ฮ่องเต้กวาดสายพระเนตรมองไปรอบๆ มีเจ้าสี่ เจ้าห้าและชายา เจ้าหก เจ้าเจ็ดและชายา และเจ้าแปด นอกจากฉินอ๋อง โอรสคนอื่นๆ อยู่กันครบหน้า จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดเย้ย “มาทำอะไรกัน”
ในเทศกาลซั่งหยวน ไอ้พวกลูกตัวดีพวกนี้สามารถออกไปเดินเที่ยวเล่นได้ตามอำเภอใจ ไม่เหมือนเขาที่ต้องชมโคมไฟจากบนหอคอย แต่พอเกิดเรื่องที่หอเซวียนเต๋อก็รีบรุดมาดูเชียว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เตรียมจะไล่ทุกคนไปแต่ฮองเฮากระแอมไอแผ่วเบา “ฝ่าบาท…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปที่ฮองเฮา
ฮองเฮาเข้าไปกระซิบข้างหูจิ่งหมิงฮ่องเต้ แล้วฮ่องเต้ก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาอวี้จิ่นและเจียงซื่อ “เจ้าสองคนตามข้ากลับไปที่ตำหนัก ส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกลับไปได้แล้ว”
ครั้นเอ่ยจบ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอื้อมมือไปพยุงไทเฮา “เสด็จแม่ ค่อยๆ ก้าวนะพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานกองขบวนของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เคลื่อนออกจากหอเซวียนเต๋อ ปล่อยให้ฉีอ๋องและองค์ชายองค์อื่นๆ ยืนมองหน้ากันอยู่ตรงนั้น
สู่อ๋องเอ่ยเป็นคนแรก “ไม่คิดว่าวันนี้พี่สี่จะมาชมประทีป น้องคิดว่าพี่จะอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้สี่ที่จวนเสียอีก”
ฉีอ๋องยิ้มบางพลางตอบ “พี่สะใภ้สี่ของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ออกมาข้างนอกไม่ได้ ข้ารับปากนางไว้ว่าจะมาชมความงดงามข้างนอกแทนนาง ว่าแต่ไฉนน้องหกถึงออกมาคนเดียวเล่า”
สู่อ๋องไม่คิดว่าจะถูกฉีอ๋องสวนกลับ เขาจึงผงะไปทันใด
สาเหตุที่วันนี้เขาออกมาคนเดียวก็เพราะทะเลาะกับพระชายาสู่อ๋อง
ก่อนที่พระชายาสู่อ๋องจะออกเรือน นางเป็นหนึ่งในสตรีสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมทั้งได้ด้านความสามารถและรูปลักษณ์ภายนอก แต่เหตุใดถึงเป็นคนถือทิฐิเพียงนี้ เขาแค่เอ่ยถึงเรื่องทายาทเพียงประโยคเดียว นางก็กระฟัดกระเฟียดการใหญ่
เพราะต้องไม่ลืมว่าเขาเข้าพิธีอภิเษกสมรสก่อนเจ้าเจ็ดหนึ่งเดือน จนตอนนี้บุตรีของเจ้าเจ็ดจะเรียกชื่อคนได้อยู่แล้ว แต่ของเขากลับยังไร้วี่แวว จะให้เขาไม่ร้อนใจได้อย่างไร
หากเป็นช่วงอื่นๆ เขาคงปล่อยผ่าน แต่เพราะนี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากเขามีบุตรสักคน เสด็จพ่อคงเห็นความสำคัญของเขามากขึ้น และไม่แน่ว่าอาจทำให้เขามีแต้มต่อเจ้าสี่จนถึงขั้นชี้เป็นชี้ตาย
สู่อ๋องเก็บความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้พลางเอ่ยลอยๆ “ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นอยู่ว่าพวกเรามาถึงพร้อมๆ กัน แต่เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้เรียกน้องเจ็ดและชายาให้ตามไปแค่สองคน”
หากจะเรียงลำดับวัยวุฒิ ก่อนหน้าเขามีทั้งเจ้าสี่และเจ้าห้า หากเสด็จพ่อจะเมินเขาเพราะสองคนแรก เขาก็มิได้รู้สึกขายหน้า แต่เจ้าสี่ที่ถูกเจ้าเจ็ดแซงหน้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ฉีอ๋องก็คิดเช่นนี้ แต่ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกคับข้องไว้ในใจ
พระทัยของฮ่องเต้ล้ำลึกเกินคาดเดา แม้เสด็จพ่อจะทำให้เขารู้สึกเสียหน้า แต่นอกจากทนแล้วเขาจะทำอะไรได้ หากเขาได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์เมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เขาเสียหน้าอีกแล้ว
ถึงเขาจะไม่พอใจที่เสด็จพ่อลำเอียง แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกเบาใจไม่น้อย
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากเสด็จพ่อตั้งใจจะยกตำแหน่งให้เจ้าเจ็ดจริงคงไม่แสดงออกชัดเจนเพียงนี้ แต่เมื่อเสด็จพ่อทำเช่นนี้ก็หมายความว่า ในใจของเสด็จพ่อไม่เคยคิดจะยกตำแหน่งให้เจ้าเจ็ดเลย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉีอ๋องก็เบาใจขึ้นมาก และศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็ยังคงเป็นสู่อ๋องที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
หลู่อ๋องฟังบทสนทนาทิ่มแทงของสองคนแล้วกลับรู้สึกว่าไม่น่าสนใจเลยสักนิด เขาบุ้ยปากพลางบอก “พวกเจ้าไม่สงสัยหรือว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น”
มัวแต่พูดพร่ำไร้สาระอยู่นั่น
ทั้งฉีอ๋องและสู่อ๋องหันมาทางหลู่อ๋องพลางคิดในใจว่า ถามว่าสงสัยไหมก็ต้องสงสัยสิ เพียงแต่ก็เห็นอยู่ว่าเสด็จพ่อไม่อยากให้พวกเขารู้
หลู่อ๋องกระตุกมุมปากก่อนจะหันไปคว้าตัวองครักษ์ที่เดินโฉบผ่านมา “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น”
องครักษ์ไม่กล้าไม่ตอบ “ขณะที่กำลังชมประทีป นางในขององค์หญิงฝูชิงสะดุดตกลงมาพ่ะย่ะค่ะ…”
“พูดก็เหมือนไม่พูด” หลู่อ๋องรู้ว่าคงไม่ได้ความเพิ่มเติมจึงหันไปหาพระชายาหลู่อ๋อง “เจ้าจะชมโคมต่อ หรืออยากจะกลับจวน”
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ พระชายาหลู่อ๋องก็หมดอารมณ์จะชมโคมต่อจึงตอบว่า “กลับจวนเถอะ”
หลู่อ๋องร่าเริงขึ้นมาทันที เขาหันไปสั่งบ่าวรับใช้และผอจื่อให้พาพระชายากลับไปที่จวน
พระชายาหลู่อ๋องหรี่ตา “ท่านอ๋องมิได้จะกลับไปกับหม่อมฉันหรอกหรือ”
“ข้าจะเดินเล่นต่ออีกหน่อย ข้ายังเดินชมประทีปงามเหล่านี้ไม่หนำใจเลย”
ฮิฮิ ขอแค่สลัดแม่หญิงจอมจู้จี้นี่ให้ได้ก่อน ในเทศกาลมีสตรีตั้งมากมาย ไม่แน่เขาอาจได้พบหญิงงามก็เป็นได้
ในขณะที่กำลังฝันหวาน จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่เอว
“ท่านอ๋องจะไปชมโคมคนเดียวงั้นหรือ” พระชายาหลู่อ๋องย้ำเสียงต้องคำว่า “คนเดียว”
หลู่อ๋องแยกเขี้ยว แต่ไม่กล้าร้องโอดครวญต่อหน้าฉีอ๋องและคนอื่นๆ ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกเสียดายนั้นไว้ “จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากไปแล้ว กลับจวนดีกว่า”
หากยังไม่รีบกลับ โดนแม่เสือตัวนี้ไล่ฆ่าที่งานเทศกาลจะทำอย่างไร มีหวังเข้าได้ขายหน้าคนทั้งเมืองพอดี
เมื่อเห็นว่าหลู่อ๋องและพระชายาจากไปแล้ว คนอื่นๆ ก็ทยอยแยกย้ายกันกลับ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่เพิ่งกลับมาถึงตำหนักรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก แม้แต่ฮองเฮาก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย
สองปีมานี่มีเรื่องร้ายประดังประเดเข้ามาไม่หยุด ขนาดเขาขอให้ฮองเฮาที่ว่างอยู่แล้วบูชาพระโพธิสัตว์ นางยังไม่ยอมทำ
เป็นไงล่ะตอนนี้ เกิดเรื่องอีกจนได้!
แม้อารมณ์จะฉุนหนัก แต่ต่อหน้าไทเฮา จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังพยายามฝืนยิ้ม “เสด็จแม่ ให้ลูกไปส่งเสด็จแม่ที่ตำหนักฉือหนิงก่อนจะดีกว่า”
“ฝ่าบาทมีธุระ ไม่ต้องมาสนใจข้าหรอก ว่าแต่ฝูชิง…”
“ฝูชิงไม่เป็นอะไรมา เสด็จแม่กลับไปพักก่อนเถิด ไว้ลูกจะไปเล่าให้เสด็จแม่ฟังในภายหลัง”
“ก็ดี งั้นข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน” ไทเฮากล่าวพลางหันไปพยักหน้าให้ฮองเฮาเล็กน้อย “ฮองเฮา เจ้าก็ดูแลฝ่าบาทและฝูชิงให้ดี”
ฮองเฮาย่อเข่าเล็กน้อย “เสด็จแม่วางพระทัยได้เพคะ”
รอจนกระทั่งไทเฮาจากไปแล้ว ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หม่นลงทันใด
ฮองเฮาตีมือองค์หญิงฝูชิงแผ่วเบา “ฝูชิง เจ้าก็กลับตำหนักไปก่อนเถิด”
องค์หญิงฝูชิงสั่นศีรษะ “เสด็จแม่ เรื่องวันนี้เกิดขึ้นกับลูก ขณะที่เกิดเหตุลูกทราบดีกว่าใคร ให้ลูกอยู่ต่อเถิดเพคะ”
นางไม่ได้อ่อนแอถึงขั้นที่เกิดเรื่องแล้วต้องไปหลบหลังน้องสิบสี่
นางเป็นองค์หญิงที่ประสูติแต่ฮองเฮา มิใช่บุปผาที่อ่อนแอ
ครั้นหวนนึกถึงวินาทีที่เกิดเรื่องแล้วองค์หญิงสิบสี่เข้ามาดึงตัวนางให้ไปหลบอยู่ด้านหลัง องค์หญิงฝูชิงก็รู้สึกละอายใจ ฉะนั้นแล้วนางจึงไม่อยากปล่อยให้องค์หญิงสิบสี่ถูกสอบสวนแต่เพียงผู้เดียว
ฮองเฮาลังเลชั่วครู่ แต่เมื่อต้องเผชิญสายตาอ้อนวอนของบุตรสาว นางก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจนใจ
“เช่นนั้น พวกเจ้าทั้งสองลองเล่าเหตุการณ์ให้ข้าฟังโดยละเอียด อย่าให้ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ย
เมื่อฟังองค์หญิงทั้งสองกล่าวจบ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หันไปหาอวี้จิ่น
เนื่องจากในตอนนั้นฮองเฮาบอกกับเขาว่าเยี่ยนอ๋องและชายาเชี่ยวชาญในเรื่องการไขคดี ฉะนั้นแล้วเข้าจึงเรียกทั้งคู่ให้ตามกลับมาที่ตำหนัก
อวี้จิ่นนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “ชิงไต้มารับใช้น้องสิบสามตั้งแต่เมื่อใด”
“ชิงไต้มาอยู่กับหม่อมฉันตั้งแต่เมื่อสองสามปีก่อนเพคะ แต่ก่อนหน้านี้นางไม่เคยแสดงพิรุธใด”
“แล้วหมู่นี้นางมีท่าทีผิดปกติบ้างหรือไม่” อวี้จิ่นถามต่อ
องค์หญิงฝูชิงส่ายศีรษะด้วยท่าทีลังเล “หม่อมฉันไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยเพคะ หงซิ่ว เจ้าอยู่กับชิงไต้บ่อยที่สุด เจ้าเห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือไม่”
ในฐานะที่นางเป็นนางในอีกคนที่คอยปรนนิบัติองค์หญิงฝูชิงและได้ขึ้นไปบนหอเซวียนเต๋อเช่นเดียวกันชิงไต้ หน้าของนางซีดเผือดตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดเรื่อง เมื่อองค์หญิงฝูชิงเอ่ยถาม นางก็รีบตอบ “เมื่อสองสามวันก่อนบ่าวบังเอิญเห็นว่าชิงไต้ตาบวมคล้ายกับคนที่เพิ่งร้องไห้ บ่าวจึงถามว่านางเป็นอะไร แต่ตอนนั้นนางตอบว่าเป็นเพราะนางขยี้ตาเพคะ แต่พอมาคิดดูตอนนี้ บ่าวคิดว่าตอนนั้นชิงไต้คงเจอเรื่องอะไรมา…เป็นเพราะความเขลาของบ่าวเองที่ไม่ได้ถามโดยละเอียดเพคะ…”
หงซิ่วตบเข้าที่แก้มของตัวเองอย่างแรง
ฮองเฮาปล่อยให้เสียงตบผ่านหูไปเช่นนั้น นางรำพึง “ชิงไต้คือคนที่ข้าเลือกเองกับมือให้มาดูแลฝูชิง แล้วจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
ฮองเฮาเป็นคนเลือกคนที่มาดูแลองค์หญิงฝูชิงทั้งหมด แต่กลับกลายเป็นว่านางในข้างกายองค์หญิงฝูชิงกลับเป็นหนอนเสียอย่างนั้น ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นอยู่ในใจฮองเฮาทำให้นางรีบคว้ามือเจียงซื่อมาจับไว้ “พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้าว่าใครคือคนที่ทำร้ายฝูชิง”