บทที่ 753 แม่สามีและลูกสะใภ้ได้พบหน้ากันครั้งแรก

เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆ

บทที่ 753 แม่สามีและลูกสะใภ้ได้พบหน้ากันครั้งแรก

ในช่วงเย็น ฝนที่ตกหนักเริ่มซาลง ใต้ชายคามีร่างบอบบางสวมเสื้อคลุมสีขาวยืนอยู่ เพียงเห็นแค่ครึ่งหน้าก็รับรู้ได้ว่าเป็นเด็กสาวที่งดงาม

นางหยิบเทียบเชิญที่ได้รับออกจากแขนเสื้อ อ่านซ้ำวนไปมาหลายรอบ

“วันที่สิบสามเดือนสิบเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้าเอง ที่จวนสกุลอู่มีงานจัดเลี้ยงฉลอง ข้าหวังว่าเว่ยอวี๋จะร่วมงานเลี้ยงของข้า

จาก เว่ยจื่ออี้”

ก่อนหน้านี้พวกเขาใช้นามแฝงพูดคุยกันมาตลอด นามที่แท้จริงของนางไม่ใช่เว่ยอวี๋แต่เป็นตู้เว่ย ส่วนนามแฝงของเว่ยจื่ออี้คือเฟยจู ทั้งสองสื่อสารกันผ่านจดหมายที่วางไว้บนขอบหน้าต่างโดยแทบไม่รู้จักตัวตนของกันและกันเลย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รู้ชื่อจริงของเขา

หิ่งห้อยตัวน้อยส่องแสงสว่างบินผ่านไปมาอย่างเจิดจ้า

แท้จริงแล้วนามของเด็กหนุ่มผู้นั้นคือเว่ยจื่ออี้ บุรุษผู้เปล่งประกาย ช่างเป็นชื่อที่ดีจริงๆ

เขาได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของเขาผ่านทางเทียบเชิญ เขาต้องการพบนาง

ตู้เว่ยอยากเจอเขาเช่นกัน แต่ว่า…

เด็กสาวรู้ว่าเนื้อหาในจดหมายหมายถึงอะไร หัวใจของนางเต้นถี่ระรัว ความสุขที่ไม่สามารถอธิบายได้ไหลผ่านเข้ามาในหัวใจ ตู้เว่ยเก็บเทียบเชิญไว้กับตัวเองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินออกไปนอกชายคา นางเดินไปยังจวนที่ดูแปลกตาและเรียบง่าย เข้าไปยังเรือนพำนักด้านในของตน หลังจากเข้าไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหยิบเทียบเชิญออกมาอ่านอีกครั้ง เด็กสาวสัมผัสไปยังลายมือที่คุ้นเคยบนเทียบเชิญใบนั้น อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงใบหน้าของอีกฝ่ายยามที่จะได้เจอกันเป็นครั้งแรก

แต่แล้วใบหน้าของเด็กสาวกลับหมองและซีดเผือดลง เมื่อคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา ความสุขในหัวใจได้จางหายไปจนหมด

“คุณหนูกลับมาแล้ว” เสียงหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา เมื่อเห็นเทียบเชิญในมือของตู้เว่ย นางก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้

“คุณหนูดูอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” ตู้เหวยรีบซ่อนเทียบเชิญ นางหันไปมองพลางยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา

“คุณหนูมีความลับ นั่นเป็นจดหมายที่นายน้อยคนใดมอบให้หรือเจ้าคะ?” นางหยอกเย้า หากตู้เว่ยยังคงส่ายหน้าปฎิเสธ

“ฮูหยินส่งรูปมาให้ข้า มอบหมายให้ข้าช่วยท่านเลือกคู่” นางกล่าวต่อ ใบหน้าของตู้เว่ยซีดลง

“แต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว” นางว่า “เป็นเพราะฮูหยินส่งรูปที่บุตรสาวตนเองไม่ชอบมาให้คุณหนูของข้า ล้วนแต่เป็นขยะที่คุณหนูไม่ต้องการ ของเช่นนี้จะรับไว้ได้อย่างไร? อัปมงคล!”

ตู้เว่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองหญิงสาวผู้นั้นอย่างซาบซึ้งแม้อุปนิสัยของนางจะน่ารำคาญและปากร้ายอยู่บ้าง แต่นางใจดีกับตู้เว่ยจริงๆ

เด็กสาวเอื้อมมือไปตบหลังมือของบ่าวรับใช้อย่างปลอบประโลม

“ข้ารู้ดีว่าคุณหนูของข้าเป็นเพียงคนป่วย ทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากต้องก้มหัวให้ฮูหยินและอยู่ภายใต้ชายคาของนางเท่านั้น แต่กระนั้นข้าก็ยังอดโมโหไม่ได้” แม่นมจ้าวยังคงพร่ำต่อไม่เลิก จู่ๆ นางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้

“คุณหนู ท่านจำคุณชายฟางได้หรือไม่เจ้าคะ?” แม่นมจ้าวเป็นคนช่างซุบซิบ คนในสกุลตู้จึงไม่ค่อยชอบนางนัก นางจึงทำแต่พูดคุยกับคุณหนูของตนเท่านั้น แม้ว่าเด็กสาวจะไม่สามารถพูดโต้ตอบกับนางได้ แต่เมื่อได้สบตากับคุณหนู นางจะรู้ว่าคำตอบคืออะไร เมื่อพูดถึงคุณชายฟาง ตู้เว่ยก็จำได้จึงพยักหน้ารับ

เด็กสาวไม่ค่อยได้ออกจากเรือนไปข้างนอกมากนัก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางลืมสวมเสื้อคลุมที่มีหมวกปกปิดใบหน้า ทำให้คุณชายฟางผู้นั้นได้เห็นใบหน้าของนางเข้าพอดี เขาสะกดรอยตามและยืนกรานที่จะขอแต่งงานกับตู้เว่ย ทว่าตู้เยี่ยนพี่สาวของตู้เว่ยกลับตกหลุมรักคุณชายฟางเช่นกัน ต่อมาตู้เว่ยรับรู้ว่าคุณชายฟางต้องการที่จะแต่งงานกับตู้เยี่ยนแทน ตู้เว่ยไม่ได้ชอบชายผู้นี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วจึงโล่งอกเมื่อรู้ข่าวนี้

ตั้งแต่นั้นมาตู้เว่ยจึงไม่เคยลืมที่จะสวมเสื้อคลุมของตนยามที่ออกไปด้านนอกอีกเลย

ตู้เว่ยไม่ได้คิดมีความคิดเห็นใดต่อเรื่องนี้ แต่แม่นมจ้าวกลับรู้สึกว่าตู้เยี่ยนได้แย่งคู่ครองที่ดีไปจากคุณหนูของนาง ทำให้มีอคติต่อฮูหยินและบุตรสาวไม่น้อย

“คุณชายฟางอยากแต่งงานกับคุณหนูเยี่ยนมิใช่หรือ แล้วเพราะเหตุใดเขาจึงไม่ได้ส่งคนมาสู่ขอนางเล่า? แท้จริงแล้วเป็นเพราะมารดาของเขาไม่ชอบคุณหนูเยี่ยนต่างหาก นางจึงบังคับให้เขาเลิกสนใจคุณหนูเยี่ยน ทว่าคุณชายฟางไม่ยินยอม เขาจึงทำตัวเสเพลเอาแต่ใจ ทั้งเที่ยวหอนางโลม ดื่มสุราจนเมาหยำเป ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนเช่นนี้ไปเสียได้”

“คุณหนูเยี่ยนผู้นี้ช่างเหมือนมารดาของนางไม่ผิด นางไม่ชอบคุณหนู ซ้ำยังอยากแย่งชิงทุกอย่างของคุณหนูไป แต่ตอนนี้นางพลาดเสียแล้ว”

แม่นมจ้าวยินดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อย หากทว่าตู้เว่ยไม่สนใจเรื่องใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นกับตู้เยี่ยนเลย นางเพียงแต่ใส่ใจพี่เลี้ยงของตนและยินดีที่จะรับฟังเรื่องที่แม่นมจ้าวพูดคุยให้ฟังเท่านั้น

แม่นมจ้าวครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่างอยู่สักครู่ ลังเลไม่น้อย แต่แล้วกลับตัดสินใจเอ่ยออกมา

“คุณหนู มีหมอคนหนึ่งเข้ามาในเมืองหลวง ว่ากันว่าเขาสามารถรักษาคนเป็นใบ้ได้ ท่านอยากลองไปดูหรือไม่เจ้าคะ?”

เรื่องที่คุณหนูของนางพูดไม่ได้ เป็นเรื่องที่นางหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงมาตลอด เพราะรู้ดีว่าหากพูดขึ้นมาครั้งใด คุณหนูจะเศร้าใจ แม่นมแม่นมจ้าวจึงคิดว่าคุณหนูต้องการที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในส่วนลึก และหลีกเลี่ยงที่จะไปรักษา

คุณหนูของนางงดงามราวกับเทพธิดาก็ไม่ปาน แต่เพราะว่านางพูดไม่ได้จึงไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่น ไม่เช่นนั้นแล้วนางคงจะได้ออกเรือนกับบุรุษสูงศักดิ์เป็นแน่

แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้จะทำคุณหนูเศร้าใจแต่แม่นมจ้าวก็ยังอดพูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้

ตู้เว่ยไม่อยากไปรักษาเลย นางจำได้ว่าตอนที่นางยังเล็ก แม่นมจ้าวพานางไปหาหมอหลายคนด้วยความคาดหวัง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังกลับมาเสียทุกครั้ง นี่อาจจะเป็นปัญหาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาก็เป็นได้ ตู้เว่ยจึงไม่คิดว่าอาการของนางจะรักษาให้หายขาดได้ แม้แม่นมแม่นมจ้าวจะพานางไปหาหมอหลายคนแล้วก็ตาม

ในที่สุดนางก็เลิกไปหาหมอโดยปริยาย

แต่ตอนนี้…

เฟยจูผู้นั้นอยากจะพบนาง ตู้เว่ยอยากไปปรากฏตัวต่อหน้าเขา ให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นางจึงได้พยักหน้ารับ ทำให้แม่นมแม่นมจ้าวดีใจมาก ปกติแล้วคุณหนูของนางจะปฏิเสธมาตลอดแต่ตอนนี้นางยอมตกลงแล้ว

“เอาล่ะ วันนี้ดึกแล้ว พักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เราจะได้ไปหาหมอกันแต่เช้า”

ตู้เว่ยเดินไปยังห้องอ่านหนังสือ นั่งลงที่โต๊ะ หยิบพู่กันและกระดาษออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เขียนบางอย่างลงไป

แม่นมจ้าวแอบมองทางหน้าต่าง นางคิดว่าคุณหนูของตนมีจิตวิญญาณที่สูงส่งราวกับเทพธิดา ยามใดที่นางได้จับพู่กัน นางจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน นางจะมั่นใจและมีชีวิตชีวา คงจะดีกว่านี้หากคุณหนูพูดได้ แม่นมจ้าวหวังว่าสวรรค์จะมีเมตตาต่อคุณหนูของนาง และหวังว่าหมอผู้นั้นจะเก่งกาจจนรักษานางได้

วันถัดมา

ถังหลี่บังเอิญพบกับเซียวซานหลางและเป่ยหยินระหว่างการเดินทางไปยังร้านอาหารหนิงเฟิ่ง เป่ยหยินไปตกปลากับเซียวซานหลางพักหนึ่งก็เริ่มเบื่อแต่เขายังคงทำหน้าที่สหายที่ดี ทั้งสองคนจึงได้มองหางานอดิเรกใหม่ทำร่วมกัน นั่นคือการจับผู้ร้ายและทำความดี ปกติแล้วพวกเขาจะเดินไปรอบๆ เมืองหลวงเพื่อลงโทษคนชั่วร้ายและทวงคืนความยุติธรรมให้ผู้บริสุทธิ์

ถังหลี่เห็นผู้เฒ่าทั้งสองคนต่างมองไปยังทิศทางเดียวกัน

“ท่านลุงสามกำลังดูอะไรอยู่หรือ?” ถังหลี่ถาม

“ดูนั่นสิเสี่ยวถัง” เซียวซานหลางชี้นิ้วไปยังทิศหนึ่ง เมื่อหญิงสาวหันไปมองก็พบว่าที่แห่งนั้นมีผู้คนรุมล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก

“เขาเป็นหมอที่อวดอ้างว่าตัวเองรักษาได้ทุกโรค” เซียวซานหลางพูดขึ้น

“ใช่แล้ว ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีชายตาบอดบอกว่าเขาได้รับการรักษาโดยหมอพเนจรผู้นี้” เป่ยหยินกล่าวเสริม ทำให้ถังหลี่รับรู้ถึงปัญหาทันที

“แล้วเขาหายหรือ?”

“ใช่ เขาบอกว่าไม่ว่าอาการจะรุนแรงเพียงใด เขาก็รักษาได้ แต่อาการตาบอดไม่ใช่ว่าจะรักษาหายได้ในทันที มันไม่ใช่โรคสามัญธรรมดาทั่วไป” เป่ยหยินว่า

“พวกข้าเลยมาดูว่ามีอะไรผิดปกติกับหมอผู้นี้หรือไม่? หากเขาเป็นเพียงคนลวงโลกข้าก็จะจัดการเขาเอง “ เป่ยหยินว่าท่าทางขึงขัง

“คนที่มาหาเขาล้วนเป็นคนยากไร้ ไม่สมควรจะมีคนมาซ้ำเติมให้เขาโชคร้ายมากขึ้น” เซียวซานหลางย้ำ

ถังหลี่ตัดสินใจเดินไปกับพวกเขาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อทั้งสามคนเดินเข้าไป เห็นชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ เบื้องหน้าเขามีหญิงสองคนยืนอยู่ตรงข้าม