บทที่ 751 แม่ทัพเป่ยเข้าเมืองหลวง

ฮั่วจีว์เมามากจนถังหลี่ต้องขอให้คนส่งเขากลับบ้าน

ไม่นานหลังจากที่ฮั่วจีว์กลับไป เว่ยฉิงก็กลับถึงบ้านพอดี

ถังหลี่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ในขณะที่กำลังจะหันไปมองก็โดนใครบางคนสวมกอดเข้าเสียก่อน

เว่ยฉิงสวมกอดภรรยาแน่น เขาวางคางไว้ที่ศีรษะของนางราวกับสุนัขตัวใหญ่

ในฐานะผู้สำเร็จราชการเขามีงานที่ต้องทำมาก จนบางครั้งถึงกับปวดหัวและอดบ่นออกมาไม่ได้ แต่เมื่อกลับถึงบ้านได้กอดภรรยา ความเหนื่อยล้าที่มีก็ค่อยบรรเทาลง หัวของเขาโล่งมากขึ้น เขาได้แต่กอดนางไว้สักพักก่อนจะปล่อยไป

“ฮูหยิน แม่ทัพเป่ยกำลังจะเข้ามาเมืองหลวงแล้ว”

แม่ทัพเป่ยเป็นบิดาบุญธรรมของเป่ยเหยียนและเป็นสหายของเซียวซานหลาง ในตอนที่กองทัพสกุลเซียวถูกกวาดล้าง มีเพียงเซียวซานหลางและแม่ทัพเป่ยเท่านั้นที่รอดชีวิต

ตั้งแต่ที่พวกเขารู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ต่างก็เฝ้ารอเวลาที่จะได้พบปะร่ำสุรากัน

ก่อนหน้านี้สกุลเซียวยังคงมีมลทินอยู่ พวกเขาจึงไม่สามารถพบเจอกันได้ แต่ตอนนี้เมื่อได้ขจัดมลทินเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป ทั้งคู่ออกจากที่มืดมาสู่ที่สว่างภายใต้ดวงอาทิตย์เดียวกันได้อย่างเปิดเผย

เมื่อเซียวซานหลางมาถึงเมืองหลวง เขาได้เขียนจดหมายไปหาแม่ทัพเป่ย ไม่นานนักก็ได้รับจดหมายตอบกลับมาจากแม่ทัพเป่ยว่า กำลังเดินทางมาเมืองหลวงคาดว่าคงจะมาถึงในไม่ช้า

“ช่วงนี้ลุงสามไปเยือนที่เก่าๆ ในความทรงจำมาหมดแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังมีท่านอาจารย์จ้านคอยคุยด้วย แต่ตอนนี้อาจารย์จ้านไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮาเสียส่วนใหญ่ ท่านลุงสามเลยเหงาไปไม่ใช่น้อย ท่านลุงเฮยก็เอาแต่ไปตกปลาไม่วิสาสะกับใคร หากแม่ทัพเป่ยมาเมืองหลวงลุงสามจะได้คลายเหงาลงไปบ้าง” ถังหลี่เอ่ยกับสามี

เว่ยฉิงพยักหน้า ท่านลุงของเขาไม่ต้องการตำแหน่งทางราชการ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักอีกแล้ว คิดแต่จะใช้ชีวิตอิสระ ส่วนแม่ทัพเป่ยไม่ได้แต่งงาน อีกทั้งสหายเก่าและบุตรบุญธรรมยังอยู่ในเมืองหลวง การมาเยือนในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการพบปะที่ดี

วันถัดมาแม่ทัพเป่ยก็มาถึง

หลังจากที่ได้ยินว่าแม่ทัพเป่ยมาถึงแล้ว เซียวซานหลางที่กำลังถือเบ็ดเตรียมจะออกไปตกปลาก็โยนเบ็ดในมือทิ้งแล้วเดินไปที่ประตูจวนอย่างรวดเร็ว

เมื่อเซียวซานหลางไปถึงก็เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผมสีขาวโพลนไปครึ่งหัว ใบหน้ามีริ้วรอยเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ท่าทางใจดี เขาหันมามองเซียวซานหลาง ดวงตาของพวกเขาสบกัน วันเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานกว่ายี่สิบปีช่างรวดเร็วนัก ยี่สิบปีที่แล้วพวกเขาเป็นทหารของสกุลเซียว ท่านแม่ทัพเซียวมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเป่ยหยิน และเป่ยหยินเองก็เห็นเซียวซานหลางเป็นประหนึ่งน้องชายของตนเอง

“ซานหลาง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก่อนหน้านี้สุขภาพย่ำแย่ โชคดีที่หลานชายของข้าและภรรยาพาหมอเทวดามารักษาจนหาย ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีชีวิตอยู่จนได้มาเจอเจ้าอีกครั้งหรอก” เซียวซานหลางถอนหายใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเว่ยฉิงและถังหลี่ เขาคงจะตายไปแล้ว คงไม่มีโอกาสได้เห็นวันที่สกุลเซียวได้ล้างมลทินและได้เจอสหายเก่าเช่นนี้ ญาติสนิทของเขาเสียชีวิตไปหมดเมื่อหลายปีก่อน ตัวของเขาก็ต้องหลบซ่อนราวกับหนูอย่างน่าสังเวช โชคดีที่สวรรค์ยังไม่ใจร้ายจนเกินไปนัก ทำให้ถังหลี่กับเว่ยฉิงหยิบยื่นโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ

เซียวซานหลางมองเป่ยหยิน เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันเก่าๆ ในค่ายทหาร ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เป่ยหยินตบไปที่แขนของสหาย เขามีความสุขมาก นับเป็นโชคที่พวกเขาทั้งสองคนได้พบเจอกันอีกครั้ง จากนั้นคนทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในจวนสกุลอู่

“ซานหลางข้าไม่เคยทรยศกองทัพสกุลเซียวเลย เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่..” เป่ยหยินกล่าว

ทุกคนรู้ดีว่าเป่ยหยินต้องอดทนต่อความอัปยศอดสูมากเพียงใด เขาเฝ้าสืบสวนคดีของสกุลเซียวมาตลอด และไม่เคยทรยศสกุลเซียวเลย หลังจากที่เขาแยกตัวออกจากกองทัพสกุลเซียว เขาฝันร้ายมาตลอด ในฝันนั้นสหายร่วมรบต่างชี้หน้ากล่าวหาว่าเขาเป็นคนทรยศ นั่นเป็นปมใหญ่ในใจของเป่ยหยินเลยทีเดียว เขาหวังว่าจะมีใครสักคนที่เชื่อใจเขา

“ข้าเชื่อในตัวเจ้า หากข้าไม่เชื่อ ข้าคงไม่มีวันปล่อยเว่ยฉิงไปหาเจ้า” เซียวซานหลางกล่าวหนักแน่น คำพูดของเซียวซานหลางทำให้เลือดในหัวใจของเป่ยหยินฉีดพล่าน

แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว สิ้นสุดกันสักที วันที่มีแต่ตราอัปยศอยู่บนใบหน้า

ด้วยการมาเยือนของแม่ทัพเป่ย ถังหลี่จึงได้จัดงานเลี้ยงรับรองขึ้น ฮั่วจีว์ที่มาเยือนจวนสกุลอู่บ่อยครั้งถึงกับประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น

“ถังถัง ใครคือคนสำคัญของงานนี้หรือ? เหตุใดถึงได้จัดยิ่งใหญ่เช่นนี้เล่า”

“แม่ทัพเป่ยหยินน่ะ” ถังหลี่ตอบคำถามพร้อมกับสั่งงานบ่าวรับใช้ไปด้วย

“เป่ย…” ฮั่วจีว์รู้สึกสั่นสะท้านทันทีเมื่อได้ยินแซ่นี้

“เขาเป็นบิดาบุญธรรมของเป่ยเหยียน” ถังหลี่กล่าว เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้นดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับแมวก็ไม่ปาน

“แล้วเป่ยเหยียนจะมาหรือไม่?“

“แน่นอน นี่เป็นงานเลี้ยงต้อนรับพ่อบุญธรรมของเขานะ” ถังหลี่ว่า

ฮั่วจีว์หันหลังกลับทันที เขาไม่อยากเห็นเป่ยเหยียน ทว่าเมื่อเขาก้าวเท้าไปได้สองก้าวก็ต้องชะงัก เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาว่าบิดาบุญธรรมของเป่ยเหยียนเป็นคนเช่นไร? นอกจากนี้แล้วอาหารที่น้องสาวเขาเป็นคนลงมือปรุงก็มีรสชาติอร่อยเป็นเลิศ เขาจะยอมพลาดเพราะเป่ยเหยียนจริงๆ หรือ?

หลังจากที่ได้ตบตีกับความคิดตัวเองแล้ว ฮั่วจีว์จึงตัดสินใจอยู่ช่วยถังหลี่เตรียมงานที่จวนสกุลอู่ต่อ เมื่อตระเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพดีแล้ว ชายวัยกลางคนสองคนก็เดินเคียงข้างกันมา

ฮั่วจีว์จำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือเซียวซานหลาง ท่านลุงของน้องเขยเขา คนที่อยู่ข้างๆ จึงน่าจะเป็นท่านแม่ทัพเป่ยเป็นแน่

เป่ยหยินรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดันเหมือนแม่ทัพทั่วไป แต่เขามีรอยยิ้มที่จริงใจ เพียงเห็นแค่แว่บเดียวก็รู้ได้ว่า แตกต่างจากคนเจ้าเล่ห์เช่นเป่ยเหยียน

ฮั่วจีว์มั่นใจมากว่าเป่ยเหยียนไม่ได้นิสัยย่ำแย่เพราะการอบรมสั่งสอนของบิดาบุญธรรม แต่เป็นเพราะอุปนิสัยของตัวเขาเองต่างหาก

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ฮั่วจีว์ก็ยืดตัวตรงและแอ่นอกให้ผึ่งผาย เมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายแล้ว ถังหลี่รู้ได้ในทันทีว่าใครกำลังเดินเข้าประตูมา

“ท่านพ่อ” เป่ยเหยียนยิ้มอย่างนอบน้อม

เขาหันไปหาเซียวซานหลางพร้อมกับทำความเคารพ

“ท่านลุงเซียว”

ฮั่วจีว์รู้สึกราวกับว่าเห็นผี หัวหน้าเป่ยที่ทำตัวเย็นชากับเขามาตลอด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสกลับเป็นเด็กดีว่าง่ายเสียได้

“พี่ชายเข้าไปนั่งกันเถิด” ถังหลี่สะกิด

ฮั่วจีว์พลันรู้สึกตัว เขาเดินตามถังหลี่ไปที่โต๊ะ นั่งลงฝั่งตรงข้ามเป่ยเหยียน

ในตอนแรกเขาคิดว่าตนเองจะอึดอัด แต่กลายเป็นว่าเป่ยเหยียนไม่มองหน้าเขาเลย ทำให้ฮั่วจีว์หดหู่และไม่สบายใจ พวกเขาทั้งสองคนเป็นสหายร่วมงานช่วยกันไขคดี อีกทั้งเป่ยเหยียนยังเคยอยู่ในอ้อมกอดของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่มาตอนนี้ทำเป็นคนไม่รู้จักกันไปเสียได้

“เป่ยเหยียนโตแล้วนี่ เขามีสตรีที่ชอบพอหรือไม่?” เซียวซานหลางถามเป่ยเหยียนด้วยแววตาเอ็นดู

ฮั่วจีว์เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เขาอยากรู้คำตอบ ตัวเขายังไม่มีคนรักเลย หากเป่ยเหยียนมีแล้ว เขาจะรู้สึกเสียหน้า

แต่เมื่อเป่ยเหยียนส่ายศีรษะปฏิเสธ เขาอดรู้สึกดีขึ้นมาไม่ได้

“เป่ยเหยียนยังเด็ก มีอนาคตไกล สตรีคนไหนได้แต่งงานด้วยนับว่าโชคดี”

“ให้ข้าช่วยดูหญิงสาวสูงศักดิ์ในเมืองหลวงให้ดีหรือไม่? เผื่อจะมีใครเหมาะสมกับเจ้าบ้าง” ฮูหยินอู่กล่าวขึ้น

“ขอบคุณฮูหยินขอรับ แต่ข้ายังไม่มีแผนที่จะแต่งงานเลยขอรับ” เป่ยเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม

ฮั่วจีว์รู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบของเป่ยเหยียน กู้หวนจิ่นและไป๋มู่หยางต่างมีคู่ครองไปกันหมดแล้ว ถ้าคนที่เขาเหม็นขี้หน้าออกเรือนอีกคน เขาคงหดหู่ใจมากขึ้น

ลำดับต่อไปของงานเลี้ยงคือการร่ำสุราและพูดคุยกัน

เซียวซานหลางและเป่ยหยินกลับมาพบหน้ากันหลังจากที่ห่างหายกันไปนาน ทั้งสองมีเรื่องให้พูดคุยไม่รู้จบ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเมามาย เป่ยเหยียนไม่ดื่มมาก เขาเลือกที่จะดื่มกินอย่างเงียบๆ เท่านั้น ฮั่วจีว์ยืนถือไหสุราอยู่คนเดียว หลังจากที่เมาพอสมควร เขาก็กล้าที่จะเปิดปากมากขึ้น

“เหตุใดเจ้าจึงเป็นบุรุษ?”

“เอาแม่นางชิงลั่วของข้าคืนมา”

“ถ้าเจ้าเป็นสตรี ข้าจะแต่งงานกับเจ้า”

“ไม่สำคัญว่าเจ้าจะดุเพียงใด” คำพูดเหล่านี้ทำให้เป่ยเหยียนเลือดขึ้นหน้า ถังหลี่รู้สึกว่าพี่ชายของนางจะโดนทุบตีเป็นแน่ จึงรีบไปดึงเขาออกมา

“เขาเมาเลยพูดจาไร้สาระ ท่านอย่าได้ใส่ใจไปเลย” ถังหลี่รีบพูดอย่างรวดเร็ว นางรีบดึงพี่ชายออกไปทันที

ถังหลี่เป็นแม่งาน จึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะยุ่งมาก เมื่อหญิงสาวกลับมาอีกครั้งก็พบว่าฮั่วจีว์หายไปแล้ว นางรีบถามไถ่ว่าเขาหายไปไหนจึงได้รับคำตอบจากบ่าวไพร่ว่า

“คุณชายฮั่ว? เมื่อครู่นี้หัวหน้าเป่ยพาเขากลับไปแล้วขอรับ” เขาว่า

ถังหลี่คิดถึงเส้นเลือดที่ปูดบนหน้าผากของเป่ยเหยียนแล้วอดคิดไม่ได้ว่า เขาคงไม่พาพี่ชายของนางไปซ้อมใช่หรือไม่? ถังหลี่กังวลใจมาก

แต่ไม่กี่วันถัดมาจึงได้โล่งใจ เมื่อเห็นฮั่วจีว์ใช้ชีวิตอิสระโดยไม่มีส่วนไหนพังหรือบุบสลาย