บทที่ 559 อัญเชิญมาติดกับดัก

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 559 อัญเชิญมาติดกับดัก

ณ ห้องทรงงาน

องค์หญิงหนิงอันนั่งลงข้างฮ่องเต้ด้วยท่าทีนิ่งขรึม

ฮ่องเต้ยื่นมือตบเข้าที่หลังมือของนางเบาๆ พร้อมเอ่ย “เจ้าอย่าได้คิดมาก สักวันหนึ่งคดีมันก็คลี่คลายลงเอง”

องค์หญิงเอ่ยเสียงอ่อน “บางครั้ง หม่อมฉันอดคิดไม่ได้ว่าหม่อมฉันไม่ควรกลับมา เหตุการณ์ครั้งนั้น หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ซ้ำไม่เชื่อฟังเสด็จแม่และเสด็จพี่ ดื้อรั้นที่จะแต่งงานและย้ายออกนอกเมือง สุดท้าย หม่อมฉันกลับไว้ใจใครไม่ได้ ทั้งยังทำให้ราษฎรนับแสนในชายแดนต้องทนทุกข์ทรมานจากเพลิงแห่งสงคราม ที่ฝ่าบาททรงเสนอให้หม่อมฉันเป็นองค์หญิงผู้พิทักษ์ หม่อมฉันรู้ตัวเองดีว่าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้น”

ฮ่องเต้มองไปที่นาง “หนิงอัน…”

องค์หญิงหนิงอันสบตาผู้เป็นพี่ “เสด็จพี่ โปรดฟังหม่อมฉันให้จบ”

ฮ่องเต้จึงได้แต่พยักหน้า “ได้ เจ้าพูดต่อเลย”

“นับเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ที่คนบาปอย่างหม่อมฉันได้กลับมายังเมืองหลวงอีกครั้ง ฉะนั้นเสด็จพี่ได้โปรดอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องมอบรางวัลให้หม่อมฉันอีกเลย”

ฮ่องเต้ตรัสอย่างทอดถอนใจ “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ต่อให้ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย อย่างไรเสียพวกอดีตราชวงศ์ก็ต้องเข้ามาก่อความวุ่นวายให้แคว้นเจาอยู่ เจ้าเป็นแค่คนที่ถูกพวกมันหลอกใช้งาน ถึงไม่มีเจ้า พวกมันก็ต้องใช้คนอื่นอยู่ดี เพราะฉะนั้น เจ้าหยุดโทษตัวเองได้แล้ว คำพูดของเจ้าคอยย้ำเตือนข้าว่าอาจเป็นเพราะความเอ็นดูที่ข้ามีต่อเจ้ามากเกินไปทำให้ใครบางคนอิจฉาริษยา เลยทำให้เจ้าต้องพบเจอกับปัญหามากมายใช่หรือไม่”

องค์หญิงหนิงอันไม่เอ่ยตอบ

ฮ่องเต้ปลอบโยนผู้เป็นน้อง “เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องตกที่นั่งลำบาก เรื่องวันนี้เจ้าคิดเสียว่าไม่เคยได้ฟังมาก่อน ข้าจะสืบเสาะหาความจริงมาให้ได้”

นัยน์ตาองค์หญิงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

เมื่อเห็นหนิงอันเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็อดคิดไม่ได้ว่าตอนที่ยังเยาว์วัย หนิงอันเคยเป็นเด็กที่มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นไม่ร้องไห้เหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ทั่วไป เวลานางเจอเรื่องร้ายอะไร นางก็จะไปหลบในสถานที่ที่ไม่มีคน แล้วนั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น

และทุกครั้ง เขาจะตามหาตัวนางจนเจอ ปลอบนางจนอารมณ์ดีขึ้น

นั่นยิ่งทำให้ฮ่องเต้รู้สึกปวดพระทัยมากขึ้นกว่าเดิม

หลายปีมานี้ที่นางอยู่ตัวคนเดียวที่ชายแดน จะมีใครเป็นห่วงเป็นใยนางบ้าง

ต่อมา ฮ่องเต้ก็ได้เรียกเว่ยกงกงให้เข้ามา “เจ้าไปที่กรมยุติธรรมและบอกเจ้ากรมสิงว่าอย่าเพิ่งเปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับคดีนี้สู่ภายนอก”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เว่ยกงกงน้อมรับคำสั่งเสร็จก็เดินออกไป

แต่หารู้ไม่ว่าไม่ทันการเสียแล้ว

ระหว่างทาง เว่ยกงกงได้ยินผู้คนพูดคุยถกเถียงกันแต่เรื่องนี้

“สหายทั้งสอง เมื่อกี้พวกท่านคุยเรื่องอะไรอยู่หรือ” เว่ยกงกงเปิดม่านรถพร้อมกับเรียกชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างถนนด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

เพื่อเป็นการปกปิดตัวตนที่แท้จริง เว่ยกงกงจึงแต่งกายเฉกเช่นราษฎรทั่วไป

ชายหนุ่มสองคนที่ถูกทักคิดว่าเว่ยกงกงน่าจะเป็นเศรษฐีในเมืองหลวง จึงเล่าข่าวที่ได้ยินจากโรงน้ำชาให้เขาฟัง

“ได้ข่าวว่าหอเซียนเล่อมีเอี่ยวกับราชวงศ์ด้วยล่ะ แถมมีทหารที่เพิ่งกลับจากชายแดนถูกสังหารอีกด้วย!”

“มี มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยรึ”

ทักษะการแพร่กระจายข่าวเร็วของจี้จิ่วนั้นสูงพอๆ กับระดับความบิดเบี้ยวของตัวข่าว เขาสนแค่ว่าข่าวนี้จะต้องแพร่ออกไปให้ไกลและเร็วที่สุด ไม่ว่ามันจะถูกบิดเบือนมากแค่ไหน

“ใครรึที่ถูกฆ่า”

“ก็กู้ฉังชิง หัวหน้ากองทัพตระกูลกู้ไง!”

“แค่กๆ !” เว่ยกงกงเกือบจะขาดอากาศหายใจเพราะสำลักแรง!

ไหงมีกู้ฉังชิงมาเอี่ยวด้วยเฉยเลยล่ะ

คนที่ถูกปองร้ายคือแม่นางกู้มิใช่รึ

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครตายเลยด้วยซ้ำ!

“เข้าใจผิดรึเปล่า ท่านชายกู้วันก่อนยังเดินทางไปเยี่ยมญาติผู้เสียชีวิตอยู่เลย”

“ก็เขาถูกลอบสังหารระหว่างทางออกจากเมือง! มีคนเห็นศพและคราบเลือดทั่วหิมะอยู่ตรงแถวสถานีพักม้าละแวกนั้น! ไม่ไกลจากเมืองเฟิงตูนัก!”

ศพที่พวกเขาหมายถึงมันคือร่องรอยที่แม่นางกู้ต่อสู้กับพวกหอเซียนเล่อ คนที่เสียชีวิตล้วนเป็นคนขอหอเซียนเล่อ!

ใคร ใครมันบังอาจบิดเบือนข่าวกันได้ถึงเพียงนี้!

“ไอ้หยา น่าเวทนายิ่งนัก! ท่านชายกู้เป็นวีรบุรุษช่วยกอบกู้บ้านเมืองแท้ๆ พอกลับมาดันถูกคนในราชวงศ์คิดบัญชีเสียอย่างนั้น พวกนั้นเห็นว่าเขาได้ดีเกินหน้าเกินตา ก็เลยใช้วิธีกำจัดเสี้ยนหนามออกไปแบบนี้เลยหรือ!”

“ตายเพราะพวกเดียวกันแทนที่จะเป็นศัตรู ช่างน่าสลดใจเสียเหลือเกิน”

“แต่ดูเหมือนจะยังไม่ตายนะ ได้ข่าวว่ารอดออกไปได้”

“คราวนี้มีหวังท่านชายกู้ได้หนีกบดานไปถึงทิเบตแน่เลย”

นี่เป็นข่าวแบบแรกที่เว่ยกงกงได้ยิน

ยังมีแบบที่สองอีก

ใจความคล้ายกับข่าวแรกคือกู้ฉังชิงถูกลอบสังหาร โดยฝีมือของหอเซียนเล่อร่วมมือกับราชวงศ์ แต่ไม่ใช่เพราะต้องการฆ่าปิดปาก แต่เพราะองค์หญิงเกิดถูกใจกู้ฉังชิง

กู้ฉังชิงปฏิเสธพระองค์ องค์หญิงจึงโกรธมากและต้องการแก้แค้น

“นี่มันไปกันใหญ่แล้ว!” เว่ยกงกงมึนงงจนหัวโต

ไม่พอ ยังมีแบบที่สามเพิ่มมาอีก ซึ่งเป็นเส้นเรื่องที่ทำให้เว่ยกงกงปวดหัวมากที่สุด คนที่ถูกลอบฆ่าในเรื่องยังคงเป็นกู้ฉังชิง

“ได้ยินมาว่าเป็นฝีมือของพวกอดีตราชวงศ์!”

“คนพวกนั้นไม่ใช่ว่าตายกันไปหมดแล้วรึ”

“ได้ยินมาว่ายังมีคนของพวกมันเหลืออยู่ จับมือกับหอเซียนเล่อ เพื่อแก้แค้นท่านชายกู้และทัพทหารตระกูลกู้!”

“น่าสงสารท่านชายกู้ยิ่งนัก ยังบาดเจ็บอยู่อย่างนั้น จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้เลย”

“แถมข้ายังได้ยินมาอีกว่า ตอนนี้มีไส้ศึกอาศัยอยู่ในวังด้วยล่ะ”

“เอ๋ แต่ข้าได้ยินมาว่าตอนที่ท่านชายกู้ปลิดชีวิตหวงฝู่เจิง องค์หญิงหนิงอันได้ขอร้องไม่ให้เขาทำเช่นนั้น ทรงขอให้ทิ้งหวงฝู่เจิงไว้ในป่าเขา แต่ท่านชายกู้กลับไม่สนคำขอร้องขององค์หญิง และลงมือสังหารหวงฝู่เจิงต่อหน้าต่อตาพระองค์”

“อ๋อ มิน่าล่ะ…”

เว่ยกงกงแหงนหน้ามองฟ้าอย่างสิ้นหวัง

แย่แล้ว คราวนี้แย่แน่ๆ

ข่าวที่แพร่ออกไปแล้วมิอาจหวนคืนกลับมาได้ แต่ก็อย่างว่า ปล่อยออกมาดีกว่าเก็บไว้ ยิ่งฮ่องเต้กีดกันราษฎรไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ข่าวก็ยิ่งแพร่ไวเท่านั้น

เว้นเสียแต่จะทรงใช้วิธีเชือดไก่ให้ลิงดูด้วยการฆ่าปิดปากราษฎรซักร้อยคน คงไม่มีใครกล้าพลั้งปากปล่อยข่าวอีก

แต่ฝ่าบาทมิได้เป็นแบบนั้น

นั่นยิ่งทำให้ข่าวลือถูกบ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในคืนต่อมา เกือบทั่วทั้งเมืองหลวงแทบจะรู้ข่าวที่หอเซียนเล่อร่วมมือกับราชวงศ์ลอบสังหารกู้ฉังชิงแล้ว

ขณะที่เจ้าตัวอย่างกู้ฉังชิงบัดนี้ไม่อยู่ที่เมืองหลวง ครั้นจะให้ฮ่องเต้เรียกตัวเขาเข้าพบก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก

ฮ่องเต้สามารถเลือกที่จะให้กู้เจียวออกมาแก้ข่าวว่านางคือผู้ที่ถูกลอบสังหารที่แท้จริง แต่นั่นเท่ากับเป็นการยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง

ไม่ว่าเหยื่อจะเป็นกู้เจียวหรือกู้ฉังชิง แทบไม่มีความต่างอย่างมีนัยสำคัญ

อาจจะต่างกันเพียงแค่ชื่อเสียงของกู้ฉังชิงที่มีมากกว่า ทำให้ข่าวถูกแพร่ออกไปได้เร็วกว่า

ขณะที่ชื่อของกู้เจียวไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก

ไม่เพียงพอที่จะทำให้เรื่องนี้กระฉ่อน

แต่สาระสำคัญของเรื่องนั้นเหมือนกัน

ใครเป็นผู้ถูกกระทำไม่สำคัญ ประเด็นอยู่ที่สมาชิกราชวงศ์คนใดอยู่เบื้องหลังต่างหาก

ณ ห้องอุ่นในตำหนักปี้สยา “องค์หญิง น้ำชาหกหมดแล้วเพคะ” เหลียนเอ๋อร์เอ่ยเตือนผู้เป็นนาย

“ช่วยข้าเช็ดที” องค์หญิงหนิงอันมองดูน้ำที่เจิ่งนองบนโต๊ะก่อนจะวางกาน้ำชาลง

“เพคะ” เหลียนเอ๋อร์หยิบผ้าขึ้นมาแล้วเช็ดโต๊ะจนแห้งสะอาด “ช่วงนี้ทรงเหม่อลอยยิ่งนัก เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

ฮ่องเต้มีรับสั่งให้คุ้มกันตำหนักปี้สยาอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้นางได้ยินข่าวลือที่ยุ่งเหยิง เหลียนเอ๋อร์จึงคิดว่านายหญิงของตัวเองกำลังกังวลเรื่ององค์ชายหวงฝู่เสียนอยู่

“องค์หญิงทรงมิต้องเป็นห่วงองค์ชายนะเพคะ องค์ชายช่วงนี้ทรงดื้อตามวัย เวลาผ่านไปจะดีขึ้นเอง และจะทรงเชื่อฟังองค์หญิงมากขึ้นเพคะ” เหลียนเอ๋อร์พูดปลอบใจ

จากนั้นองค์หญิงหนิงอันเอ่ยถามผู้เป็นบ่าว “เหลียนเอ๋อร์ หากวันใดวันหนึ่งเจ้าถูกจับตัวไป เจ้าจะคิดหักหลังข้าหรือไม่”

เหลียนเอ๋อร์ตอบด้วยท่าทีขึงขัง “ไม่เด็ดขาดเพคะ! องค์หญิงคือผู้ที่ช่วยชีวิตเหลียนเอ๋อร์ ไม่มีองค์หญิงก็เท่ากับไม่มีเหลียนเอ๋อร์อยู่ตรงนี้ ไม่มีวันที่เหลียนเอ๋อร์จะทรยศองค์หญิง!”

“นั่นสินะ ข้าเป็นผู้ให้ชีวิตเจ้า เจ้าจะทรยศข้าได้เยี่ยงไร” องค์หญิงเอ่ยพร้อมกับเรียกสติให้ตัวเองพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมา “เจ้าลองไปดูทีว่าน้ำแกงที่ตุ๋นไว้ให้ไทเฮาได้ที่หรือยัง”

เหลียนเอ๋อร์ไปที่ห้องครัวจากกลับมาพร้อมกับกล่องอาหาร “เหลียนเอ๋อร์จัดไว้ให้เรียบร้อยแล้วเพคะ”

องค์หญิงหนิงอันมุ่งหน้าไปยังตำหนักเหรินโซ่วพร้อมถือกล่องอาหารไปด้วย

พอไปถึง ก็เห็นว่าเซียวเหิงอยู่ที่นั่นด้วย

องค์หญิงมองดูเซียวเหิงที่นั่งอยู่ในห้องทรงงานของไทเฮา

“นี่น่ะเซียวลิ่วหลัง คนที่ข้าเคยพูดถึง หนิงอันคงยังไม่เคยเจอเขาสินะ” จวงไทเฮาเอ่ยทักองค์หญิง

องค์หญิงผงะเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “เอ่อ เพคะ หม่อมฉันยังไม่เคยพบเขา”

เซียวเหิงลุกขึ้นยืนแล้วหันมาถวายบังคม “องค์หญิงหนิงอัน”

นางรับคำทักทายของเขา

“ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้เข้าครัว” จวงไทเฮาเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

“น้ำแกงนี้เป็นฝีมือของพ่อครัวที่ตำหนักเพคะ” องค์หญิงหัวเราะพร้อมกับวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะ

ไทเฮาจึงสั่งให้ฉินกงกงรับกล่องอาหารไว้

“กระหม่อมจัดการให้ขอรับ” ฉินกงกงรับกล่องอาหารจากองค์หญิงหนิงอันแล้วเปิดออก

องค์หญิงยิ้มกว้างพร้อมเอ่ย “เช่นนั้นหม่อมฉันต้องของตัวก่อน ไว้พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมเสด็จแม่อีกทีเพคะ”

ขณะที่องค์หญิงเดินออกจากห้องทรงงานไทเฮา ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคน “เจ้าเล่าต่อเลย”

เซียวเหิงกล่าว “หมดแล้วขอรับ ข่าวลือในหมู่ราษฎรก็มีประมาณนี้ขอรับ”

จวงไทเฮาพูดต่อ “วิธีเดียวที่จะระงับข่าวลือได้คือต้องให้พยานพูด แล้วพยานเป็นอย่างไรบ้าง ฟื้นหรือยัง”

เซียวเหิง “ฟื้นแล้วขอรับ”

ไทเฮา “ไหนว่าถูกยาพิษเมาเจ็ดวันเจ็ดคืนไปมิใช่หรือ อะไรจะฟื้นเร็วปานนั้น”

เซียวเหิง “เจียวเจียวมียาถอนพิษขอรับ เลยฟื้นขึ้นตั้งแต่เช้าวันนี้ แต่กว่าจะพูดอะไรออกมาได้ก็ต้องรอถึงช่วงบ่าย”

จวงไทเฮา “แล้วนางพูดถึงคนบงการแล้วหรือยัง”

เซียวเหิงส่ายหัว “ยังขอรับ นางไม่ยอมปริปาก”

“เจ้าลองใช้วิธีกระตุ้นแล้วหรือยัง”

“ใช้แล้วขอรับ ลองทุกวิถีทางที่จะทำได้แล้ว แต่นางปากแข็งนัก”

ไทเฮาโพล่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ใช้ไม้อ่อน ถ้าไม่ได้อีกก็ต้องใช้วิธีที่มันรุนแรงกว่านี้ ข้าไม่เชื่อว่าทุกคนในหอเซียนเล่อจะปากแข็งกันหมด เจ้าลองไปจ้างใครสักคนให้ไปเยี่ยมฮวาซีเหยาแล้ววางยานางเสีย โดยให้เหตุผลว่านายของนางต้องการมอบรางวัลให้”

“องค์หญิงเพคะ ผ้าเช็ดหน้าขององค์หญิง…” ณ สวนหย่อม นางกำนัลเอ่ยทักองค์หญิงหนิงอันที่กำลังปล่อยใจเหม่อลอย

องค์หญิงก้มดูผ้าเช็ดหน้าของตัวเองที่ถูกฉีกดึงจนขาด ก่อนจะหันไปตอบนางกำนัลด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “โดนกิ่งไม้เกี่ยวเข้าเลยเป็นแบบนี้น่ะ ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี”