ท้องฟ้ามืดสนิทเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลซั่งหยวน ด้านนอกตำหนักมีแสงพร่างพราวส่องไสว ทว่าภายในตำหนักมีแสงสว่างส่องเรืองยิ่งกว่าช่วงเวลากลางวัน
ฉะนั้น ทุกคนในที่นั้นจึงเห็นสีหน้าของฮองเฮาได้อย่างชัดเจน
ฮองเฮาร้อนรนและแสดงสิ่งที่รู้สึกอย่างตรงไปตรงมา เห็นได้ชัดว่าในวินาทีนั้น เจียงซื่อคือความหวังสุดท้ายของนาง
อวี้จิ่นขมวดคิ้วเงียบงันพลางคิดในใจ อาซื่อคงหลอกอะไรฮองเฮาอีกแล้วหรือซินะ
นี่เป็นช่วงเวลาอะไรแล้วทำไมเขาจะไม่รู้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เผยสีหน้าพิลึกพิลั่น เมื่อเห็นว่าฮองเฮาเสียอาการต่อหน้าองค์หญิงฝูชิงและคนอื่นๆ ก็อดเตือนไม่ได้ “ฮองเฮา ในตอนที่เกิดเรื่องสะใภ้เจ็ดไม่ได้อยู่ที่หอเซวียนเต๋อ แม้นางจะเคยไขคดีได้อย่างเก่งกาจ แต่ถึงอย่างไรนางก็คงไม่ทราบว่าใครคือคนที่ทำร้ายฝูชิง”
ไม่ว่าฮ่องเต้หรือฮองเฮาต่างก็ไม่เชื่อว่าคนที่ทำร้ายองค์หญิงฝูชิงจะเป็นเพียงนางในตัวเล็กๆ
สีหน้าขององค์หญิงฝูชิงยังคงขาวซีด นางพึมพำ “เสด็จพ่อ พระองค์ว่ามีคนสั่งให้ชิงไต้ทำร้ายลูกหรือเพคะ”
“อาเฉวียน เจ้าไม่ต้องกลัว พ่อจะหาตัวคนที่ทำร้ายเจ้าให้ได้” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวพลางมองไปที่อวี้จิ่น “เจ้าเจ็ด เจ้ามีเรื่องอะไรจะถามอาเฉวียนกับสิบสี่อีกหรือไม่”
อวี้จิ่นส่ายศีรษะ “ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขอบเขตที่องค์หญิงทั้งสองรู้มีอยู่อย่างจำกัด ทั้งสองไม่สามารถให้ข้อมูลได้มากกว่านี้ ฉะนั้นแล้วเรื่องที่จะถามจึงมีเพียงเท่านี้
เมื่ออวี้จิ่นกล่าวเช่นนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หันไปกล่าวแก่องค์หญิงทั้งสอง “วันนี้พวกเจ้าคงตกใจมาก กลับไปพักก่อนเถอะ”
“เสด็จพ่อ…” องค์หญิงฝูชิงขานเรียกเพราะยังไม่อยากกลับไป
องค์หญิงสิบสี่ไม่กล้าเอ่ยคำใด จึงยืนข้างองค์หญิงฝูชิงเงียบๆ
ฮองเฮาเริ่มได้สติ นางตบไหล่องค์หญิงฝูชิงแผ่วเบา “ฝูชิง ฟังที่เสด็จพ่อตรัส เจ้ากลับไปพักก่อน หากเรื่องคลี่คลายอย่างไรไว้แม่จะเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง”
องค์หญิงฝูชิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย “เช่นนั้นลูกทูลลาเพคะ”
เมื่อองค์หญิงทั้งสองจากไปแล้ว ทุกคนจะสนทนากันอย่างตรงไปตรงมาเสียที
ฮองเฮาที่พยายามเก็บอารมณ์เมื่อครู่กลับมาหวั่นไหวอีกครั้ง นางจับมือเจียงซื่อไว้แน่นพร้อมเอ่ยเสียงสั่น “พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้าทราบใช่หรือไม่…”
เดิมทีพระชายาเยี่ยนอ๋องใช้ความฝันมาเตือน แม้นางจะเตรียมการไว้แล้วบางส่วนด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของบุตรีของนาง นางถึงต้องกันไว้ก่อน แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าคืนนี้จะเกิดเรื่องกับฝูชิงจริงๆ…
พระชายาเยี่ยนอ๋องฝันเห็นว่าฝูชิงได้รับบาดเจ็บ บางทีนางอาจจะฝันเห็นคนร้ายด้วยก็เป็นได้…
ฮองเฮาคิดเช่นนั้น แรงบีบที่มือก็ทวีขึ้นกว่าก่อน
อวี้จิ่นมองไปที่มือของฮองเฮาก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
เป็นถึงฮองเฮา เหตุใดถึงไม่รู้จักเก็บอาการ
ท่าทีของจิ่งหมิงฮ่องเต้สับสนหนัก “ฮองเฮา เจ้าพูดอะไรกันแน่”
ฮองเฮามองไปที่เจียงซื่อ แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่ง นางกลั้นใจกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงทราบใช่หรือไม่ว่าที่วันนี้ฝูชิงรอดมาได้เป็นเพราะมีคนช่วยไว้ได้ทัน”
“หื้ม?”
“เป็นเพราะพระชายาเยี่ยนอ๋องเตือนหม่อมฉันไว้ก่อนเพคะ!”
สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เปลี่ยนไปฉับพลัน เขาหันขวับไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อย่อเข่าเล็กน้อยเป็นการยอมรับคำกล่าวนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามพร้อมแววตาวาววาม “สะใภ้เจ็ด สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น”
ฮองเฮาเอ่ยแทรก “ให้ข้าเป็นคนเล่าก็แล้วกัน เมื่อหลายวันก่อนพระชายาเยี่ยนอ๋องเข้ามาที่วัง…”
ครั้นฟังฮองเฮาเล่าจบ สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่มองไปที่เจียงซื่อก็สับสนเต็มประดา “สะใภ้เจ็ด เจ้าฝันเห็น…คนร้ายด้วยหรือไม่”
“ความฝันของลูกมิได้ปะติดปะต่อเป็นเรื่องราว ตื่นมาก็ลืมรายละเอียดไปไม่น้อย ที่ลูกจำได้มีแค่เรื่องที่องค์หญิงฝูชิงได้รับบาดเจ็บเพคะ แต่จำไม่ได้ว่านางตกจากที่สูงได้อย่างไร…”
ฮองเฮาได้ยินก็แอบรู้สึกผิดหวังลึกๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับมิได้รู้สึกเช่นนั้น เขาเพียงแต่ถอนหายใจพลางกล่าว “แค่เจ้าฝันถึงเรื่องพวกนี้ก็น่าเหลือเชื่อมากแล้ว”
อวี้จิ่นเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “เสด็จพ่อตรัสถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากอาซื่อฝันเห็นแม้กระทั่งคนร้ายที่ทำร้ายน้องสิบสาม ใต้เท้าเจินคงได้กลับบ้านไปไถ่นาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้ามีความเห็นอะไรงั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถาม
คนที่ทำร้ายองค์หญิงฝูชิงอยู่ในวังหลวง ฉะนั้นจึงไม่เหมาะหากจะให้เจินซื่อเชิงเข้ามาตรวจสอบคดีนี้ เพราะจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยังให้ความสำคัญกับหน้าตัวเอง
อวี้จิ่นเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ย “จากที่สอบถามจากเสด็จแม่และน้องทั้งสอง ลูกมีข้อสันนิษฐานที่อันอุกอาจอยู่ข้อหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ…”
“ว่ามา!”
“ข้อสันนิษฐานนี้อาจฟังดูโอหังไปเสียหน่อย ลูกกลัวว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่จะตำหนิลูก…”
“ว่ามา!” จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องเขม็งไปที่อวี้จิ่นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “จนถึงตอนนี้แล้ว เจ้าจะอมพะนำพร่ำเพรื่อไปทำไม เจ้าเห็นว่าข้าและฮองเฮาเป็นพวกตำหนิคนอย่างไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นลูกจะกล่าวไปตามจริง” อวี้จิ่นลูบปลายจมูกพลางแสดงสีหน้าจริงจัง “ชิงไต้เป็นนางในข้างกายของน้องสิบสาม อีกทั้งยังเป็นคนที่เสด็จแม่ทรงเลือกมาเอง ฉะนั้นแล้วนางจึงเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย…”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฮองเฮาอดถามเสียมิได้
น้ำเสียงของอวี้จิ่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ลูกหมายความว่าไม่จำเป็นต้องไปสืบหาเรื่องราวก่อนหน้าพ่ะย่ะค่ะ ชิงไต้กระทำการด้วยความหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ หากตัดข้อสันนิษฐานว่านางเสียสติออกไป ก็เป็นได้มากจากเก้าในสิบว่า ในช่วงที่ผ่านมามีคนสั่งให้นางทำ…”
“ในช่วงที่ผ่านมา?” ฮองเฮารำพึงรำพัน
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นช่วงที่ผ่านมาชีวิตของน้องสิบสามมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ความเปลี่ยนแปลงงั้นรึ” ฮองเฮาชะงักนิ่งไป “ตั้งแต่ดวงตาของฝูชิงหายดี ชีวิตของนางก็เปลี่ยนไปมาก…”
อวี้จิ่นเอ่ยขัด “ไม่ต้องย้อนกลับไปไกลถึงขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะหากเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการที่ดวงตาของน้องสิบสามหายดี เรื่องคงไม่มาเกิดเอาวันเทศกาลซั่งหยวนในปีนี้ ควรจะเกิดเรื่องตั้งแต่เทศกาลซั่งหยวนในปีที่แล้วมากกว่า”
เมื่อเทศกาลซั่งหยวนเมื่อปีก่อน ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงหายดีแล้ว
“ในช่วงที่ผ่านมา…” สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปฉับพลันก่อนจะเปล่งเสียงออกมา “ในช่วงที่ผ่านมาฝูชิงมักจะไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา แต่จะมีอะไรได้”
วินาทีที่ฮองเฮาลั่นประโยคนั้นออกไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปทันที เขากล่าวด้วยความไม่พอใจ “ฮองเฮา เจ้าอย่าคิดอะไรไร้สาระ!”
ฮองเฮาเงียบไป
นางคิดอะไรไร้สาระงั้นหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตระหนักได้ว่าตนเองทำเกินไปจึงยกมือลูบจมูกตัวเอง พลางชำเลืองไปที่อวี้จิ่นด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ “ว่าต่อซิ”
เหตุใดถึงได้ลากไทเฮาเข้ามาเอี่ยว ไอ้นี่นี่มันน่าบ้องหูจริงๆ
อวี้จิ่นลอบยิ้มหยันพลางถามต่อ “ทุกครั้งที่น้องสิบสามไปที่พระตำหนักฉือหนิง มีใครไปด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเจ็ด!” จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นอวี้จิ่นกัดไม่ปล่อยก็เริ่มจะทนไม่ไหว
อวี้จิ่นทำหน้าไร้เดียงสา “เสด็จพ่อมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…” ท่าทีใสซื่อของอีกฝ่ายทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้จนด้วยคำพูด
เขาเป็นคนอนุญาตให้เจ้าเจ็ดและภรรยาเข้ามาช่วยไขคดีในวังหลวง หากจะห้ามไม่ให้เขาพูดตอนนี้คงไม่ได้
อีกอย่าง เจ้าเจ็ดทราบดีว่าไทเฮาสำคัญในสายตาของเขาเพียงใด การที่ยังกล้าเอ่ยเช่นนี้คงทำไปเพราะความบริสุทธิ์ใจ
เมื่อคิดตกเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ค่อยๆ สงบลงประหนึ่งได้รับการปลอบประโลม
ฮองเฮาที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย นางก็ดึงมุมปากพลางหันไปกล่าวแก่อวี้จิ่น “ฝูชิงจะไปกับสิบสี่ทุกครั้ง แต่เพราะเกรงว่าหากไปกันหลายคนจะเป็นการรบกวนไทเฮา ทั้งคู่จึงพานางในข้างกายของตัวเองไปด้วยแค่หนึ่งคน ของฝูชิงคือ…ชิงไต้”
หากเป็นเรื่องของบุตรสาว ต่อให้เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับไทเฮา นางก็ต้องการคำตอบที่ชัดเจน!
“คนที่สามารถเข้าถึงชิงไต้ และยุยงให้ชิงไต้ทำร้ายองค์หญิงในฮองเฮาได้ ลูกขอแถลงข้อสันนิษฐานอันอุกอาจของลูกว่า คนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก หรือไม่ก็…เป็นคนที่มียศสูง…”
“โอหัง! นี่เจ้ากำลังสงสัยไทเฮางั้นหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้พ่นวาจาพร้อมใบหน้าโกรธขึ้ง
ฝ่ายอวี้จิ่นแสดงท่าทีตกตะลึง “เหตุไฉนเสด็จพ่อถึงได้คิดว่าเป็นเสด็จย่า ลูกแค่เดาว่าในพระตำหนักฉือหนิงอาจมี ‘ตั่วหมัวมัว’ อีกคนก็เป็นได้ ลูกมิได้คิดว่าจะเป็นเสด็จย่าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”