บทที่ 560 ผู้กล้า!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 560 ผู้กล้า!

หลังจากที่องค์หญิงหนิงอันเดินออกมาจากสวนหย่อม เซียวเหิงก็เปิดบานหน้าต่างบานเล็กที่ดูเผินๆ เหมือนมันไม่ได้มีอยู่ตรงนั้นออกจนสุด

เขาหันไปทางร่างที่กำลังเดินเข้าไปในประตูวัง แล้วกระซิบเบาๆ “ขอบคุณท่านย่านัก”

องค์หญิงหนิงอันไม่ได้กลับไปที่ตำหนักของตัวเอง แต่กลับมุ่งหน้าไปยังห้องทรงงานของฝ่าบาท

“หนิงอัน มาแล้วหรือ นั่งลงก่อน” ฮ่องเต้ตรัสพลางวางฎีกาในมือลง หลังจากที่เขาพักผ่อนอยู่หลายวัน จนทำให้งานพอก ไหนจะเรื่องรางวัลที่จะมอบให้หนิงอันและคดีหอเซียนเล่ออีก เรียกได้ว่างานพวกนี้ทำเอาฮ่องเต้เหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย

องค์หญิงเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นพี่

เว่ยกงกงหยิบเก้าอี้เล็กนำมาไว้ที่ด้านข้างฝ่าบาท

หนิงอันเอนตัวนั่งลงแล้วส่งสายอันอ่อนโยนให้ “นี่หม่อมฉันมารบกวนเสด็จพี่หรือไม่”

ฮ่องเต้ยิ้มสรวลและตรัสตอบ “ไม่หรอก เจ้านั่งไปเถอะ ข้าเคยบอกแล้วนี่ว่าเจ้าสามารถมาได้ทุกเมื่อที่เจ้าต้องการ ไม่รบกวนข้าหรอก”

องค์หญิงหนิงอันเริ่มรำลึกความหลัง “หม่อมฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเสด็จพี่ก็มักจะพูดแบบนี้ ตอนนั้นเสด็จพี่เป็นองค์รัชทายาท มีการบ้านต้องทำเยอะไปหมด ทุกครั้งที่หม่อมฉันมาหา ก็มักเห็นเสด็จพี่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือ”

ฮ่องเต้เริ่มแสดงอาการอ่อนไหว “ข้าไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ ถ้าข้าไม่พยายามทำให้เสด็จพ่อประทับใจ ข้ากลัวว่าเสด็จพ่อจะลืมว่ามีข้าคนนี้อยู่ด้วย”

“แต่สุดท้าย เสด็จพี่ก็ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้นี่นา” องค์หญิงหันไปหาผู้เป็นพี่พร้อมกับแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือ

“ต้องยกความดีความชอบให้เสด็จแม่น่ะ” เมื่อเอ่ยถึงจวงไทเฮา อารมณ์ของเขาพลันอ่อนไหวขึ้นกว่าเดิม “เจ้าคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าและเสด็จแม่ในช่วงหลายปีที่เจ้าไม่อยู่”

แม้ว่าฮ่องเต้จะเกลียดจิ้งไท่เฟยมากเพียงใด แต่เขาก็ยังรู้สึกเสียใจต่อหนิงอัน เขาไม่ได้บอกหนิงอันเกี่ยวกับคดีทั้งหมดที่จิ้งไท่เฟยยุยงเขาและไทเฮาให้แตกคอกัน แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้ ท้ายที่สุดฮ่องเต้ก็ยอมเล่าให้ฟัง

“…ข้า ถูกวางยา ทำให้ข้ากับเสด็จแม่ต้องห่างเหินกัน ซ้ำยังทำเรื่องไม่ดีต่อเสด็จแม่ พอมาคิดดูแล้ว เสด็จแม่ทำอะไรเพื่อข้าตั้งมากมาย แต่ข้ากลับกระทำเช่นนั้นกับเสด็จแม่ นางคงรู้สึก…ชอกช้ำและผิดหวังเป็นอย่างมาก”

องค์หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา “ในเมื่อเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมดได้คลี่คลายลงแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่เสด็จพี่ต้องทนทุกข์กับเหตุการณ์ในอดีต”

“ข้าเอาแต่โทษเสด็จแม่ที่เอาแต่คุมราชสำนัก แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ป่านนี้แผ่นดินนี้คงได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของจิ้งไท่เฟยและพวกอดีตราชวงศ์แล้ว”

องค์หญิงเบือนหน้าลง

“หนิงอัน สตรีนางนั้นไม่สมควรจะได้เป็นมารดาของเจ้า ภายในใจของเจ้ามีเพียงแค่เสด็จแม่เท่านั้น เสด็จแม่ต่างหากคือคนที่ห่วงใยเจ้าจริงๆ” ฮ่องเต้ตักเตือนนาง

“หม่อมฉันทราบดี หม่อมฉันเชื่อฟังแต่เสด็จแม่และเสด็จพี่เท่านั้น” องค์หญิงหัวเราะ

ฮ่องเต้เองก็พลอยสรวลตาม

“จริงสิ เสด็จพี่ เมื่อครู่นี้หม่อมฉันเจอกับใต้เท้าเซียวที่ตำหนักของเสด็จแม่ด้วยล่ะ” พอองค์หญิงนึกขึ้นได้จึงรีบบอกผู้เป็นพี่

“ลิ่วหลังรึ” ฮ่องเต้นึกอยู่พักหนึ่ง

คนที่เข้าออกตำหนักไทเฮาบ่อยๆ นั้นเพียงไม่กี่คน

องค์หญิงพยักหน้า “ใช่เพคะ เสด็จแม่ทรงเรียกชื่อเขาว่าลิ่วหลัง ดูเหมือนใต้เท้าเซียวมาที่นี่ด้วยเรื่องคดีนั้นเช่นกัน รายละเอียดเป็นอย่างไรหม่อมฉันได้ยินไม่ชัดนัก”

ดูเหมือนฮ่องเต้จะนึกอะไรขึ้นได้จึงร้องอ๋อออกมา “จริงด้วย เมื่อครู่นี้ลิ่วหลังเองก็มาที่ห้องทรงงานของข้าเพื่อแจ้งข่าวว่าผู้ต้องสงสัยของหอเซียนเล่อฟื้นแล้ว”

“ฟื้นแล้วจริงหรือเพคะ” องค์หญิงเอ่ยถาม

“หืม” ฮ่องเต้มองผู้เป็นน้องด้วยสายตาประหลาดใจ

“เรื่องนี้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของราชวงศ์ หม่อมฉันเลยสนใจเป็นพิเศษ เสด็จพี่คงไม่ได้มองว่าหม่อมฉันเข้ายุ่งโดยพละการใช่หรือไม่”

ฮ่องเต้หัวเราะ “ข้าจะไปคิดเช่นนั้นได้เยี่ยงไร”

“แล้วไปเพคะ” องค์หญิงคลี่ยิ้มอย่างโล่งอก “ตอนที่หม่อมฉันอ่านจดหมายนั่น จำได้ว่านางถูกยาพิษที่ชื่อว่าเมาเจ็ดวัน ยานั่นออกฤทธิ์ทำให้มีอาการมึนเมาเจ็ดวันเจ็ดคืน”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็ยิ้มอ่อน “มีหมอเทวดาอยู่ด้วยทั้งคนคงไม่มีอะไรยากเกินไป”

องค์หญิงหนิงอันจ้องไปที่เอกสารบนโต๊ะ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แล้วนางสารภาพแล้วหรือยังเพคะ”

“ยังอยู่ในขั้นตอนสอบสวน” ฮ่องเต้ตรัส

จากนั้นองค์หญิงก็ออกความคิดพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแตะที่จมูกเบาๆ “เสด็จพี่จะส่งคนไปสอดแนมไหมเพคะ”

ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ก็ดีเหมือนกัน”

และส่งเหอกงกงไปทำหน้าที่

เหอกงกงแทบไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าจิ้งไท่เฟยเลยสักครั้ง แต่กับองค์หญิงหนิงอัน ฮ่องเต้เลือกที่จะไม่มีความลับต่อนาง

ไม่นาน เหอกงกงก็กลับมา องค์หญิงหนิงอันยังคงนั่งอยู่ในห้องทรงงานตามเดิม

เขารายงาน “ทูลฝ่าบาท ผู้ต้องสงสัยนามฮวาซีเหยาฟื้นแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เจ้ากรมสิงกำลังสอบสวนนางเป็นการส่วนตัว แต่นางเอาแต่ปฏิเสธ ซ้ำยังไม่กินไม่ดื่มราวกับเตรียมจะอดอาหารฆ่าตัวตาย”

“หอเซียนเล่อรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง”

องค์หญิงหนิงอันเป็นฝ่ายถาม

ดูเหมือนนางจะสนใจคดีนี้เป็นพิเศษ

แต่เมื่อพิจารณาว่านางเป็นพระขนิษฐาของจักรพรรดิและเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ ก็ไม่แปลกที่นางจะแสดงความสนใจและกังวลออกมา

ถ้าองค์หญิงซิ่นหยางอยู่ที่นี่ด้วย เกรงว่าจะให้ความสนใจกับความคืบหน้าของคดีมากกว่าองค์หญิงหนิงอันเสียอีก

เหอกงกงคิดเช่นนั้น จึงตอบคำถามขององค์หญิงอย่างสุภาพ “รู้แล้วขอรับ ข่าวคดีหอเซียนเล่อถูกแพร่ไปทั่วทั้งเมือง จึงเป็นเรื่องยากที่จะซ่อนทุกความเคลื่อนไหวของกรมยุติธรรม ทางหอเซียนเล่อเองก็เช่นกัน มีบ่าวของหอเซียนเล่อนำของว่างมาเยี่ยมผู้ต้องสงสัยที่กรมฯ ด้วยขอรับ”

“บ่าวคนนั้นมีนามว่าอันใด” องค์หญิงเอ่ยถาม

เหอกงกงเหลือบมององค์หญิงหนิงอันอย่างสงสัย พอเห็นว่าพระพักตร์ของฮ่องเต้ไม่มีอะไรผิดปกติ เหอกงกงเลยจำต้องให้เกียรติองค์หญิงด้วยการให้คำตอบ

“คับคล้ายว่านามว่าหลิงเอ๋อร์นะขอรับ”

หลิงเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของฮวาซีเหยา

“พวกเขาสองคนคุยอะไรกัน” องค์หญิงเอ่ยถามอีกครั้ง

“เรื่องนี้กระหม่อมไม่แน่ใจขอรับ บ่าวผู้นั้นขออนุญาตพูดคุยกับฮวาซีเหยาเป็นการส่วนตัว และเจ้ากรมก็ได้ให้อนุญาตพ่ะย่ะค่ะ”

ที่ท้ายเรือนจำของกรมยุติธรรมเป็นที่ตั้งของห้องขังแยก ซึ่งลักษณะของมันไม่เหมือนห้องขังทั่วไป เป็นเหมือนห้องลับแยกต่างหาก ไม่เพียงแต่มีประตูเหล็กเสริมเท่านั้น แต่ยังมีทหารฝีมือดีสองนายคอยคุ้มกัน

โถงทางเดินไปยังห้องขังพิเศษมีเตาอั้งโล่แขวนไว้บนผนังทั้งสองด้าน ไฟที่ลุกโชนส่องบนใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของทหาร ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมทั้งดูขลังและดูเย็นชาในคราวเดียวกัน

ห้องขังถูกลงกลอนไว้ แม้มองจากภายนอกดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ภายในห้องขังกลับเต็มไปด้วยเสียงอาละวาดของผู้ต้องขัง

ฮวาซีเหยาถูกมัดมือเท้าบนเก้าอี้

ที่เซียวเหิงพูดนั้นเป็นความจริง

ฮวาซีเหยาฟื้นแล้ว และสาวใช้คนสนิทของนางก็มาเยี่ยมนางแล้วจริงๆ

หลิงเอ๋อร์นำ ‘ข้าวแดงมื้อสุดท้าย’ มาส่งให้ฮวาซีเหยา

“พวกเจ้าคิดหรือว่าจะใส่ร้ายนายน้อยของข้าได้สำเร็จด้วยการวางยาในกล่องข้าวและจ้างคนใช้ของข้ามาส่งให้ แล้วคิดหรือว่าคนอย่างข้าจะคลางแคลงใจนายน้อย อ่อนหัดชะมัด!”

เซียวเหิงแย้ง “ถึงเจ้าไม่สงสัยนายของเจ้า แต่ข้าละสงสัยเหลือเกินว่านายของเจ้าจะเชื่อมั่นในตัวเจ้าเหมือนกันหรือไม่”

ฮวาซีเหาหัวเราะจนตัวสั่นเล็กน้อย พลางตอบ “ใต้เท้าเซียว จองหงวนเซียว ข้าไม่รู้ว่าต้องเรียกท่านว่าอะไร ท่านคิดจริงๆ หรือว่านายข้าจะยอมเชื่อแผนของท่านน่ะ ท่านประเมินนายของข้าต่ำเกินไปเสียแล้ว! ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเขียนจดหมายสารภาพพร้อมระบุตัวตนของไป่คุน นายของข้าก็รู้แล้วว่าท่านกำลังวางแผนให้นายของข้าตกหลุมพราง! นั่นก็เพราะในหมู่พวกเราไม่มีใครมีนามว่าไป่คุนเลยสักคน! ท่านหลอกผู้คนในเมืองหลวงได้ก็จริง แต่ตราบใดที่ข้าไม่เปิดเผยตัวตนของเจ้านาย ไม่มีทางที่ท่านจะจับนายของข้ามารับโทษได้!”

“แม้ไป่คุนจะเป็นชื่อปลอม แต่เจ้า ฮวาซีเหยา มีตัวตนอยู่จริง” สีหน้าของเซียวเหิงยังคงราบเรียบเช่นเคย

ฮวาซีเหยาหุบยิ้มลง พร้อมกับเอ่ยเสียงแข็ง “แล้วอย่างไรเล่า อย่างไรข้าก็จะไม่สารภาพ! และจะไม่เปิดโปงเจ้านายของข้าด้วย!”

เซียวเหิงถามกลับ “มันสำคัญด้วยหรือว่าเจ้าจะสารภาพหรือไม่ ในเมื่อมีไป่คุนคนที่หนึ่งแล้ว ทำไมจะมีคนที่สองอีกไม่ได้ล่ะ”

ฮวาซีเหยาย่นคิ้วลง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

พอเซียวเหิงพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อออก จากนั้นคลายกลอนประตูลงจนประตูหินบานใหญ่ค่อยๆ ถูกเปิดออก

ในมือของเขาถือจดหมายอยู่หนึ่งฉบับ “ไปตามคนมาเดี๋ยวนี้ นี่เป็นจดหมายสารภาพของฮวาซีเหยา”

ฮวาซีเหยาออกอาการหน้าเสีย “เจ้า!”

เซียวเหิงเอ่ยเสียงเบา “เป็นลายมือของเจ้าตัว”

ฮวาซีเหยาโกรธจนตัวสั่น “เล่นสกปรกอีกแล้วนะเจ้า! เอาแต่ใช้อุบายเดิมๆ ไม่มีความคิดใหม่แล้วหรือใต้เท้าเซียว”

“จะอุบายเก่าหรือใหม่ข้าไม่สน ขอแค่ใช้ได้ก็พอ” เซียวเหิงยื่นจดหมายให้นายทหารที่เฝ้าคุ้มกัน “ส่งจดหมายนี้ไปยังวังหลวง แจ้งว่าฮวาซีเหยายอมสารภาพแล้ว”

“เลวระยำ! แน่จริงก็ฆ่าข้าสิ! หากข้ารอดไปจนถึงตอนที่ฝ่าบาทไต่สวนข้า ข้าจะบอกว่าเจ้าเป็นคนเขียนคำสารภาพทั้งหมดเองนะ!” ฮวาซีเหยาก่นด่า

“พนันกันไหมล่ะ ว่าเจ้าอาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันนั้น…” เซียวเหิงเลิกคิ้วพร้อมกับมองไปที่นางด้วยสายตาเย็นชา “แน่นอนว่าคนที่ปลิดชีวิตเจ้าไม่ใช่ข้า”

ทหารที่เฝ้ายามเป็นคนสนิทของเจ้ากรมสิง และเขามุ่งหน้าไปที่วังทันทีหลังจากได้รับคำแนะนำจากเซียวเหิง

แม้เขาจะไม่มีตราสำหรับเข้าวัง แต่หลังจากที่ฮ่องเต้ทราบข่าว ก็อนุญาตให้เขาเข้าไป

ทหารจากกรมยุติธรรมประสานมือให้กับทหารคุ้มกันประตูวังพร้อมเอ่ย “รบกวนท่านทั้งสองคนทูลฝ่าบาท ข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวว่าผู้ต้องขังในคดีหอเซียนเล่อได้สารภาพแล้ว”

คดีนี้เป็นเรื่องใหญ่ เซียวเหิงและเจ้ากรมสิงเข้ามาในวังหลายครั้ง แม้แต่คนโง่ยังดูออกว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก

ทหารคุ้มกันหน้าวังพอได้รับเรื่องแล้วก็ไม่รอช้า รีบวานคนให้ไปแจ้งข่าวถึงในห้องทรงงาน

ขันทีประจำห้องทรงงานพอได้ทราบข่าวก็รีบไปแจ้งเว่ยกงกงในทันที

เว่ยกงกงค่อยๆ เดินโค้งตัวเข้าไปในห้องทรงงาน “ทูลฝ่าบาท ผู้ต้องหาคดีหอเซียนเล่อได้ทำการสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นจริงรึ”

“เป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ คนของกรมยุติธรรมนำจดหมายสารภาพมาส่งถึงที่ ตอนนี้เขารออยู่หน้าประตูวัง ซ้ำยังกล่าวว่าเป็นลายมือของตัวนักโทษฮวาซีเหยาเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงเอ่ยถาม “ไม่ใช่การปลอมลายมือแน่นะ”

เว่ยกงกงเอ่ยตอบ “ไม่ใช่การปลอมลายมือแน่พ่ะย่ะค่ะ! คราวก่อนที่หอเซียนเล่อมีคดีนางโลมแกล้งตาย ฮวาซีเหยาเคยลงบันทึกประจำวันไว้ ซึ่งนำมาเทียบลายมือกันได้พ่ะย่ะค่ะ!”

องค์หญิงกำผ้าเช็ดหน้าจนแน่น

“มั่วยืนนิ่งอยู่ไย! รีบไปตามเขามาสิ!” ฮ่องเต้สั่งด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

“กระหม่อมไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงเองก็ตื่นเต้นไปด้วย

แววตาองค์หญิงเริ่มสั่นเล็กน้อย ก่อนจะวางแก้วน้ำชาลงแล้วเอ่ยกับคนเป็นพี่ “ในเมื่อเสด็จพี่มีธุระสำคัญต้องสะสาง หม่อมฉันคงต้องขอตัวก่อน”

ฮ่องเต้ตบที่มือของนางเบาๆ พลางเอ่ยด้วยความเอ็นดู “เจ้าอย่าเพิ่งรีบกลับสิ รอฟังด้วยกันก่อน”

“คือว่า…ไม่ดีกระมังเพคะ”

“ไม่ดีอะไรกัน เจ้าเป็นพระขนิษฐาของข้า องค์หญิงแห่งแคว้นเจา ในเมื่อคดีนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์หญิงของแคว้นเจา เจ้าย่อมได้สิทธิ์ในการฟัง ถ้าซิ่นหยางอยู่ที่นี่ด้วยนะ ต่อให้ข้าไล่นางออกไปนางคงไม่ยอมแน่ๆ ”

ซิ่นหยางคือคนที่มีความทะเยอทะยานอย่างชัดเจน หากมีงานใดที่นางต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย นางก็จะยินดีทำ แต่โชคดีที่เป้าหมายของนางไม่ได้อยู่ที่นี่ หลังจากนางเคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานราชการอยู่สองสามครั้ง นางก็พบว่ามันน่าเบื่อ จึงกลับไปเลี้ยงพระโอรสเหมือนเดิม

ระยะทางจากประตูวังมาจนถึงห้องทรงงานค่อนข้างไกลพอสมควร และเว่ยกงกงก็ไม่ใช่คนที่เคลื่อนตัวได้ไวนัก หากใช้โอกาสนี้รีบไป ‘ขโมย’ จดหมายสารภาพจากเว่ยกงกงอาจมีความเป็นไปได้

องค์หญิงหนิงอันเช็ดเหงื่อบางๆ ที่ไหลรินจากหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้า มองดูท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ แล้วเอ่ย “ดึกป่านนี้แล้วหรือ เสียนเอ๋อร์ต้องตามหาหม่อมฉันอยู่แน่ๆ ”

“เขาไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ กลางคืนยังร้องหาแม่อยู่อีกรึ” ฮ่องเต้ไม่ค่อยชอบพอเจ้าองค์ชายทายาทพวกอดีตราชวงศ์เท่าใดนัก แต่เห็นแก่หนิงอัน เขาจึงไม่กล้าแสดงอาการรังเกียจบุตรชายของนางออกมาอย่างโจ่งแจ้ง “เดี๋ยวข้าไปหาเสียนเอ๋อร์กับเจ้าด้วย นั่งเกี้ยวของข้าไป ทั้งเร็วทั้งอุ่นกว่า!”

อากาศหนาวเช่นนี้ เขาจะปล่อยให้หนิงอันเดินออกไปเพียงผู้เดียวได้อย่างไร

จากนั้นองค์หญิงหนิงอันก็เริ่มคว้าแก้วน้ำด้วยมือซ้ายทีขวาที และยกดื่มจนหมดแก้ว

“นี่เจ้ากระหายน้ำขนาดนี้เชียวรึ”

“นิดหน่อยเพคะ”

หลังจากดื่มน้ำไปสามแก้ว องค์หญิงหนิงอันจึงพูดขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตัวไปห้อง…”

ยังไม่ทันเอ่ยคำว่าห้องน้ำจำ เว่ยกงกงก็พาคนเดินเข้ามาหน้าระรื่น “ฝ่าบาท! มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

“เข้ามาสิ!” ฮ่องเต้เอ่ย

เว่ยกงกงพาทหารจากกรมยุติธรรมเข้าไปข้างใน

จากนั้นเขายื่นจดหมายสารภาพด้วยมือทั้งสองข้าง

โดยมีเว่ยกงกงรอรับ

“มา ข้าเอง” จู่ๆ องค์หญิงหนิงอันลุกขึ้นพรวด เดินอ้อมโต๊ะเพื่อเข้าไปรับจดหมายจากมือของนายทหารผู้นั้น

ช่วงนี้ที่เมืองหลวงอากาศยังหนาวเหน็บ ในห้องทรงงานจึงมีตะเกียงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นภายในห้องอยู่สองตัว หนึ่งในนั้นถูกตั้งไว้ตรงด้านข้างไม่ใกล้ไม่ไกลจากตำแหน่งที่ฮ่องเต้ประทับ

หลังจากที่องค์หญิงรับจดหมายมา ขณะที่กำลังเดินไปหาฮ่องเต้ ทันใดนั้น องค์หญิงเกิดสะดุดฝ่าเท้าตัวเอง ก่อนจะเปล่งเสียงกรีดร้องแล้วไถลตัวลงไปเบื้องหน้า!

จดหมายสารภาพบินหลุดมือออกไปและตกลงไปในเตาอั้งโล่พอดิบพอดี!

ระหว่างจดหมายสารภาพกับผู้เป็นน้อง แน่นอนว่าฮ่องเต้ทรงเลือกความปลอดภัยของหนิงอันก่อน มีหรือจะทรงยอมให้หนิงอันได้รับบาดเจ็บ

ฮ่องเต้ผุดลุกขึ้นและยื่นมือขวาคว้าหนิงอันไว้

หนิงอันถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก นางเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่ อ้าปากค้างเล็กน้อย และพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “เสด็จพี่ หม่อมฉันขออภัยที่เผลอทำลายจดหมายสารภาพ”

“เจ้าดูสิ!” ฮ่องเต้ยักคิ้วให้น้องสาวตัวเอง

วินาทีที่องค์หญิงหันไปมองตาม จู่ๆ ราวกับมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นบนหัวของนาง!

นางมองตาค้างที่มือซ้ายของเสด็จพี่ที่คว้าจดหมายสารภาพไว้ได้อย่างแม่นยำ!

ฮ่องเต้ ‘โชคดีที่เขาฝึกเล่นไพ่นกกระจอกกับเสด็จแม่อยู่บ่อยๆ!’