามาในห้อง รอให้เจี่ยงเถิงกลับมา

หนึ่งวันที่นางไม่ได้กินข้าว ท้องของนางหิวจนไส้แทบขาด หลินซือถือโอกาสตอนที่ไม่มีผู้ใด เปิดผ้าคลุมศีรษะอย่างเงียบ ๆ

นางมองซ้ายแลขวาจนมั่นใจว่าไม่มีใครเข้ามาในห้อง รีบคว้าตะเกียบอย่างไม่ลังเล

ครั้นกินได้เพียงครึ่งเดียวก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นหน้าประตูห้อง และนั่นคือเสียงของเจี่ยงเถิง หลินซือที่ยังกินไม่เสร็จก็ต้องวางตะเกียบลง และกลับไปนั่งรอบนเตียงอย่างใจจดใจจ่อ

หัวใจนางเต้นตึก ๆ เหมือนจะทะลุออกมา กลัวว่าจะถูกผู้อื่นจับได้

คิดว่าเดี๋ยวสหายกลุ่มหนึ่งก็เข้ามา ปรากฏว่าหลังจากที่ประตูถูกเปิดออกมีเพียงเสียงฝีเท้าของเจี่ยงเถิงเพียงผู้เดียว

ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ห้องพบว่าอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะมีการเปลี่ยนแปลง เขาก็เข้าใจทันที จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าของหลินซือ

“อาซือ ข้าจะเปิดผ้าคลุมหน้าให้เจ้าก่อน”

เขาจับชายผ้าคลุมสีแดงแล้วเปิดออก ทั้งสองคนสบตากันและกัน กระทั่งเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่าย

หลินซือมองว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนี้ ใครเลยจะรู้ว่าเจี่ยงเถิงจะจะคว้ามือของนางเดินมาตรงหน้าโต๊ะ

หลินซือไม่เข้าใจ เดิมทีเขาเห็นทุกอย่างในสายตา รู้ทุกอย่าง

นางหยิบตะเกียบและคีบอาหารเข้าปากด้วยความเกรงใจ เจี่ยงเถิงรินสุราสำหรับทั้งสองคน เขายกจอกสุราใส่มืออีกด้านของหลินซือ

“อาซือ ข้ารู้ว่าเจ้าแพ้สุรา แต่เจ้าต้องดื่มสุราจอกนี้สำหรับวันนี้”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

หลินซือเผยรอยยิ้มออกมา นั่นคือความดีใจที่แสดงออกมาภายนอก นางยากจะควบคุมได้

ทุกช่วงเวลาในตอนนี้ นางสูญเสียความสนใจไม่ได้ วันนี้ถือว่าเป็นการดื่มสุราไหหนึ่ง นางไม่ลังเลแต่อย่างใด

สุราแห่งความยินดี เป็นการอวยพรให้ชีวิตทั้งสองคนยืนยาวตามอายุขัย

ทั้งสองคนแลกจอกสุรากัน นำพาความสุขลงท้อง ไม่รู้ว่าดื่มไปนานเพียงใดแล้ว ภาพตรงหน้าของหลินซือได้ปรากฏเป็นเจี่ยงเถิงทับซ้อนกัน

นางยื่นมือออกไปกวัดแกว่งไปมา “เหตุใดท่านถึงมีหลายคนแบบนี้ คนไหนคือเจ้าตัวจริงกันแน่?”

เจี่ยงเถิงวางจอกสุราในมือลง ดวงตาเบิกกว้างมองหญิงสาวผู้นี้

“เจ้าพูดมาสิ ว่าคนไหนคือข้าตัวจริง?”

หลินซือกอดเจี่ยงเถิงไว้

หลินซือกอดเจี่ยงเถิง เจี่ยงเถิงจึงอุ้มหลินซือในท่าเจ้าหญิงขึ้นมา เดินไปยังข้างเตียง ทั้งสองคนมองตากันแหละกัน ความหวานเยิ้มอันเข้มข้นกลายเป็นภาษาทางกาย

ความฝันที่หอมหวาน

เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน หลินซืออยู่ในอ้อมกอดของเจี่ยงเถิง ใบหน้าของเจี่ยงเถิงแต้มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

“อาซือ เจ้าทำให้ทุกคนอบอวลไปด้วยความสุขจริง ๆ”

“เจ้าคนบ้า! ห้ามพูดเช่นนี้เด็ดขาด ข้าเป็นสตรีนะ”

“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่หญิงสาวแรกแย้มอีกแล้ว เจ้าเป็นภรรยาของข้า”

เจี่ยงเถิงใส่เสื้อผ้า ทั้งสองคนอาบน้ำล้างตัวและออกจากห้อง เหล่าคนรับใช้ต่างเห็นนัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข

แม้แต่เจี่ยงฉีก็อดสนใจในตัวพวกเขาไม่ได้ “พวกเจ้า ตอนนี้ต่างก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรดื่มชาอวยพรให้แก่ข้าแล้ว”

“นี่มันแน่นอนอยู่แล้วขอรับ”

เจี่ยงเถิงคว้ามือของหลินซือ ยกถ้วยชาในมือให้แก่เจี่ยงฉี

หลินซือมองเจี่ยงฉี ก่อนเปลี่ยนสรรพนามเรียกว่า “ท่านแม่”

คำว่าท่านแม่คำนี้ทำให้หัวใจของเจี่ยงฉีละลาย นางมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความพึงใจ

“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ข้าพอใจเจ้ามาก การได้สู่ขอเจ้ามาเป็นสะใภ้ที่ดีเช่นนี้ ช่างเป็นความโชคดีของวงตระกูลยิ่งนัก”

หลินซือและเจี่ยงเถิงยกน้ำชาเสร็จ เจี่ยงฉีก็มอบจี้หยกชิ้นหนึ่งแก่หลินซือ

“นี่คืออัญมณีประจำตระกูลของข้า ท่านแม่มอบให้ข้าเป็นของขวัญ ตอนนี้เจ้าคือผู้รับช่วงต่อ”

“ท่านแม่ มันมีมูลค่าเกินไป”

ของขวัญที่มีมูลค่าเพียงนี้ หลินซือไม่กล้ารับไว้

“เจ้าคือลูกรักของข้า เจ้าคือของที่มีมูลค่าที่สุดของข้า หวังว่าเจ้าและเจี่ยงเถิงจะครองคู่กันตราบนานเท่านาน อยู่กันไปจนแก่เฒ่า”

เจี่ยงเถิงกุมมือของหลินซือไว้ “ข้าและอาซือจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”

——————————————–