บทที่ 561 ฮ่องเต้รู้ความจริง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 561 ฮ่องเต้รู้ความจริง

“หนิงอัน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ไยเจ้าถึงได้หน้าซีดเช่นนี้ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ฮ่องเต้ตรัสถามผู้เป็นน้องที่ดูเหมือนกำลังอยู่ในอาการขวัญผวาเล็กน้อย

“หม่อมฉันไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่ตกใจเล็กน้อย โชคดีที่เสด็จพี่ช่วยข้าได้ทัน ไม่อย่างนั้นข้าคงเจ็บตัวไปแล้ว”

ฮ่องเต้เหลือไปมองเก้าอี้ข้างหลังเขา แล้วตรัสอย่างหวาดกลัว “ใช่ ไม่อย่างนั้นหัวของเจ้าคงจะพุ่งชนกับเก้าอี้แล้ว ข้าละไม่อยากนึกภาพตามเลย”

องค์หญิงหนิงอันขานตอบตามน้ำอย่างไม่เต็มใจ

จากนั้นฮ่องเต้ค่อยๆ พยุงร่างของนางนั่งงบนเก้าอี้

ตอนนี้จดหมายสารภาพอยู่ในพระหัตถ์ของฝ่าบาทเป็นที่เรียบร้อย จะไม่มีเหตุการณ์เช่นเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นซ้ำสอง

ฮ่องเต้ทรงประทับกลับที่เดิม ก่อนจะสบสายตากับเว่ยกงกงหนึ่งที

เว่ยกงกงผู้รับใช้จักรพรรดิมาหลายปี ถ้าเขาไม่เข้าใจสัญญะนี้ของฝ่าบาทก็คงอยู่มาหลายปีโดยเปล่าประโยชน์

เขารีบเรียกขันทีหนุ่มสองคนเพื่อย้ายเตาอั้งโล่ออกไปเพื่อให้แน่ใจจดหมายสารภาพผิดฉบับนี้จะไม่ลงไปอยู่ในเตาอั้งโล่

ฮ่องเต้แทบรอไม่ไหวที่จะเปิดอ่าน โดยจดหมายมีทั้งหมดสิบหน้า มากกว่าคำสารภาพของไป่คุนถึงเก้าหน้า โดยใจความมีการบันทึกรายละเอียดภูมิหลังของฮวาซีเหยา รวมถึงวิธีการที่นางได้มาทำงานในหอเซียนเล่อ

ฮวาซีเหยาเป็นบุตรสาวของขุนนาง ปู่ของนางเป็นนายอำเภอประจำเมืองหนานเฉิง แต่ปู่ของนางถูกจับในข้อหาทุจริตและต้องจำคุก ส่วนสมาชิกในครอบครัวที่เหลือของถูกตัดสินให้ถูกเนรเทศ

ตอนเกิดเรื่อง ฮวาซีเหยาอายุเพียงสองขวบ ยังไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางทั้งกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ และเห็นสมาชิกในครอบครัวมักถูกทุบตีอย่างรุนแรงเป็นครั้งคราว

กว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในครอบครัว ก็เป็นตอนที่นางมีอายุครบเจ็ดปี ฮวาซีเหยาเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ฉลาดและรูปงาม และถูกพบโดยแม่เล้าในหอนางโลม จากนั้นแม่เล้าคนนั้นก็ตัดสินใจซื้อตัวนางมาเพื่อชุบเลี้ยงและหวังว่าในอนาคตนางจะคืนกำไรให้ในฐานะนางโลม

ทว่าชีวิตของนางไม่ราบรื่นเสียทีเดียว นางมักถูกเด็กโตรังแก ในที่สุด นางจึงตัดสินใจหนีออกมาจากหอนางโลมในคืนที่หนาวจัด

แต่เด็กเจ็ดขวบจะหนีไปได้ไกลเท่าไหร่กันเชียว

คืนวันนั้น นางเป็นลมหมดสติอยู่ในตรอกที่สกปรกแห่งหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนรถม้าคันหนึ่ง

รถม้าคันนั้นถูกตกแต่งอย่างดี ทั้งกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน ซ้ำยังมีกลิ่นหอมอวลชวนดมต่างจากกลิ่นแป้งร่ำในหอนางโลม

ในรถม้าคันนี้ คือสถานที่ที่ทำให้ฮวาซีเหยาได้พบกับหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง

เดิมชื่อของนางไม่ใช่ฮวาซีเหยา ชื่อของนางถูกเปลี่ยนตั้งแต่ที่แม่เล้าซื้อตัวนางไป ในหอนางโลมทุกคนเรียกนางว่าหลานเอ๋อร์ ซึ่งนางไม่ชอบเอาเสียเลย

สตรีที่อยู่ตรงหน้านางในรถม้า คือคนที่ตั้งชื่อใหม่ให้นาง

สตรีผู้นั้นมองออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยกับนาง “ต่อจากนี้ ชื่อของเจ้าคือฮวาซีเหยา”

เด็กน้อยผู้ใสซื่อได้แต่ผงกหัว

พอฮ่องเต้อ่านถึงตรงนี้ก็เริ่มมีอาการซึ้งใจเล็กน้อย

ใยถึงเขียนจดหมายสารภาพออกมาได้กินใจเช่นนี้

ฮวาซีเหยามาจากตระกูลขุนนางใช่หรือไม่

เป็นเช่นนั้น

แล้วนางถูกหอนางโลมซื้อตัวไปจริงหรือ

คงไม่ใช่

เกี่ยวกับภูมิหลังของฮวาซีเหยา ม่อเชียนเสวี่ยเล่าเพียงว่า ‘ดูเหมือนว่าปู่ของนางเคยเป็นเจ้าหน้าที่ที่ไหนสักแห่ง ต่อมาได้ก่ออาชญากรรมและบ้านของพวกเขาก็ถูกยึด’

ที่เหลือเป็นเพียงเรื่องที่จี้จิ่วอาวุโสแต่งขึ้น

เขาเองก็ดูจะไม่กลัวว่าฮ่องเต้อาจส่งคนไปสืบเรื่องนี้ แต่ก็อย่างว่า ขุนนางที่ถูกยึดบ้านยึดเรือนมีอยู่ถมเถไป!

ฮวาซีเหยาย้ายมาอยู่ที่หอเซียนเล่อก่อนม่อเชียนเสวี่ยสองปี แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็น

ประเด็นอยู่ที่สตรีที่รับเลี้ยงฮวาซีเหยาไว้ต่างหาก

สตรีผู้นั้นฝึกให้ฮวาซีเหยากลายเป็นเด็กผู้หญิงที่มีทั้งความงาม พรสวรรค์ และศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ทั้งยังส่งไปที่หอเซียนเล่อในเมืองหลวง จนนางกลายมาเป็นคนสนิทคนที่สองของสตรีผู้นั้น

คนสนิทคนแรกคือม่อเชียนเสวี่ย

แม้ม่อเชียนเสวี่ยจะเข้ามาช้ากว่า และได้รับการปลูกฝังเลี้ยงดูอย่างลับๆ โดยสตรีผู้นั้น แต่กลายเป็นว่าพวกเขาเจอกันครั้งแรกตอนอยู่ที่หอเซียนเล่อ

การวิเคราะห์ของฮวาซีเหยาในคำสารภาพ เหตุผลก็คือ สตรีผู้นั้นกังวลว่าหากให้พวกเขาอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก จะทำให้พวกเขาจะพัฒนาความรู้สึกซึ่งกันและกัน และพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้รู้สึกกับใครในเชิงพึ่งพาหรือผูกมิตรนอกจากกับเจ้านายของตัวเองเพียงผู้เดียว

ตรงส่วนนี้ เป็นการวิเคราะห์ของจี้จิ่ว

ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง

พอฮ่องเต้อ่านถึงตรงนี้ ความรังเกียจลึกๆ ก็เกิดขึ้นในใจของเขา

ต้องเป็นคนประเภทไหนกันถึงมีจิตใจอำมหิตโหดร้ายเช่นนี้

ฮ่องเต้เพียรอ่านจดหมายสารภาพอย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คำสารภาพนี้ ไม่เพียงแต่อธิบายประสบการณ์ส่วนตัวของฮวาซีเหยาเท่านั้น แต่ยังอธิบายถึงแผนการของหอเซียนเล่อที่เกิดขึ้นอย่างลับๆ ในเมืองหลวงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น หอเซียนเล่อเคยแอบอ้างชื่อของไทเฮาเพื่อยับยั้งผู้ที่มาสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขา

ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนักกว่าเดิม!

บังอาจเอาชื่อของเสด็จแม่ไปใช่รึ!

ดีมาก คนที่อยู่เบื้องหลังหอเซียนเล่อดูแล้วคงไม่ใช่เล่นๆ เลยสินะ!

ใจความส่วนหลังของจดหมายจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องที่เกิดขึ้นกับกู้เจียว ซึ่งคล้ายกันกับของไป่คุน โดยม่อเชียนเสวี่ยใช้อุบายแสร้งทำเป็นตายเพื่อเข้าหากู้เจียว โดยมีฮวาซีเหยาคอยเข้ามาที่โรงหมอและแจ้งข่าวหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้ม่อเชียนเสวี่ยลงมือกำจัดกู้เจียว

ครั้งสุดท้ายที่นางไปหาม่อเชียนเสวี่ย นางกลับถูกทำร้ายและถูกวางยา เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในคุกของกรมราชทัณฑ์เป็นที่เรียบร้อย

คำสารภาพยังระบุด้วยว่าเดิมที ฮวาซีเหยาไม่ได้ตั้งใจที่จะทรยศ แต่ในเมื่อเจ้านายได้ส่งคนมาวางยานาง ความไว้ใจทุกอย่างเป็นอันสูญเปล่า!

ในเมื่อเจ้านายเลือกที่จะทำเช่นนี้ ก็อย่าได้ถือโทษที่นางจะเอาคืนยิ่งกว่า!

“ที่จริงพวกท่านรู้จักเจ้านายข้าอยู่แล้ว นางเป็นองค์หญิง อีกทั้งยังเรียกจักรพรรดิว่าเสด็จพี่ด้วย นายของข้ามีนามว่า…”

นี่เป็นประโยคสุดท้ายในหน้าเก้า

พอเปิดดูหน้าที่สิบก็พบแค่ชื่อชื่อเดียวบนกระดาษโล่งๆ ทั้งแผ่น

เมื่อฮ่องเต้เห็นชื่อ เขาก็อ้าปากค้างทันที และหันไปมองหนิงอันที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาสยดสยอง——

ณ ตำหนักปี้สยา

หวงฝู่เสียนนั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง

เหลียนเอ๋อร์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกองเสื้อผ้าที่แห้งแล้ว พอวางบนเตียงเสร็จก็รีบเดินมาตรงด้านข้างหวงฝู่เสียน

ลมหนาวพัดโชยจนเหลียนเอ๋อร์ตัวสั่น!

เหลียนเอ๋อร์ถอนใจ “องค์ชาย เหตุใดถึงมานั่งตากลมแบบนี้ล่ะเพคะ เดี๋ยวบ่าวไปเอาเตาอั้งโล่มาให้องค์ชายผิงไฟนะเจ้าคะ บ่าวนึกว่าอากาศหนาวๆ มีแค่ที่ชายแดนเสียอีก ไม่เคยคิดเลยว่าเมืองหลวงจะหนาวเช่นกัน”

จากนั้นเหลียนเอ๋อร์ก็เข็นรถเข็นของหวงฝู่เสียนไปใกล้เตาอั้งโล่

ที่หวงฝู่เสียนไม่ปฏิเสธ นั่นก็เพราะเขาถูกลมพัดจนตัวแข็งเข้าแล้วจริงๆ จนขยับปากไม่ได้

จากนั้นเหลียนเอ๋อร์เดินไปปิดหน้าต่าง

หวงฝู่เสียนนั่งผิงไฟอุ่นๆ ขณะที่เหลียนเอ๋อร์ค่อยๆ พับผ้าที่ละชิ้นแล้วเก็บเข้าตู้

เหลียนเอ๋อร์มองไปที่เสื้อผ้าที่ถูกพับและจัดวางอย่างเป็นระเบียบในตู้ จากนั้นมองมาที่เสื้อผ้าที่ถูกพับอย่างไม่เป็นทรง ก่อนจะกระแอมหนึ่งทีแล้วเอ่ย “เดี๋ยวก็ต้องหยิบมาใส่อยู่ดี ทำไมถึงพับซะเรียบร้อยเชียวล่ะ”

แน่นอนว่าในวังมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ผู้ที่สามารถถูกมอบหมายให้มาทำงานในตำหนักปี้สยาจะต้องเป็นนางกำนัลที่มีฝีมือยอดเยี่ยม ขณะที่เหลียนเอ๋อร์เป็นบ่าวที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ซึ่งห่างจากมาตรฐานของนางกำนัลที่นี่อยู่หลายขุม

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนางเป็นบ่าวคนสนิทขององค์หญิง เหล่านางกำนัลจึงไม่กล้าพูดต่อหน้า ดังนั้นพวกเขามักจะเข้ามาพับเสื้อผ้าที่เหลียนเอ๋อร์พับไว้ให้ใหม่

“จริงๆ เลย” เป็นอีกครั้งที่เหลียนเอ๋อร์สูญเสียความมั่นใจ จากนั้นวางกองเสื้อผ้าที่ถูกพับอย่างขอไปทีไว้บนเสื้อที่ถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบ แล้วเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์

ไม่นานหลังจากที่เหลียนเอ๋อร์เดินออกไป อุณหภูมิในร่างกายของหวงฝู่เสียนเริ่มกลับมาเป็นปกติ เขาค่อยๆ ผลักรถเข็นไปที่หน้าต่างและใช้ไม้ค้ำยันหน้าต่าง

ตำแหน่งของหน้าต่างค่อนข้างสูง การกระทำนี้จึงเป็นเรื่องยากสำหรับคนไม่มีขาเช่นเขา

เขาเกือบจะตกจากรถเข็น

โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น

เขาเอาตัวไปปะทะกับลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาอีกครั้ง ทอดสายตาไปยังลานข้างนอกที่ว่างเปล่า จนมือเท้าของเขาถูกความเย็นกัดกินอีกครั้ง

สีท้องฟ้าเริ่มมืดลง

เขาหลุบตาลงและเม้มริมฝีปากอย่างเย้ยหยัน

“ท่านพี่!”

เสียงของเจ้าเห็ดน้อยดังขึ้น!

ขนตาของหวงฝู่เสียนเริ่มมีน้ำแข็งเกาะ ร่างกายของเขาแข็งทื่อมากขึ้น แต่การแสดงออกของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย

จิ้งคงยังตัวเล็กอยู่ ขอบหน้าต่างนั้นสูงเกินไปสำหรับเขา แม้ว่าเขาจะวางหินไว้บนหินต่อๆ กัน มันก็ยากที่จะปีนขึ้น แต่วันนี้ จิ้งคงกลับพบว่าก้อนหินนั้นมีลักษณะสูงขึ้น!

เขาปีนขึ้นไปบนก้อนหิน จากนั้นก็ม้วนตัวผ่านขอบหน้าต่างแล้วกลิ้งเข้าไปข้างในห้อง!

“ท่านพี่!”

จิ้งคงหันไปมองหวงฝู่เสียนด้วยแววตาไร้เดียงสา

เศษหิมะติดที่ข้อมือและกางเกงของเขา

“เจ้าหกล้มมารึ” หวงฝู่เสียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระด้าง

“อ้อ” จิ้งคงพยักหน้า “หกล้มแค่สองรอบเอง”

นี่เขาหมายความว่าอย่างไร หกล้มสองรอบสำหรับเขาคือน้อยอย่างนั้นรึ

จิ้งคงไม่ได้หกล้มมานานแล้ว ตอนที่เขาหกล้ม ด้วยสัญชาตญาณที่ยังมีอยู่ เขายื่นมือโอบป้องกันศีรษะน้อยๆ ไว้ได้ทันเวลาเลยไม่เจ็บมาก

หวงฝู่เสียนชำเลืองมองเขาอย่างเฉยเมย ยื่นมือออกไปอย่างเฉยเมย ประคองรถเข็นด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกข้างเอื้อมมือไปที่แท่งไม้ค้ำ

ตอนที่อยู่คนเดียวทำอะไรได้ตั้งหลายอย่างไม่เคยพลาด แต่วันนี้หวงฝู่เสียนกลับพลาดท่าตกจากรถเข็นต่อหน้าจิ้งคง

“ท่านพี่ไม่เป็นไรใช่ไหม” จิ้งคงย่อตัวลงพยายามจะประคองเขาขึ้นมา

“ออกไป!” หวงฝู่เสียนตะคอกเสียงใส่

“อื้อ…” จิ้งคงมองดูเขา คิดอย่างจริงจังเอ่ย “อย่าอายเลย ข้าล้มบ่อยเหมือนกัน”

ก็เจ้าเป็นเด็กนี่นา!

เด็กๆ ล้มบ่อยไม่แปลกหรอก! โตไปเดี๋ยวก็ไม่ล้มแล้ว!

แต่ข้าเป็นคนพิการนะ!

ล้มมันทั้งชีวิต! ไร้ประโยชน์ทั้งชีวิต!

หวงฝู่เสียนปฏิเสธความช่วยเหลือของจิ้งคง และแบกร่างของเขากลับไปที่รถเข็นด้วยมือที่มีเส้นเลือดปูด

เขารู้สึกเจ็บที่ขาอีกแล้ว

ตรงที่ถูกตัด

กระดูกของเขาจะโผล่ออกมาตรงรอยที่ถูกตัดเป็นระยะๆ และทุกครั้งที่เขาต้องทนความเจ็บปวดเพื่อเหลากระดูกของเขา

ทุกสัมผัสของการเหลากระดูกราวกับกำลังตกนรก

มีหลายครั้งที่เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

เขาไม่อยากทรมานเช่นนี้อีก หรือบางครั้ง ก็กลัวว่าตัวเองอาจจะไม่รอดกลับมาอีกเลย

แต่ก็น่าแปลกมิใช่หรือ

ในเมื่อเขาอยากลาโลกนี้แต่แรกอยู่แล้ว

มีอะไรต้องกลัวอีก

“ท่านพี่ เป็นอะไรไป รู้สึกเจ็บใช่ไหม” จิ้งคงมองไปคนตรงหน้าที่แสดงสีหน้าแปลกๆ จึงถามออกไปด้วยความกังวลที่ไม่อาจปิดบังได้

“ไม่” หวงฝู่เสียนตอบเบาๆ พลางคว้าผ้าห่มมาคลุมขาที่กำลังปวดของเขา

จิ้งคงไม่ได้ชอบจ้องมองความไม่สมบูรณ์ของคนอื่น อันที่จริง ไม่มีใครสอนเขาให้ทำแบบนั้น เขาแค่สังเกตตามที่เจียวเจียวสังเกต

“เอ๋ ใบหน้าของท่านพี่บวมฉึ่งเลย” สายตาของเจ้าตัวเล็กจับจ้องไปที่ใบหน้าของหวงฝู่เสียน

คราวก่อนหน้าของเขาก็ดูบวม แต่ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะโดนลมหนาวมากเกินไปในช่วงสองวันที่ผ่านมา จนบริเวณที่มีรอยถูกตบเริ่มช้ำหนักกว่าเดิม

“แปลกใจขนาดนั้นเชียวรึ” หวงฝู่เสียนมองเจ้าตัวเล็กอย่างใจเย็น

“อื้อ” จิ้งคงพยักหน้าหงึกๆ

หวงฝู่เสียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังหยอกล้อ “ฝีมือแม่ข้าเองน่ะ”

แขนเล็กๆ ทั้งสองของจิ้งคงเกี่ยวไขว้แล้วพาดไว้ข้างหลัง ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าสับสน “เหตุใดแม่ของท่านพี่ถึงทำเช่นนั้นล่ะ”

หวงฝู่เสียนแค่นเสียงหัวเราะ “เพราะข้าเป็นคนพิการที่ไร้ประโยชน์มั้ง”

จิ้งคงกำหมัดแน่นและพูดอย่างจริงจัง “ถึงอย่างนั้นก็ตีไม่ได้! พี่เขยตัวแสบก็ขาเป๋นะ ไม่เห็นเจียวเจียวจะตีเขาเลย!”

หวงฝู่เสียน “…”

“เหตุใดถึงเรียกว่าพี่เขยตัวแสบล่ะ” หวงฝู่เสียนสงสัย

“ก็เขาแสบยังไงล่ะ” จิ้งคงเบะปาก

“แสบมากแค่ไหน” แววตาหวงฝู่เสียนเริ่มเย็นชาขึ้น

“แสบมาก แสบมากๆ เลยล่ะ!”

หวงฝู่เสียนรู้ดีว่าเวลาผู้ใหญ่กระทำกับเด็กนั้นน่ากลัวแค่ไหน

“ให้ข้าสั่งสอนเขาไหม”

“ไม่ต้องหรอกน่า!” จิ้งคงเอ่ยพร้อมกับกระแอมหนึ่งที “ข้า ข้า ข้า ข้า…ข้าสั่งสอนเขาได้อยู่แล้ว!”

แก้มของเจ้าเห็ดน้อยแดงระเรื่อ ดวงตาของเขาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เกลียดพี่เขยคนนั้นจริงๆ

นั่นยิ่งทำให้หวงฝู่เสียนรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม

เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร

เสี่ยวจิ่วกระพือปีกบินไปที่หมอนของหวงฝู่เสียน หลังจากที่เจ้าเหยี่ยวมีประสบการณ์รื้อของหลายสิ่งหลายอย่าง คราวนี้เจ้าเสี่ยวจิ่วพบว่าหมอนของเขาคือของเล่นชิ้นโปรดมากที่สุด

“เสี่ยวจิ่ว พอได้แล้ว” จิ้งคงเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

แต่เสี่ยวจิ่วกลับดื้อไม่ฟัง ยังคงจิกรื้อหมอนของหวงฝู่เสียนจนฝ้ายหมอนทะลุออกกระจุยกระจาย

จิ้งคงถอนหายใจราวคนแก่ “โดนท่านพี่เหยี่ยนตามใจจนเสียนิสัยจนได้”

“ท่านพี่เหยี่ยนเป็นใครรึ” หวงฝู่เสียนเอ่ยถาม

“ก็พี่ชายที่เรือนไงล่ะ” จิ้งคงตอบ

“นี่เจ้ายังมีพี่ชายอีกรึ” หวงฝู่เสียนขมวดคิ้วคมพร้อมเอ่ยถาม

จิ้งคงตอบพร้อมกับชูสองนิ้ว “อื้อ มีพี่สองคน! ท่านพี่เหยี่ยนและท่านพี่เสี่ยวซุ่น”

“แล้วเจ้าชอบพวกเขาไหม” หวงฝู่เสียนเอ่ยถาม

“ชอบสิ!” จิ้งคงตอบโดยไม่ต้องคิด

หวงฝู่เสียนเบือนหน้าลง

“เจ้ามีพี่ชายเยอะแยะขนาดนั้น จะมาหาข้าอีกทำไม!”

“ก็จะพาออกไปเล่นไงล่ะ!”

“เหอะ!”

หวงฝู่เสียนเบือนหน้าหนี

จิ้งคงยื่นมือเล็กๆ ที่อ้วนท้วนออกมาและคว้านิ้วของเขาไว้ สัมผัสนุ่มๆ แบบนี้ช่างคล้ายกับอุ้งเท้าของลูกแมวไม่ปาน

“เดี๋ยวข้าพาไปที่เรือนของข้านะ!”

ทันทีที่จิ้งคงพูดจบ เสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนร้องอย่างตื่นตระหนกของขันทีนายหนึ่งดังขึ้นจากนอกประตู “แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! เกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิงหนิงอัน!”