บทที่ 733 ปรัชญาพื้นฐานสำนัก

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 733 ปรัชญาพื้นฐานสำนัก

บทที่ 733 ปรัชญาพื้นฐานสำนัก

ชิวฮัวเล่ยกลอกตา “ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าจะสรรเสริญหรือดุเจ้าดี ทำไมเจ้าถึงยังตลกอยู่ได้กับสถานการณ์ที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้?”

ผู้ชายคนนี้ยังไงกันแน่? ก่อนหน้านี้เขาจริงจังมากตอนที่ฝังทหารเดนตาย แต่ตอนนี้เขากลับมาทำตัวไร้แก่นสารอีกแล้ว

“คนเราสามารถเลือกที่จะเผชิญชีวิตในแต่ละวันด้วยรอยยิ้มหรือเศร้าโศกได้ตามที่ต้องการ ดังนั้นมันจะดีกว่าไหมที่จะเลือกใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุข” ซูอันยักไหล่และตอบอย่างไม่ใส่ใจ

ชิวฮัวเล่ยทำสีหน้าแปลก ๆ นางถอนหายใจและพูดว่า “เจ้าเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา”

ซูอันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าว่าหรอก มันก็แค่ตอนนี้เจ้าต้องปกป้องข้า และเจ้าเป็นบุตรีสวรรค์ของสำนัก ซึ่งหมายความว่าเจ้ามีสถานะที่ค่อนข้างสูงส่ง ดังนั้นทำไมข้าถึงต้องกลัวในขณะที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเจ้าด้วย?”

ชิวฮัวเล่ยส่ายหัว “สถานะของข้าในสำนักไม่ได้สูงอย่างที่เจ้าคิด โลกนี้ยังคงเป็นโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง ข้ายังมีประสบการณ์น้อยนิดและระดับการบ่มเพาะของข้าก็อยู่ที่ระดับหกเท่านั้น สำนักมีผู้บ่มเพาะที่เลิศล้ำหลายคนซึ่งทำให้ตัวตนของข้าไม่อาจนับว่าเป็นอะไรได้ เหตุผลเดียวที่พวกเขาปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพก็เพราะความสัมพันธ์ของข้ากับอาจารย์ของข้า”

“ดังนั้นแล้ว สิ่งที่รับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้มากที่สุดไม่ใช่ข้าแต่มันคือการที่เจ้ามอบวิชาวัฏจักรหงส์อมตะให้กับเจ้าสำนักของข้าต่างหาก”

ซูอันพ่นลมหายใจ “เฮอะ ถ้าข้ามอบมันเขา สิ่งเดียวที่รับประกันได้คือความตายอย่างรวดเร็วของข้า”

ชิวฮัวเล่ยอธิบาย “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร ข้าจึงคิดหาวิธีที่เป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับทุกฝ่าย ซึ่งก็คือเจ้าสามารถเป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนักได้เช่นกัน ด้วยวิธีนี้จะไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าเลย และไม่มีใครจะอ้างว่าเจ้าสำนักช่วงชิงวิชาวัฏจักรหงส์อมตะจากเจ้าด้วยกำลัง เจ้าจะปลอดภัยและมีตัวตนใหม่ และเมื่อเป็นศิษย์ของเจ้าสำนัก ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของเจ้าก็จะเร็วขึ้นเช่นกัน”

ซูอันรู้ว่านางเป็นคนจริงใจ เมื่อพิจารณาจากแผนของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน นางไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่หลอกลวงเขาเพียงเพื่อที่เขาจะได้มอบวิชาวัฏจักรหงส์อมตะให้

แต่เขาก็ยังไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมสำนักมาร ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดพร้อมกับหัวเราะ “เจ้าสำนักของเจ้าต้องเป็นพวกบ้ากามแน่ ๆ”

“อะไรนะ?” ชิวฮัวเล่ยตกตะลึง “ทำไมเจ้าถึงพูดจาล่วงเกินเจ้าสำนักของข้าเช่นนี้!?”

ซูอันตอบกลับ “ก็ทำไมเขาถึงรับผู้หญิงที่งดงามเช่นเจ้าเป็นลูกศิษย์?”

ใบหน้าของชิวฮัวเล่ยแดงก่ำ “เจ้ากำลังพูดอะไร? เจ้าสำนักของข้าเป็นผู้หญิง!”

ท่านยั่วยุชิวฮัวเล่ยสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 233!

เห็นได้ชัดว่านางเคารพเจ้าสำนักของนางอย่างมาก และไม่พอใจกับการพรรณนาถึงเจ้าสำนักอย่างหยาบคายของซูอัน

“อะไรนะ? ผู้หญิงเหรอ?” ซูอันเริ่มสนใจมากขึ้นทันที

น่าสนใจ!

“เจ้าสำนักของเจ้าอายุเท่าไหร่? นางสวยไหม นางเคยแต่งงานมาก่อนไหม?” ซูอันทิ้งระเบิดใส่นางด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ

ชิวฮัวเล่ยอ้าปากค้าง

นางทั้งโกรธเคืองและอับอาย “เจ้า! เจ้ากล้าดียังไงถึงมีความคิดเช่นนี้กับท่านเจ้าสำนัก!”

ท่านยั่วยุชิวฮัวเล่ยสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 100!

“เจ้าหมายถึงอะไร?” เห็นได้ชัดว่าซูอันไม่ยอมรับมัน “เจ้าเป็นคนเชิญข้าให้เข้าร่วมสำนักของเจ้า แต่แค่ข้อมูลพื้นฐานยังบอกให้ข้าฟังไม่ได้เลย? ข้อเสนอของเจ้าจะถือว่าจริงใจได้ยังไง?”

ชิวฮัวเล่ยเกือบจะเป็นลม ผู้ชายคนนี้หน้าด้านยิ่งนัก!

อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขาก็มีเหตุผลเช่นกัน ซูอันต้องรู้เรื่องเหล่านี้ไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นนางคงจำเป็นต้องบอกเขาก่อนเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของนาง แล้วนางจึงกล่าวว่า “ข้าไม่รู้แน่ชัดว่าเจ้าสำนักของข้าอายุเท่าไหร่ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วนางดูคล้ายพี่สาวของข้าเท่านั้น แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่านางแก่กว่ามาก รูปร่างหน้าตาของอาจารย์…แน่นอนว่านางสวยมาก แต่มีคนไม่มากที่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของนาง เจ้าจะมีโอกาสนั้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคของเจ้า ส่วนเรื่องการแต่งงาน เท่าที่ข้ารู้ อาจารย์ของข้าไม่เคยแต่งงานมาก่อน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านางจะคิดถึงใครบางคนอยู่เสมอ”

ซูอันถอนหายใจหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของนาง “จู่ ๆ ข้าก็อยากพบเจ้าสำนักของเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ยินทุกสิ่งที่เจ้าพูด ถึงอย่างนั้น เจ้าสำนักของเจ้าก็ยังเป็นคนแปลก ๆ อยู่”

ชิวฮัวเล่ยขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าถึงพูดแบบนี้อีกแล้ว!?”

ท่านยั่วยุชิวฮัวเล่ยสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 135!

ซูอันหัวเราะ “ก็ทำไมนางถึงอยากจะรับผู้ชายที่มีเสน่ห์แถมยังรูปหล่ออย่างข้าไปเป็นลูกศิษย์ล่ะ?”

ชิวฮัวเล่ยพูดไม่ออกชั่วขณะ

ในขณะเดียวกัน บนหลังคาน้ำแข็งเดียวดายก็เย้ยหยัน เฮอะ ข้าว่าข้าคงกังวลเกินไป ด้วยนิสัยสันดานของไอ้เด็กเวรนี่ มันจะพบกับจุดจบที่น่าสังเวชโดยที่ข้าไม่ต้องออกแรงสักนิด!

ชิวฮัวเล่ยกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “มีบางอย่างที่ข้าต้องเตือนเจ้า เจ้าจะพูดพล่อย ๆ ต่อหน้าเจ้าสำนักของข้าไม่ได้ อาจารย์เข้มงวดมาก นางลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎของสำนักอย่างเด็ดขาดเสมอ ถ้าเจ้าทำให้นางขุ่นเคือง ข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้”

ซูอันหัวเราะ ดูเหมือนจะไม่สนใจแม้แต่น้อย เขากล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล นางอาจจะเป็นแบบนั้นสำหรับคนอื่น แต่ไม่มีทางที่นางจะปฏิบัติกับข้าแบบนั้น”

ชิวฮัวเล่ยเพียงแค่จ้องมอง นางไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดี

“โอ้ ใช่ เจ้าเกี่ยวข้องกับหลู่ซานหยวนยังไง? ตอนแรกข้าคิดว่าเขาเป็นเจ้าสำนักของเจ้า” ซูอันถามด้วยความสงสัย

ชิวฮัวเล่ยตอบว่า “เขาเป็นน้องของเจ้าสำนัก หรือจะเรียกว่าเป็นอาจารย์อาของข้าก็ได้”

น้ำแข็งเดียวดายส่ายหัว บุตรีสวรรค์กำลังบอกทุกอย่างกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ!

ผู้ชายคนนี้ทำอะไรลงไปถึงทำให้นางมีพฤติกรรมแบบนี้?

ฮึ่ม! ผู้หญิงทุกคนไว้ใจไม่ได้ ไม่ว่านางจะสวยงามหรือสูงส่งเพียงใด แต่พวกนางก็ฟั่นเฟือนได้ทันทีที่พบผู้ชายที่ชื่นชอบ

ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับเจ้าสำนักเมื่อเรากลับไปอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นบุตรีสวรรค์จะต้องนำเราไปสู่จุดจบในสักวันหนึ่ง!

แน่นอนว่าเขาต้องบอกศิษย์ร่วมสำนักชายทั้งหลายด้วยเช่นกันว่าผู้หญิงในฝันของพวกเจ้ามีชายในฝันแล้ว ต่อให้ชะเลียอีกสักกี่ครั้งพวกเจ้าก็ไม่มีวันได้อะไรตอบแทนอย่างแน่นอน

ทั้งสองคนในห้องคุยกันต่อไป โดยไม่สนใจความคิดของน้ำแข็งเดียวดาย

ซูอันถอนหายใจ “จริง ๆ แล้วสำนักของเจ้าเรียกว่าอะไรกันแน่? ทำไมผู้คนในโลกนี้ถึงเรียกสำนักของเจ้าว่าสำนักมาร? พวกเจ้าเกี่ยวอะไรกับเผ่าปีศาจหรือเปล่า?”

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอวิ๋นอวี้ชิง

ชิวฮัวเล่ยส่ายหัว “เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจ เราเรียกตัวเองว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์แต่ผู้คนในโลกนี้ไม่เข้าใจปรัชญาของเรา พวกเขาจึงเรียกขานเราว่า ‘สำนักมาร’ เพื่อเป็นการให้ร้ายเรา”

ซูอันอุทานอย่างประหลาดใจ “แล้วปรัชญาของเจ้าคืออะไร”

ชิวฮัวเล่ยอธิบายว่า “สืบเนื่องมาจากรุ่นก่อน ๆ ราชสำนักมีความเชื่อว่าการบ่มเพาะนั้นควรสงวนไว้สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์หรือชนชั้นสูงเนื่องจากทรัพยากรการบ่มเพาะที่มีอย่างจำกัด แต่เจ้าสำนักของข้าเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน และการบ่มเพาะนั้นไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกจำกัดให้เฉพาะแค่เพียงบางกลุ่ม ทุกคนควรได้รับสิทธิ์นั้น…นี่คือสิ่งที่นางพูดเสมอมา และนางไม่เคยหยุดค้นคว้าวิธีที่จะทำให้คนธรรมดาสามารถบ่มเพาะได้ แต่บรรดาชนชั้นสูงทั้งหลายหรือพวกผู้มีพรสวรรค์ต่างปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองว่ามันเป็นเส้นทางที่ชั่วร้าย”

ขณะที่นางพูดชิวฮัวเล่ยก็เริ่มมีอารมณ์ร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง