บทที่ 752 แม่นางเว่ยอวี๋

หลังจากนั้นต่อมาถังหลี่ได้ฟังจากเว่ยฉิงว่าฮั่วจีว์ไม่ได้ลาออกจากหน่วยลาดตะเวน ทั้งสองคนยังคงทำงานด้วยกันเพื่อคลี่คลายคดี แม้จะมีปากเสียงกันบ้างแต่ในยามคับขันก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตอนนี้ฮั่วจีว์อยู่ในตำแหน่งรองหัวหน้าหน่วยลาดตะเวน

เมื่อสหายเจ้าสำราญของฮั่วจีว์ได้รับรู้ว่าเขาไปที่หอนางโลมเพื่อสืบคดีเท่านั้นไม่ได้ไปเที่ยวเล่นด้วย ฮั่วจีว์จึงถูกกีดกันออกจากกลุ่มสหายเสเพลไปโดยปริยาย

ตอนนี้ยามใดที่นายท่านฮั่วพูดถึงบุตรชายก็ไม่ได้ส่ายศีรษะอย่างอิดหนาระอาใจอีกต่อไป ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวบุตรชายอย่างหาได้ยาก

พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปี

เว่ยฉิงงานยุ่งน้อยลง ราชสำนักค่อยๆ มั่นคงขึ้น ตำแหน่งต่างๆ ที่ว่างเริ่มทยอยเต็ม จ้าวจิ่งซวนมีเรื่องให้รับผิดชอบมากขึ้น ทำให้เว่ยฉิงไม่ต้องแบกรับเรื่องราวทุกอย่างในต้าโจวอีกต่อไป เขาจึงมีเวลาได้หายใจหายคอมากขึ้น

ถังหลี่รู้ว่าอีกครึ่งปี สามีของนางก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เมื่อมู่เป่าและถังเป่าเติบโตขึ้น ตอนนั้นพวกเขาจะออกจากเมืองหลวงไปที่เผ่าอู๋ซานเพื่อหาซานเป่า หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน ตอนนี้เด็กสาวคงเติบโตขึ้นแล้ว ซานเป่าในวัยสิบสองคงจะเป็นสาวน้อยที่งดงาม

วันนี้ถังหลี่อยู่บ้าน เห็นเว่ยฉิงกลับมาพร้อมกับปลาตัวใหญ่หนักราวยี่สิบถึงสามสิบชั่ง เว่ยฉิงแข็งแกร่งมาก เขาดูอารมณ์ดีที่จับปลาได้

“ตอนที่ท่านลุงสามกำลังตกปลา ข้าจับปลาตัวใหญ่ได้มาถึงสองตัว คืนนี้จะได้กินกัน”

ถังหลี่สนใจขึ้นมาในทันที

“ข้าจะปรุงให้เอง”

เว่ยฉิงทุบปลา ขอดเกล็ดและควักไส้ออก ในขณะที่ถังหลี่เตรียมส่วนผสมจำพวกสมุนไพรต่างๆ ขณะทำปลา นางหวนนึกถึงตอนที่อยู่ในหมู่บ้านลี่เจีย ตอนนั้นที่บ้านไม่มีอาหาร ถังหลี่ทำได้เพียงไปจับปลามาทำน้ำแกง ตอนนั้นครอบครัวลำบากมาก อาหารบนโต๊ะแทบจะไม่เพียงพอสำหรับเว่ยฉิงและเด็กๆ แต่เมื่อมาคิดดูแล้วนางไม่ได้มีความทุกข์แม้แต่น้อย กลับเพลิดเพลินด้วยซ้ำ

มื้อเย็นในจวนสกุลอู่วันนี้จึงเป็นจานปลา ซึ่งนำมาปรุงรสได้หลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นตุ๋น นึ่ง หรือต้มน้ำแกง ทั้งอร่อยและไร้กลิ่นคาว ทุกคนในจวนสกุลอู่ได้กินกันอย่างอิ่มหนำ จนกระทั่งผู้อาวุโสจ้านแนะนำขึ้นมาว่า

“คราวหน้าทำปลาย่างจะดีกว่า”

ไทเฮาอยากใช้เวลากับบุตรหลานมากขึ้น นางจึงคำนึงถึงเรื่องสุขภาพจนอดแย้งขึ้นมาไม่ได้ว่า

“การทานปลาย่างมากๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ” ได้ยินดังนั้นผู้อาวุโสจ้านจึงได้เปลี่ยนคำพูดของเขาทันที

“ไม่ดีต่อสุขภาพหรือ? เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว ขอบคุณอาหมานที่เตือนข้า”

เซียวซานหลางรู้ซึ้งถึงความคลั่งไคล้ในปลาย่างของอาจารย์ตนเองดี เมื่อเห็นทีท่าแปลกๆ ของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ

“จุ๊ๆ ต้นไม้เก่าโบราณต้นนี้กำลังจะออกดอกบานสะพรั่งแล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”

หลังจากที่มื้อเย็นผ่านไป พวกเขาปล่อยให้บ่าวรับใช้ทำความสะอาด

เว่ยฉิงกุมมือภรรยากระซิบกระซาบพูดคุยกัน จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “ฮูหยิน จื่ออี้มีคนที่ชอบแล้วหรือ?”

เว่ยฉิงมองไปที่เว่ยจื่ออี้ บางครั้งเด็กหนุ่มมีอาการเหม่อลอย หรือบางทีเขาก็ผุดรอยยิ้มอย่างโง่เขลาออกมา

เว่ยฉิงคุ้นเคยกับท่าทีเช่นนี้มาก เพราะเขาเองก็เคยเป็นยามคิดถึงภรรยาของตน เขาจึงแน่ใจว่าตอนนี้เว่ยจื่ออี้กำลังตกหลุมรัก

ถังหลี่ตกใจ

จื่ออี้เป็นเด็กดีมีไหวพริบ เขาเปิดร้านหนังสือหลายแห่งตั้งแต่ยังอายุยังน้อย นางจึงไม่ค่อยกังวลกับเขามากนัก ทว่านางกลับไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มมีคนที่แอบชอบหรือไม่? เมื่อเว่ยฉิงพูดเช่นนี้ นางก็นึกได้ว่าเว่ยจื่ออี้อายุสิบหกปีแล้ว เขาอยู่ในวัยที่สมควรมีคู่ครอง

ในยุคสมัยนี้ผู้คนมักนิยมแต่งงานตั้งแต่อายุสิบห้าหรือสิบหกปี หากเกินยี่สิบปีไปแล้วจะถือว่าอายุเลยวัยแต่งงาน ตอนที่นางมายังโลกใบนี้ ครั้งนั้นเว่ยฉิงอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น แค่พริบตาเดียวเว่ยจื่ออี้ก็จะมีอายุเกือบเท่าเว่ยฉิงในอดีตเสียแล้ว

นี่นางจะกลายเป็นแม่สามีแล้วหรือ?

ถังหลี่เริ่มคิดตามแบบแม่สามีขึ้นมาทันที นางไม่รู้ว่าเด็กสาวที่เว่ยจื่ออี้ชอบเป็นคนเช่นไร มีภูมิหลังเป็นอย่างไร ในแง่หนึ่งเด็กสาวที่เว่ยจื่ออี้ชอบไม่จำเป็นจะต้องมีภูมิหลังที่ดีเลิศมากมาย ถังหลี่มีฐานะร่ำรวยส่วนเว่ยฉิงมีอำนาจมากพอ เรื่องสำคัญคืออุปนิสัยของนางต่างหาก ลูกชายของถังหลี่ควรคู่กับภรรยาที่มีนิสัยดี

แม้ถังหลี่จะมาจากโลกปัจจุบัน แต่นางก็รู้ดีว่าควรให้อิสระแก่ลูกๆ ของตนเอง นางอดไม่ได้ที่จะกังวล นางกลัวว่าบุตรชายของตนจะเลือกหญิงสาวที่ไม่ดีมาเป็นภรรยา

ดูเหมือนว่าถังหลี่จะต้องหาเวลาคุยกับเว่ยจื่ออี้เรื่องความรักบ้างแล้ว

วันรุ่งขึ้น

ที่จวนสกุลอู่มีห้องอ่านหนังสือเล็กๆหลายห้อง ห้องหนึ่งสำหรับเว่ยฉิง อีกห้องเป็นของเว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ย ส่วนเว่ยจื่ออี้ก็มีห้องหนังสือเล็กๆ ของตนเองเช่นกัน

ถังหลี่เข้าไปในห้องเห็นเว่ยจื่ออี้กำลังเขียนจดหมายและวาดภาพอยู่ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นมารดา

“ท่านแม่”

เว่ยจื่ออี้สูงขึ้นมากแล้ว ใบหน้าของเขาคมชัด คิ้วและดวงตาเรียว ราวกับสุนัขจิ้งจอก ทำให้เขาเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม

ถังหลี่มองไปเห็นรูปที่เขากำลังวาดอยู่ ว่ากันตามตรงแล้วนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาพวาดเลย เห็นแต่ว่าเป็นภาพทิวทัศน์แต่ไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างอื่นแอบแฝงอยู่หรือไม่?

เว่ยจื่ออี้เห็นความอยากรู้อยากเห็นของมารดา เขาจึงเริ่มพูดไม่หยุดปาก เด็กหนุ่มพูดถึงการใช้สีและวิธีวาด เขาดูชอบรูปนี้มาก

“ข้าอยากแขวนไว้ที่ข้างเตียงจะได้ชื่นชมได้ทุกวัน” เว่ยจื่ออี้ว่า พร้อมกับแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ

“ภาพนี้มีความสำคัญ เพราะคนวาดด้วยหรือไม่?” ถังหลี่พูดเนิบๆ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง

“ท่านแม่ เจ้าของภาพนี้คือเว่ยอวี๋” ถังหลี่พยักหน้า

“เดิมทีเรื่องราวที่นางเขียนนั้นดีงามจนทำให้ข้าคิดว่านางเป็นบุรุษ แต่นางกลับเป็นสตรีไปเสียได้ ทำให้ข้าประหลาดใจ…ที่จริงข้าสมควรคิดได้ก่อนหน้านี้แล้ว” เขาเล่าให้มารดาฟังโดยไม่คิดจะปิดบัง

“ข้าชอบงานเขียนของนางมาก ยามที่ข้าได้อ่าน เหมือนว่าข้าได้หลุดเข้าไปในเรื่องราวที่นางเขียน ได้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ได้สัมผัสประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากมาย อีกทั้งข้ายังได้กลายเป็นต้นไม้ที่สัมผัสถึงสายลมหนาว น้ำค้าง และลมฝน จากนั้นจึงค่อยๆ กลายเป็นมนุษย์เป็นปุถุชนมากขึ้น…”

เว่ยจื่ออี้เขินอายขึ้นมา เขายกมือขึ้นปิดใบหน้าของตนเองจนเผยให้เห็นดวงตาราวกับสุนัขจิ้งจอก

“ดูเหมือน…ข้าจะตกหลุมรักนางเข้าแล้ว”

เว่ยจื่ออี้รู้เรื่องของสตรีผู้นี้น้อยมาก เขารู้เพียงว่านางมีอายุไล่เลี่ยกับตนเองและยังไม่ออกเรือน เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นนางมาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เมื่อคิดถึงนางแล้วหัวใจของเขาพลันอ่อนยวบลง

เด็กหนุ่มอยากอ่านนวนิยายที่นางเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาอยากเอาภาพวาดที่นางมอบให้ใส่กรอบไว้ และฝันถึงนาง

ในความฝัน เว่ยจื่ออี้ไม่เห็นใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นเลย เขาได้แต่จินตนาการถึงใบหน้าของนาง ยามใดที่เขาคิดถึง หัวใจของเขาก็จะเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ถังหลี่และเว่ยจื่ออี้พูดคุยถึงเด็กสาวผู้นี้

“ท่านแม่ ข้าควรทำอย่างไรดี?”

“แม่คิดว่าเจ้าควรนัดพบกับนาง” ถังหลี่ว่า เว่ยจื่ออี้เพิ่งเป็นหนุ่ม เขายังติดนิสัยขี้อายอยู่ หากเขายังไม่ลงมือจัดการและชะงักชักช้าอยู่เช่นนี้ ความสัมพันธ์คงไม่ก้าวหน้า

“แล้วถ้านางไม่ชอบข้า..”

“เดือนหน้าเป็นวันเกิดของลูก เชิญนางมางานเลี้ยงวันเกิดของลูกสิ” ถังหลี่ออกความเห็น

“หากนางสนใจลูก นางจะมา แต่ถ้าไม่สนใจ นางจะปฏิเสธ”

เว่ยจื่ออี้พยักหน้า มารดาพูดถูกแล้ว เขาคิดอ่านเรื่องนี้มาทั้งวัน สมควรที่จะลงมือทำสักที

“ข้าจะเขียนเทียบเชิญให้เว่ยอวี๋ด้วยตัวเอง” เว่ยจื่ออี้กล่าว

เด็กหนุ่มส่งเทียบเชิญเป็นการส่วนตัว หลังจากที่เขียนเสร็จแล้ว เขาวางไว้ที่ขอบหน้าต่างของร้านหนังสือ ไม่กี่ชั่วยามต่อมามันก็หายไป

เว่ยอวี๋ได้รับคำเชิญของเขาแล้ว