จิ่งหมิงฮ่องเต้อ้าปากค้างไม่รู้ว่าควรเอ่ยตอบอย่างไร
เมื่อทบทวนคำกล่าวของเจ้าเจ็ดเมื่อครู่ เขาก็ไม่ได้เอ่ยชื่อไทเฮาจริงๆ แต่ไฉนเขาจึงโยงไปที่เสด็จแม่เสียอย่างนั้น
ในขณะที่จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังกล่าวโทษตัวเอง แต่ลึกๆ เขากลับได้คำตอบ
หลังจากอวี้จิ่นกลับมาจากทางใต้ เขามอบเรื่องการหาตัวคนร้ายที่ลอบทำร้ายเจียงจั้นให้อยู่ในความดูแลของจิ่งหมิงฮ่องเต้ หลายวันที่ผ่านมา องครักษ์จิ่นหลินได้สืบทราบความคืบหน้าบางอย่างคือ แม้หวงฉีจะดูเหมือนเป็นพลทหารธรรมดา แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ กลับไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น
ภรรยาของเขาคือญาติห่างๆ ของพระชายาฉีอ๋อง แม้ว่าอาจจะไม่เคยพบหน้าพระชายาฉีอ๋อง แต่ความสัมพันธ์เช่นนี้สามารถดึงดูดความสนใจยามที่สืบประวัติของเขาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เขายังมีสหายอีกคนที่ทำงานอยู่ในจวนฉินอ๋อง แต่จากที่สังเกตทั้งคู่น่าจะไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว ส่วนเรื่องราวภายในอื่นๆ เป็นเช่นไรยังคงต้องสืบหาคำตอบกันต่อไป
นอกจากนี้ พี่สาวของเขาแต่งงานกับบัณฑิตคนหนึ่ง ซึ่งพี่เขยของเขาคนนี้เคยเป็นอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้คนในตระกูลสูงศักดิ์
และตระกูลสูงศักดิ์ที่ว่าก็คือตระกูลฝั่งมารดาของไทเฮา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึงไม่น้อยยามที่ได้ยินรายงานจากหันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน เขาคิดไม่ถึงว่าพลทหารที่ไม่ได้ดูสะดุดตาจะมีความสัมพันธ์ซับซ้อนถึงเพียงนี้
โชคดีที่ในตอนนั้นหันหรานกล่าวว่า หากลองเดินไปตามถนนและถามพ่อค้าหาบเร่สักคนว่า เขามีความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์หรือไม่ ส่วนมากแล้วก็จะตอบว่ามี คำตอบนั้นช่วยปลอบประโลมอาการตื่นตระหนกของจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้มากทีเดียว
และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ เมื่อคนที่ลอบทำร้ายเจียงจั้นมีความเกี่ยวข้องกับไทเฮา ถึงแม้จะเพียงเศษเสี้ยว แต่ก็ทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ทำให้ยามที่อวี้จิ่นกล่าวเช่นนั้น เขาถึงได้คิดถึงไทเฮา
หากจะเทียบกับความโมโหที่อวี้จิ่นพูดจาไร้สาระ จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกละอายแก่ใจที่ตนเชื่อมโยงไปไกลมากกว่า
อะไรดลใจให้ข้าคิดถึงเสด็จแม่กันนะ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองอวี้จิ่นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
อวี้จิ่นยังคงทำหน้าใสซื่อ
เสด็จพ่อตรัสออกมาเอง จะโทษคนอื่นคงไม่ได้
“ไหนเจ้าลองพูดข้อสรุปของเจ้ามาซิ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เร่งเร้า เขาอยากจะไล่คนอื่นๆ ออกไปให้หมด
อวี้จิ่นทำหน้าจริงจังพลางเอ่ย “ลูกสันนิษฐานว่า ในพระตำหนักฉือหนิงคงมีคนชั่วอย่าง ‘ตั่วหมัวมัว’ อีกร่างหนึ่ง แต่การจะทราบว่าคนผู้นั้นคือใครคงต้องให้เสด็จพ่อเป็นผู้หาคำตอบ เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นตำหนักส่วนพระองค์ของเสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วเงียบงัน
ในสมองของฮองเฮาเต็มไปด้วยความคิด และใบหน้าของนางไม่อาจซ่อนความกังวลไว้ได้ “ฝ่าบาท ต่อให้จะไม่ใช่เพื่อฝูชิง แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็ควรสืบอย่างละเอียดนะเพคะ เพราะหากมีคนร้ายซ่อนตัวอยู่ในพระตำหนักฉือหนิงจริง ก็หมายความว่าไทเฮากำลังตกอยู่ในอันตรายนะเพคะ…”
อวี้จิ่นลอบพยักหน้า
จำต้องบอกว่า ฮองเฮาเป็นคนมีไหวพริบเป็นเลิศ
เขาพูดมาขนาดนี้แล้ว เขาไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะไม่สงสัยในตัวไทเฮาเลยแม้แต่น้อย แต่การจะพูดออกมาโต้งๆ อาจเป็นที่ไม่พอพระทัยของเสด็จพ่อ ฉะนั้นแล้วข้ออ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของไทเฮาจะทำงานกับลูกกตัญญูอย่างเสด็จพ่อได้ดีกว่า
การที่อวี้จิ่นพร่ำพูดมากมายในวันนี้ เขามิได้ติดใจเรื่องคดี แต่เขาต้องการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเคลือบแคลงไว้ในใจของฮ่องเต้และฮองเฮามากกว่า
ในวินาทีนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้เองก็เริ่มหวั่นไหว ส่วนฮองเฮาเองก็คงไม่ต่างกัน
เจียงซื่อและอวี้จิ่นไม่มีทางได้เข้าไปสอบสวนไทเฮา ไม่ว่าอันตรายที่เกิดกับองค์หญิงฝูชิงในวันนี้จะเกี่ยวข้องกับไทเฮาหรือไม่ ถึงอย่างไรความสงสัยเคลือบแคลงที่ฮองเฮามีต่อไทเฮาก็น่าจะมีประโยชน์บ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ไม่แน่ฮองเฮาอาจลงมือสืบเรื่องนี้ด้วยตนเอง?
มีคนตั้งใจทำร้ายองค์หญิงฝูชิง เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปพยักหน้าให้ฮองเฮาพลางกล่าว “เจ้าวางใจได้ ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด และจะหาตัวคนร้ายที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังออกมาให้จงได้”
ต้องมีหนอนของตั่วหมัวมัวอยู่เป็นแน่ พวกคนอูเหมียวพวกนั้นสมควรตาย!
เมื่อหวนคิดถึงการปรากฏตัวของสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียวที่มาช่วยคลี่คลายความวุ่นวายที่เขาอุตส่าห์สร้างขึ้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รำคาญใจขึ้นมา
เหตุใดคนพวกนี้ถึงเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสได้ แต่ไฉนพอเป็นเขาถึงได้มีเรื่องร้ายผุดมาไม่หยุดหย่อน
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็กวาดตามองไปที่เจียงซื่อพลางลงความเห็นในใจ โชคดีที่สะใภ้ได้รับพรสวรรค์จากทวยเทพ เรื่องราวเลยไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้น
เพราะมิฉะนั้นแล้ววันนี้คงเกิดเรื่องร้ายกับฝูชิง… จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่กล้าคิดต่อ
“นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ”
เมื่อเกี่ยวข้องกับตำหนักฉือหนิง จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่มีทางให้อวี้จิ่นเข้ามายุ่ง ดังนั้นเขาจึงไล่ทั้งสองออกไป
“ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
อวี้จิ่นจูงมือเจียงซื่อเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ชะงักฝีเท้า
“มีอะไรรึ”
“เสด็จพ่อ ลูกเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา”
“ก่อนหน้านี้ลูกพาคนๆ หนึ่งกลับมาด้วย ไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงหน้าเคร่งขรึม “ยังอยู่ในขั้นตอนสืบสวน”
ไอ้ตัวดี เรื่องไหนที่ไม่ควรพูดก็พูดหมด
“เช่นนั้นไม่มีอะไรแล้ว ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออวี้จิ่นและเจียงซื่อออกไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตบมือฮองเฮาแผ่วเบาเป็นการปลอบใจ “เจ้าก็กลับไปพักเสียหน่อยเถิด”
เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ฮองเฮาก็ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นออกมา ดวงตาของนางแดงก่ำ “หม่อมฉันจะพักได้อย่างไรเพคะ แค่คิดว่าหากวันนี้เกิดเรื่องขึ้นกับฝูชิงจริงๆ หัวใจของหม่อมฉันก็รู้สึกเหมือนจมดิ่งลงไปในหุบเหวน้ำแข็งแล้วเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจ “แต่ข้ามิได้รู้สึกเช่นนั้น”
ฮองเฮาลอบพ่นลม
ฝ่าบาทจะรู้สึกอย่างที่นางรู้สึกได้อย่างไร ฝูชิงเป็นความหวังในการมีชีวิตของนาง เมื่อไม่มีฝูชิง นางก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ฝ่าบาทมีโอรสและธิดาอีกเป็นโขยง ความรักที่มีให้ฝูชิงก็มีอยู่เพียงจำกัด
“เหตุใดชีวิตของฝูชิงถึงได้อาภัพเช่นนี้ นางถูกคนปองร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าบาท บางทีเรื่องร้ายที่เกิดกับฝูชิงอาจมีสาเหตุมาจากหม่อมฉันก็ได้เพคะ…”
“ฮองเฮา เจ้าอย่าเพิ่งคิดเตลิดไปขนาดนั้น”
ฮองเฮายิ้มอย่างกล้ำกลืน “ในวังหลวงมีองค์หญิงตั้งมากมาย คนๆ อื่นก็ยังอยู่ดีมีสุข แต่ไฉนถึงมีแต่ฝูชิงเท่านั้นที่ประสบพบเจอแต่เรื่องร้ายล่ะเพคะ”
แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะรู้สึกว่าที่ฮองเฮากังวลก็มีเหตุผล แต่ถึงกระนั้นเขากลับยังคิดไม่ตกจึงเอ่ยไปตามตรง “หากฝูชิงเป็นองค์ชายก็พอจะหาเหตุผลได้ แต่นางเป็นเพียงองค์หญิง ต่อให้เป็นองค์หญิงในฮองเฮา แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องแต่งงานออกไป ฉะนั้นแล้วการทำร้ายนางจะมีประโยชน์อันใด”
ความสนใจของฮองเฮาอยู่ที่คำว่า ‘แต่งงาน’ ดวงตาของนางเปล่งประกายในบัดดล “ฝ่าบาท อายุของฝูชิงก็อยู่ในวัยที่จะออกเรือนได้แล้ว มิสู้จัดการเรื่องงานสมรสของนางให้เรียบร้อย ไม่แน่ว่าหากนางแต่งงานออกไปแล้วจะได้อยู่ห่างๆ คนที่จะทำร้ายนางดีไหมเพคะ”
คำพูดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดับฝันฮองเฮา “หากยังหาตัวคนร้ายไม่พบ การที่นางออกไปอยู่นอกวังคงจะง่ายต่อการลงมือมากกว่ามิใช่หรือ”
ฮองเฮาเงียบไป
คนที่ลอบทำร้ายฝูชิงคือใครกัน
ใช่…ไทเฮาหรือเปล่า
นางคาดเดาในใจ แต่เมื่อกลับมาถึงที่ตำหนักคุนหนิง ความสงสัยของนางก็ทวีขึ้น
ในตอนแรกที่ไทเฮาเสนอให้ฝูชิงไปอยู่เป็นเพื่อน นางก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่หลังจากนั้นก็คิดว่าตนเองคงกังวลมากไปเอง แต่เมื่อมาคิดดูอีกที ความรู้สึกในตอนแรกอาจเป็นสัญญาณที่แม่ลูกสื่อถึงกันก็เป็นได้
หากคนร้ายคือไทเฮาล่ะ
ฮองเฮายกถ้วยชาขึ้นมาจิบก่อนจะค่อยๆ วางถ้วยลงที่เก่า
เป็นไทเฮาแล้วจะอย่างไร หากฝ่าบาทสาวไปถึงตัวไทเฮา ฝ่าบาทจะลงโทษไทเฮาเพื่อปกป้องฝูชิงอย่างนั้นหรือ
ไม่มีทาง ไทเฮาคือแม่เลี้ยงที่เลี้ยงฝ่าบาทมา นางคือแรงสำคัญที่ทำให้เขาได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ไม่ว่าจะด้วยความกตัญญูหรือการซาบซึ้งในบุญคุณ ฝ่าบาทก็ไม่มีทางทำอะไรกับไทเฮาเพียงเพื่อองค์หญิงคนเดียว
หากคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังคือไทเฮาก็หมายความว่าฝูชิงเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์
ฮองเฮาแบมือทั้งสองข้างออกมาและจ้องมองเนิ่นนาน
มือของนางยังคงขาวและอ่อนนุ่ม เป็นมือที่ได้รับการทะนุถนอมมาอย่างดี
นางเป็นฮองเฮา เป็นเจ้านายแห่งวังหลัง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับไทเฮาที่เป็นที่เคารพของฮ่องเต้ ก็ทำอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ในฐานะมารดา นางต้องทำอย่างไรเพื่อปกป้องบุตรสาว
ฮองเฮาเกิดความคิด แต่เป็นความคิดที่ยังไม่ตกตะกอนดี