บทที่ 748 การสืบสวนของฮั่วจีว์ 6

ขอทานเฒ่ากระโดดขึ้นไปบนหลังคาตรงที่ฮั่วจีว์เคยนอน เขาก้มลงไปหยิบกระเบื้องแผ่นหนึ่งออกแล้วพ่นควันเข้าไปที่ด้านใน แสงจันทร์ส่องต้องลงมายังใบหน้าที่อยู่ในเงามืด ดูน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

ฮั่วจีว์กำลังเดินทางไปที่ว่านฮวาแต่เมื่อเขาวิ่งไปสักพัก กลับฉุกคิดถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เหตุใดขอทานเฒ่าจึงปรากฏตัวที่จือฮวาโหลว? ที่จริงแล้วในหน่วยลาดตะเวนมีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน มีทั้งรวบรวมข่าวกรอง ส่งข้อมูล และบางคนก็สืบสวน ขอทานเฒ่าเป็นคนที่รวบรวมข้อมูลไม่ใช่คนส่งข่าวสักหน่อย พลุที่เพิ่งจุดเป็นสัญญาณเรียกทุกคนมาที่หน่วย แน่นอนว่าขอทานเฒ่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮั่วจีว์มาตลอด ไม่แปลกที่เขาจะไปหาฮั่วจีว์ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มาที่หน่วย แต่ปัญหาคือเรื่องเวลา…

ดอกไม้ไฟจะถูกจุดโดยเจ้าหน้าหน่วยลาดตะเวน ขอทานเฒ่ามาหาเขาเพราะเห็นว่าฮั่วจีว์ยังไม่กลับไป แต่ว่านั่นต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ แต่เขามาเร็วเกินไป ใช้เวลาแค่เพียงไม่นานเท่านั้น แสดงว่าหลังจากจุดพลุแล้วเขารีบเดินทางมาทันที

เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าฮั่วจีว์ไม่ได้กลับไปที่หน่วย นี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก

เมื่อนึกถึงรูปร่างเตี้ยของขอทานเฒ่า ฮั่วจีว์คิดถึงความเป็นไปได้ หรือพลุอาจจะถูกจุดโดยขอทานเฒ่า ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในหน่วยลาดตะเวนที่มีหน้าที่ดูแลจือฮวาโหลวต้องกลับไปที่หน่วย แต่ว่าฮั่วจีว์เผอิญยังอยู่ เขาจึงบอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้นที่หอว่านฮวา? เมื่อฮั่วจีว์จากมาจึงไม่มีใครคอยจับตาดูจือฮวาโหลวเพื่อปกป้องชิงลั่ว!?

การคาดคะเนในครั้งนี้ทำให้ฮั่วจีว์เย็นวาบไปทั้งตัว เขาตื่นตระหนกอย่างไร้เหตุผล ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าแล้วรีบหันหลังกลับไปที่จือฮวาโหลวทันที แม้ว่าเขาจะใกล้หมดแรงแล้วก็ตาม ฮั่วจีว์กระโดดขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นจึงปีนเข้าไปในหน้าต่างของห้องนอนแม่นางชิงลั่ว เขาได้กลิ่นแปลกประหลาด ในทันทีที่เข้าไป ชายหนุ่มรีบปิดปากอุดจมูกของตนเองอย่างรวดเร็ว หัวใจเขาเต้นถี่ระรัว เมื่อหันไปเห็นว่าไม่ใครนอนอยู่บนเตียง

เขาค้นหาใต้เตียง ในตู้ ทุกๆที่ ที่สามารถซ่อนตัวได้แต่ก็ไม่เจอใครเลย ใบหน้าของฮั่วจีว์เป็นสีแดงจัด เขาเหงื่อออก หายใจถี่กระชั้น เมื่อเปิดประตูออกไปเจอกับหญิงสาวบางคนที่บังเอิญผ่านมา นางกรีดร้องด้วยความตกใจก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นเขา

“คุณชายฮั่ว เหตุใดมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ?”

“แม่นางชิงลั่วอยู่ไหน?” เขาคว้าตัวผู้หญิงคนนั้นมาถาม คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าชิงลั่วไม่อยู่ นางออกไปที่อื่น

“แม่นางชิงลั่วอยู่ในห้องตลอดเจ้าค่ะ” นางตอบ

หัวใจของฮั่วจีว์จมดิ่งลง อดไม่ได้ที่จะจินตนาการภาพที่อาบเลือดของแม่นางชิงลั่ว ฮั่วจีว์รู้สึกถึงความเหน็บหนาวที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ

……

เสียงแหลมดังเสียดสีอยู่ข้างหู เมื่อชิงลั่วค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองโดนมัดมือมัดเท้าอยู่ นางถูกจับนั่งบนเก้าอี้ มือถูกไพล่ไว้ที่หลังสัมผัสพนักที่เย็นเฉียบของเก้าอี้ตัวนั้น

เบื้องหน้านางคือด้านหลังของชายรูปร่างเตี้ยเสียงที่ได้ยินน่าจะเป็นเสียงที่เขากำลังลับมีด

ดวงตาของนางจ้องไปที่แผ่นหลังของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็กวาดตาดูรอบๆ ห้องนี้มีประตูและหน้าต่างอย่างละบาน ประตูถูกลงกลอนด้วยกุญแจแน่นหนาส่วนหน้าต่างก็อยู่สูงเกินไป ที่กำแพงมีเครื่องมือต่างๆ แขวนอยู่ ทั้งมีดและขวาน เมื่อเขาหันกลับจึงเห็นสีหน้าหวาดกลัวของชิงลั่ว

“เจ้าเป็นใคร จับข้ามาทำไม?”เมื่อเห็นอีกฝ่ายถือมีดเดินเข้ามาหา ใบหน้าของนางซีดเซียวแทบไร้สีเลือด

“อย่าขยับ ผิวสวยๆแบบนี้น่าเสียดายหากมีตำหนิไป อ่า…ถ้ายังไม่เลิกดิ้น มือข้าอาจจะพลั้งเผลอทำมีดบาดคอเจ้าอย่างไม่ตั้งใจก็ได้นะ” เสียงที่ชายร่างเตี้ยพูดออกมากลับเป็นเสียงผู้หญิง!

แม้ใบหน้าของเขาจะเป็นผู้ชายแต่แท้จริงแล้วนางเป็นสตรีที่ปลอมตัวมา ชิงลั่วมองเห็นนางคลี่ยิ้มให้ดูแล้วแปลกพิกล นางพยายามระงับความกลัว หยุดดิ้นรนแต่กระนั้นตัวยังสั่นฟันยังกระทบกันดังกึกๆ

“เจ้า..เจ้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่?”

“ข้าจะเป็นอะไรแล้วมันสำคัญที่ไหน ตอนนี้ตัวเจ้าสำคัญมากกว่ากระมัง ไม่ต้องกลัวนะ ถึงจะเจ็บสักหน่อยแต่เราก็เพลิดเพลินไปกับมันได้” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม เดินไปรอบๆ ชิงลั่วราวกับกำลังเล็งดูว่าจะแทงนางที่ตรงไหนก่อนดี

“จะ..เจ้าจับข้ามาทำไม?” ชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว

“เพราะผิวของเจ้าสวยมากไงล่ะ! นับได้ว่าเป็นผิวชั้นหนึ่งจริงๆ” ว่าแล้วคนผู้นั้นก็เอามือคล้องคอชิงลั่ว

การกระทำของเขาทำให้นางตัวสั่นมากขึ้น

“เหตุใดต้องเป็นข้า ข้าเป็นเพียงหญิงคณิกา มีคุณหนูมากมายที่ผิวพรรณดีกว่าข้า” นางพูดแย้งขึ้นมา ยังไม่ทันขาดคำสีหน้าแววตาของเขาพลันดุร้ายขึ้นมาทันที

“เพราะเจ้าเป็นหญิงชั้นต่ำชอบล่อลวงบุรุษน่ะสิ!” ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว มือของเขาลูบไล้ไปที่ใบหน้าของชิงลั่วประหนึ่งนางเป็นลูกแกะที่รอเชือด

“อย่าทำให้ข้าโกรธเลย ข้าไม่อยากให้ผิวดีๆแบบนี้มีตำหนิ”

ชิงลั่วหลับตาลง ดวงตาของนางแดงก่ำเหมือนคนหวาดกลัว แต่ภายในจิตใจของนางกลับสงบมาก คนผู้นี้ไม่อยากให้นางถามซอกแซก ทว่า นางยังคงถามต่อไป

“เจ้าเป็นใคร? หากเจ้าสังหารข้า ทางการจะจับเจ้า” ชิงลั่วว่า

“จับข้าหรือ? ทางการจะทำอะไรได้?” เขาเยาะเย้ย “คนพวกนั้นเรียกข้าว่าปีศาจถลกหนัง” เมื่อเห็นว่าสายตาชิงลั่วสับสน เขาจึงพูดต่อ

“เจ้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนสินะ..แต่หลังจากวันนี้แล้วชื่อของปีศาจถลกหนังจะเป็นที่จดจำของหน่วยลาดตระเวนได้เป็นอย่างดี!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ

“หน่วยลาดตะเวนคืออะไร? มีหน้าที่สอบสวนคดีหรือ? พวกเขา..จะจับเจ้าได้ใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้วหน่วยลาดตะเวนคือหน่วยของทางการ มีหน้าที่จัดการกับคดีแปลกประหลาดที่คลี่คลายไม่ได้ ว่ากันว่าเจ้าหน้าที่ของที่นี่รับสมัครคนหลากหลาย เดิมทีข้าคิดว่าคงเป็นหน่วยที่มีความสามารถ แต่ในความเป็นจริง…” น้ำเสียงของเขามีร่องรอยของการดูถูก

“มีแต่คนที่โง่เง่า น่าเบื่อ!”

“เจ้าหลอกพวกเขา..” ชิงลั่วพูด แม้ว่ากลัวแต่ก็อดอยากรู้ไม่ได้

“หลอกหรือ? ข้าเป็นคนส่งข่าวให้พวกเขาเองว่าข้าจะมาเมืองหลวง พวกเขาตามหาข้าทุกที่ ทั้งๆ ที่ข้าอยู่ใต้จมูกพวกเขาแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็น พวกเขานับถือข้าเป็นเพื่อนร่วมงาน เชื่อใจข้า!”

“ไม่มีใครฉุกใจคิดเลยว่า ปีศาจถลกหนังที่กำลังตามหากันวุ่นวาย แอบอยู่ในหมู่พวกเขานั่นเอง ฮ่าๆๆ”

ปีศาจถลกหนังพูดพลางหัวเราะเย้ยหยัน

“เจ้าคงไม่คิดสินะว่าคนที่จับเจ้ามาจะเป็นคนของหน่วยลาดตะเวน” เชือกที่มือและเท้าของแม่นางชิงลั่วถูกแก้ออกพร้อมกันโดยที่ปีศาจถลกหนังไม่ทันสังเกตเห็น นางยืนขึ้นจนสูงกว่าอีกฝ่าย สีหน้าของชิงลั่วดูสงบและไม่หวาดกลัว

“ขอทานเฒ่า ที่แท้เจ้าเป็นปีศาจถลกหนังนั่นเอง ข้าไม่คิดเลยว่าปีศาจถลกหนังจะเป็นผู้หญิง” เมื่อแม่นางชิงลั่วพูดอีกครั้ง เสียงที่ออกมากลายเป็นเสียงของบุรุษ สีหน้าของปีศาจถลกหนังเปลี่ยนไป เขาจำเสียงคนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี

“เจ้า!”

“ใช่ ข้าเองหัวหน้าหน่วยลาดตะเวน ข้ามาเพื่อจับเจ้า” เป่ยเหยียนเม้มปากเยาะเย้ย