ตอนที่ 1381 เริ่มการล่า (3) / ตอนที่ 1382 เริ่มการล่า (4)
ตอนที่ 1381 เริ่มการล่า (3)
วิธีการตายของทุกคนล้วนเหมือนกันหมด ไม่มียกเว้นแม้แต่ศพเดียว การตายในน้ำแข็งเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นได้บ่อย สำหรับทุกคนที่มาไกลถึงแท่งน้ำแข็ง พวกเขาตระหนักดีว่าความตายอาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาในสถานที่แห่งนี้
แต่…
ไม่มีใครตายในสภาพเช่นนี้!
วิธีที่พวกเขาตาย เห็นได้ชัดว่ามีคนตั้งใจทำเช่นนี้กับพวกเขา!
แม้ว่าหัวของพวกเขาจะเน่าไปแล้ว แต่เสื้อผ้าบนศพพวกนั้นเหมือนกับที่คนของตำหนักนภาวิจิตรใส่อยู่ เห็นได้ชัดว่าศพเหล่านี้เป็นของคนกลุ่มสุดท้ายที่พวกเขาส่งมาที่ผาสุดขอบฟ้าแห่งนี้
แม้ว่าพวกเขาจะเดาได้ว่าคนพวกนี้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อคนจากตำหนักนภาวิจิตรเห็นสหายของพวกเขาตายด้วยตาของตัวเอง พวกเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเย็นลง ความหวาดกลัวคืบคลานออกมาจากในกระดูกของพวกเขา
เนื่องจากช่วงเวลาที่พวกเขาเสียชีวิตนั้นไม่ได้นานมากนัก และอุณหภูมิที่นี่ก็ต่ำมาก ศพพวกนั้นจึงยังค่อนข้างสมบูรณ์ ภาพที่โหดร้ายนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง
“แหวะ!” บางคนทนไม่ไหวอาเจียนออกมา
เมื่อเห็นคนจากตำหนักเดียวกันตายในลักษณะเช่นนี้ ศพของพวกเขาถูกจัดให้อยู่ในสภาพเดียวกันเช่นนี้ ความรู้สึกไม่สบายใจและความหวาดกลัวทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
“ใครทำเรื่องนี้! ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ…ตำหนักหวนจิต…หรือเป็นคนจากตำหนักอื่น!” หัวหน้ากลุ่มตะโกนด้วยความโกรธ
“หัวหน้า เราจะทำอย่างไร…พวกมัน…พวกมันจะยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า พวกมันอยากให้เราตายกันหมดจริงๆ!” คนอื่นๆ จากตำหนักนภาวิจิตรเริ่มลุกลี้ลุกลน จำนวนคนที่เสียชีวิตที่นี่มีมากเกินไป ทั้งหมดอัดแน่นเข้าด้วยกันจนเต็มช่องว่างเล็กๆ ระหว่างแท่งน้ำแข็ง มองแวบเดียวซากศพที่ดูประหลาดก็ดูเหมือนจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวมากขึ้นก็คือ ในบรรดาศพทั้งหมดนั้น พวกเขาเห็นว่าทุกคนมาจากตำหนักนภาวิจิตร ไม่มีศพของคนตำหนักอื่นๆ เลยแม้แต่ศพเดียว
ความแข็งแกร่งของสิบสองตำหนักนั้นอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน หากไม่มีผู้อาวุโสมาเกี่ยวข้องในการต่อสู้แล้วละก็ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีตำหนักไหนเหนือกว่าแบบขาดลอยขนาดนี้ ดังนั้น การที่มีเพียงคนของตำหนักนภาวิจิตรเท่านั้นที่บาดเจ็บล้มตายจึงเป็นไปไม่ได้
เว้นแต่ว่าคนที่โจมตีได้เคลื่อนย้ายร่างของพรรคพวกตัวเองออกไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีคนระดับผู้อาวุโสอยู่ด้วย!
ขนาดอยู่ในหมอกหนาที่หนาวเน็บ หัวหน้ากลุ่มก็ยังเหงื่อออกเต็มหน้าผาก
“หัวหน้า…ข้าเคยได้ยินว่า…ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจได้ส่งผู้อาวุโสคนหนึ่งมาที่ผาสุดขอบฟ้าเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว หนึ่งปีผ่านไป ผู้อาวุโสคนนั้นก็ยังไม่ได้กลับไปที่ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ ท่านคิดว่าผู้อาวุโสคนนั้นคือคนทำเรื่องทั้งหมดนี้หรือเปล่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาค้นพบสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิแล้ว และกลัวว่าเราจะพบเข้า พวกเขาก็เลย…”
หัวหน้ากลุ่มขมวดคิ้ว ร่างกายของเขายิ่งเย็นลงไปอีก นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้
ผู้อาวุโสที่หายไปจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจคือผู้อาวุโสฮุย แม้ว่าพลังของเขาจะไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เขาก็ยังมีพลังมากพอที่จะอยู่เหนือคนอื่นได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่หนึ่งในสิบสองตำหนักได้ส่งผู้อาวุโสไปที่ผาสุดขอบฟ้า และนั่นทำให้ตำหนักอื่นๆ ไม่พอใจ
พวกเขาร้องขอกันอย่างหนักให้ประมุขตำหนักเปลวเพลิงปีศาจเรียกผู้อาวุโสกลับมา แต่ประมุขตำหนักเปลวเพลิงปีศาจอ้างว่าผู้อาวุโสฮุยหายตัวไปเพื่อปฏิเสธการประท้วงจากตำหนักอื่นๆ
แต่ใครจะเชื่อคำพูดเหล่านั้น
ผู้อาวุโสของตำหนักแข็งแกร่งเพียงใด เป็นไปได้อย่างไรที่จู่ๆ จะหายตัวไปง่ายๆ เช่นนั้น
แทนที่จะพูดว่าผู้อาวุโสฮุยหายตัวไปจริงๆ บอกว่าตำหนักเปลวเพลิงปีศาจค้นพบเบาะแสสำคัญหรือพบสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิแล้ว เลยให้ผู้อาวุโสฮุยคอยดูแลสถานการณ์ที่นี่ยังจะน่าเชื่อกว่า!
ตอนที่ 1382 เริ่มการล่า (4)
ในขณะที่คนจากตำหนักนภาวิจิตรกำลังกังวลอย่างมากนั้น ร่างสองร่างยังคงซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ภายในหมอกหนา พวกเขาไม่ได้ถือสิ่งใดที่ให้แสงสว่างไว้ในมือเลย แต่ดูเหมือนว่าสายตาของพวกเขาสามารถมองทะลุผ่านหมอกลึกลับและมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
“เฮ้ ไอ้พวกโง่อีกกลุ่มมาหาเราถึงที่แล้ว” หนึ่งในผู้เยาว์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“อย่ามัวแต่เสียเวลาเลย” เสียงเย็นชาของผู้เยาว์อีกคนดังขึ้นในหูเขา
หมอกหนาที่ทำให้ผู้คนมองอะไรไม่เห็นนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เยาว์ทั้งสองคนนี้กลับเหมือนไม่มีมันอยู่เลย ไม่มีอะไรปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขาเลยสักนิด สายตาของพวกเขามองทะลุผ่านหมอกและเห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ท่าทางหวาดกลัวของคนจากตำหนักนภาวิจิตรสะท้อนให้เห็นชัดเจนในดวงตาของพวกเขา
“อย่าเพิ่งรีบร้อน โอกาสที่เราจะได้ต่อสู้หายากจะตาย ข้ารออยู่นานแล้ว งานสนุกๆ แบบนี้มักถูกเจ้าตัวร้ายพวกนั้นแย่งไปตลอด เดือนที่แล้วก็ไม่ถึงตาข้าเลย คันมือคันไม้อยู่นานแล้ว ท่านรู้หรือไม่”
ผู้เยาว์ที่เสียงเย็นชากวาดสายตามองสหายของเขา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกจนปัญญา
“เจ้าอยากเสียเวลากับคนพวกนี้ หรือจะรีบกลับไปเพิ่มพลังวิญญาณขั้นสุดท้ายของเจ้า ถ้าข้าจำไม่ผิด การฝึกฝนของเจ้าดูเหมือนจะช้าที่สุดในบรรดาพวกเราทุกคนนะ”
คำพูดเดียวของผู้เยาว์เสียงเย็นชาทำให้สหายของเขามีสีหน้าซึมเศร้าทันที
“ก็ได้ๆ ๆ! จริงๆ เลย พี่ฮวา ท่านจะชมข้าบ้างไม่ได้หรือไง ข้าไม่ได้พัฒนาช้าสักหน่อย พวกท่านต่างหากที่เร็วเหมือนปีศาจ! ข้าจะลงมือเดี๋ยวนี้แหละ ไปเล่านะ!” ผู้เยาว์ที่ซึมเศร้าบ่นอย่างไม่พอใจ ร่างของเขาพุ่งออกไปด้านหน้าทันที!
คนของตำหนักนภาวิจิตรที่กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่ได้สังเกตเลยว่าความตายใกล้ถึงตัวพวกเขาแล้ว!
ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของคนกลุ่มนั้น!
โลหิตอุ่นๆ พุ่งเป็นสายขึ้นไปในอากาศ แล้วตกลงมาเหมือนสายฝน!
บุรุษที่ยืนอยู่แถวหน้าไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเพียงว่าคนทั้งกลุ่มที่ถูกความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจอยู่แล้ว จู่ๆ ก็เกิดโกลาหลวุ่นวายขึ้น!
กลุ่มคนที่เงียบกันอยู่ก็มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวดังขึ้นคนมากกว่าร้อยตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย!
“ศัตรูโจมตี! ศัตรูโจมตี!” ใครบางคนในกลุ่มร้องตะโกนออกมา
หัวหน้ากลุ่มตกใจ เขาพยายามกดความกลัวในใจเอาไว้และตะโกนขึ้นว่า “ทุกคนตั้งสติไว้! อย่าตื่นตกใจ! พวกเรามีคนตั้งเยอะ ไม่ว่าใครจะมา เราก็จะทำให้มันไม่สามารถกลับไปได้!”
ตั้งแต่ตอนที่คำพูดกล้าหาญพวกนั้นออกจากปากเขา ความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ได้หยุดลงเลยสักวินาที
ผู้เยาว์ที่ยืนอยู่ในหมอกหนาเฝ้ามองสหายของเขาสร้างความวุ่นวายขึ้นในกลุ่มคนจากตำหนักนภาวิจิตรแล้วถอนหายใจเบาๆ แหวนภูติวิญญาณบนนิ้วของเขาเรืองแสงอ่อนๆ และขลุ่ยกระดูกสีขาวอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขา
จากนั้นชายหนุ่มก็จรดขลุ่ยที่ริมฝีปากของเขาอย่างใจเย็นและค่อยๆ เป่าทำนองเพลงอย่างช้าๆ
เสียงอันไพเราะของขลุ่ยดังก้องขึ้นในพื้นที่ว่างเปล่าภายใต้หมอกหนา ลอยล่องอยู่ท่ามกลางเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ฟังดูลึกลับอย่างมาก
คนของตำหนักนภาวิจิตรที่ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ย ความรู้สึกแปลกๆ ก็กระจายไปทั่วร่างทันที
ความกลัว ความตื่นตระหนก และความไม่สบายใจของพวกเขาดูเหมือนจะหายไปเมื่อได้ยินท่องทำนองจากเสียงขลุ่ยนั้น ความรู้สึกสบายๆ และขี้เกียจซึมเข้าไปในทุกเส้นประสาทของพวกเขา ทำให้ทุกคนพากันทิ้งดาบในมือโดยไม่รู้ตัว คนที่ต้องการเรียกภูติวิญญาณออกมาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงช้าๆ ทันใดนั้นแขนขาของพวกเขาก็รู้สึกหนักจนทนไม่ไหว จิตใจเหนื่อยล้าจนไม่อยากแม้แต่จะคิด ทุกอย่างตรงหน้าไม่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกต่อไป