ตอนที่ 2,044 : เผ่าพันธุ์ปีศาจ!
และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงหัวเราะน่าขนลุกดังขึ้น ก็ปรากฏร่างสิ่งมีชีวิต ที่ตัวเป็นคนแต่หัวเป็นวัวขึ้นเบื้องหน้าจูลู่ฉี ทั่วร่างพวกมันยังมีไอสีดำน่ากลัวแผ่ซ่านออกมา!
และตอนนี้เองจูลู่ฉีพลันตระหนักได้ว่า
นอกจากแผ่นฟ้าที่มืดมิดไร้ดาวกับจันทร์สีเลือดที่แดงฉานกลางนภาแล้ว ไม่ว่าจะพื้นที่เปลี่ยวร้างหรือต้นไม้แห้งตายโดยรอบ…ได้มลายหายไปหมดสิ้น! ตอนนี้คล้ายมันอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง!!
สัตว์ประหลาดเบื้องหน้าก็ใช้ดวงตากลมโตสีแดงฉานมองมาที่มันเขม็ง
“พะ…พวกเจ้าเป็นตัวอะไร!?”
มองไปยังอสูรกายเบื้องหน้า จูลู่ฉีอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวัดกลัวเกาะกุมจิตใจ ยังคล้ายมีไอเย็นขุมหนึ่งแล่นวาบไปทั่วไขสันหลัง นั่นเพราะอสูรกายเบื้องหน้าของมันให้ความรู้สึกอันตรายนัก!
อีกทั้งไอมารที่แผ่ซ่านไปทั่วกายของพวกมัน ก็เป็นไอมารที่บริสุทธิ์! ยังบริสุทธิ์ยิ่งกว่าไอมารของผู้ฝึกมารใดๆที่มันเคยพบพานมาชั่วชีวิต! กระทั่งมันที่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินยังมิอาจมีไอมารที่บริสุทธิ์ได้ถึงขนาดนี้!!
“มันเป็นมนุษย์จริงๆหรือ?”
เมื่อได้ยินคำถามของจูลู่ฉี อสูรกายประหลาดทั้ง 2 พลันหันมองหน้ากันด้วยสายตาตกใจ
“เมื่อครู่…มันถามว่าพวกเราเป็นตัวอะไรใช่หรือไม่?”
อสูรกายตัวหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ใช่”
อสูรกายอีกตัวกล่าวตอบ ทีท่าของมันก็แลดูตื่นเต้นไม่ต่างกัน “เมื่อครู่ข้าใช้มนตร์ดำสำรวจมันดู ค่อยพบว่าพลังปีศาจบนร่างมันนั้นช่างแปดเปื้อนนัก…ที่แท้มันเป็นมนุษย์!”
“มนุษย์! ไฉนมันมาปรากฏตัวอยู่ในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งได้กัน!? หรือมันจะมาจากแดนเซียนในตำนานโบราณ!?”
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่านอกเหนือจากแดนสวรรค์และระนาบโลกียะอื่นๆแล้ว มีเพียงดินแดนเซียนที่มีอาณาเขตติดกับดินแดนที่ถูกทอดทิ้งของพวกเราเท่านั้นที่มีมนุษย์อาศัยอยู่!!”
“แต่มิใช่ว่าระหว่างดินแดนที่ถูกทอดทิ้งของพวกเรากับแดนเซียนในตำนานนั่นมีม่านพลังมิติกั้นขวางอยู่หรือไร!? ยอดฝีมือของดินแดนที่ถูกทอดทิ้งเราได้ทุ่มกำลังทำลายม่านพลังนั่นมากว่าร้อยพันปีแล้ว แต่ก็ยังมิมีผู้ใดประสบความสำเร็จในการทำลายมันได้”
“หรือว่า…มนุษย์ผู้นี้มันพบรอยแยกของมิติ และหลงมาจากแดนเซียนจริงๆ!?”
……
อสูรกายมนุษย์หัววัวทั้งคู่สนทนากันราวกับที่นี่ไร้บุคคลที่ 3 ดำรงอยู่ และวาจาของพวกมันก็ทำให้จูลู่ฉีสับสนไม่น้อย มันเองย่อมได้ยินเรื่องราวของระนาบเทวโลกและระนาบโลกียะมาแล้ว
และนั่นก็คือแดนสวรรค์กับแดนมนุษย์ที่มันดำรงอยู่
ทว่าคำ ‘ดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง’ กับ ‘แดนเซียน’ นั้น มันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
แต่แน่นอนว่ามันยังตระหนักได้รางๆ
คำแดนเซียนที่อสูรกายประหลาด 2 ตัวนี้กล่าวถึง ไม่พ้นต้องเป็นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าของมันแน่!
แต่คำดินแดนที่ถูกทอดทิ้งนั่น…แม้มันจะอยู่มาเนิ่นนาน แต่มันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ที่ไหนมาก่อน!
“พวกเจ้ามิใช่มนุษย์งั้นหรือ? แล้วพวกเจ้าที่แท้เป็นตัวอะไร!?”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง จูลู่ฉีรวบรวมความกล้ากล่าวถามออกไปตรงๆ มันอยากรู้นักว่าอสูรกายประหลาดเบื้องหน้าทั้ง 2 ที่แท้เป็นตัวอะไรกันแน่
ฟังจากบทสนทนาของพวกมันแล้ว ดูท่าพวกมันจะไม่ใช่มนุษย์!
ยิ่งไปกว่านั้นจูลู่ฉีไม่คิดว่าพวกมันจะเป็นสัตว์เซียน!
ปกติแล้วสัตว์เซียนกระทั่งสัตว์อสูรปีศาจ เมื่อสามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว หากไม่อยู่ในร่างมนุษย์ ก็จะอยู่ในรูปลักษณ์เดิมเท่านั้น ไม่ใช่อยู่ในรูปลักษณ์ครึ่งๆกลางๆแบบนี้
นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มันพบพานกับสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างเหมือนคนแต่หัวเป็นวัว!
กระทั่งไม่ใช่แค่พบพานครั้งแรกเท่านั้น มันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์เช่นนี้ดำรงอยู่
“เมื่อครู่ มันถามว่าพวกเราเป็นตัวอะไรงั้นหรือ?”
อสูรกายทั้ง 2 เริ่มคุยกันอีกครั้ง
“อะไร มันไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ปีศาจ’ อย่างพวกเรามาก่อนงั้นหรือ?”
“อา…ข้าเดาว่ามันสมควรไม่เคยได้ยินเรื่องปีศาจอย่างเราๆมาก่อนแน่…”
“กระทั่งเรื่องที่พวกเราเป็นปีศาจมันยังไม่รู้…เช่นนั้นมันย่อมไม่รู้ว่าพวกเราคือเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวน่ะสิ! บัดซบ! ปีศาจวัวเกรียงไกรยิ่งใหญ่มันกลับไม่รู้จักได้อย่างไร? สมควรตาย!!”
“มันไม่รู้แน่แล้วจริงๆ หาไม่ป่านนี้มันต้องคุกเข่าลง!!”
บทสนทนาระหว่างอสูรกายครึ่งคนครึ่งวัวล้วนดังเข้าหูจูลู่ฉีชัดเจน และนั่นทำให้สีหน้าท่าทางของจูลู่ฉีเปลี่ยนไปมหันต์
“ปีศาจ? พวกเจ้าเป็นปีศาจเช่นนั้นหรือ?!”
จูลู่ฉีมองอสูรกายเบื้องหน้าด้วยสองตาเบิกโพลงปานเห็นผี “หากพวกเจ้าเป็นปีศาจ…เช่นนั้นสถานที่แห่งนี้ก็มิใช่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้วจริงๆ แต่เป็นแดนเนรเทศในตำนานงั้นหรือ!?”
จูลู่ฉีได้รับทราบถึงเรื่องราวของแดนเนรเทศมากจากหอตำราในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว 1 ใน 4 แท่นบูชาจตุรลักษณ์
นอกจากการบ่มเพาะฝึกฝนแล้ว มันชมชอบอ่านบันทึกเรื่องราวต่างๆ
และตอนที่อยู่ในแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว มันก็เคยอ่านเจอเรื่องราวของแดนเนรเทศในบันทึกโบราณเล่มหนึ่ง
จากตำนานกล่าวไว้ว่า ในอดีตกาลเนิ่นนานกว่าแสนปีมาแล้ว…ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเคยทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ!
กล่าวกันว่าในยุคนั้น อยู่ๆก็ปรากฏปีศาจต่างปรากฏตัวออกมาบุกรุกดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอย่างที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว!
และในยุคนั้นถูกเรียกขานว่า ยุคมนุษย์ปีศาจ!
และสถานที่ๆเผ่าพันธุ์ปีศาจจากมา ผู้คนพากันเรียกว่าดินแดนเนรเทศ!
ในยุคมนุษย์ปีศาจนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์แทบจะถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจฆ่าล้างในมหาสงครามหมดสิ้น!
ในมหาสงครามดังกล่าว ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วฝ่ายมนุษย์จะเป็นฝ่ายเอาชนะมาได้ แต่ก็ต้องพบกับการสูญเสียไม่น้อย! ผู้ที่ไม่ใช่ชนชั้นยอดฝีมือถูกฆ่าราวผักปลา! ทั้งหมดเป็นได้แค่อาหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!!
ในช่วงเวลานั้น 3 ลัทธิก็พึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมา
กระทั่งผู้ฝึกมารก็เริ่มถือกำเนิด
ผู้ฝึกมารนั้น เป็นส่วนหนึ่งของผู้ฝึกตนในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ที่ได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังของปีศาจที่ตกตายในการสู้รบ และด้วยเห็นว่าสามารถเพิ่มพูนพลังฝึกปรือได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาจึงเริ่มแพร่หลายออกไป กระทั่งมีการคิดค้นเคล็ดบ่มเพาะพลังโดยอาศัยแนวทางของเหล่าปีศาจผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด…
มหาสงครามรบราฆ่าฟันกันนานนับปี สุดท้ายเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ได้ถอยร่นกลับไปยังแดนเนรเทศ และพวกมันก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ทำให้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหวนคืนสู่ความสงบ ทำให้ผู้คนก็ค่อยๆลืมเลือนเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เข้ามารุกรานไปตามกาลเวลา
หลังจากนั้นดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค
และในปัจจุบันเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและแดนเนรเทศ ก็แทบถูกผู้คนลืมเลือนไปหมดสิ้น คงเหลืออยู่แต่ในบันทึกของ 3 ลัทธิที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ช่วงเวลานั้นเท่านั้น…
‘ตำนานกล่าวไว้ว่า…ย้อนกลับไปในอดีตกาล เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ใช้เวลานับล้านปีกว่าจะสามารถจัดตั้งค่ายกลปีศาจอันทรงพลัง ถึงขั้นทำลายกำแพงมิติกั้นแดน ระหว่างแดนเนรเทศกับดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้’
จู่ลู่ฉีเริ่มนึกย้อนถึงเรื่องราวในบันทึกที่เคยอ่านมา
‘ต่อมาเมื่อสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจเริ่มต้นขึ้น แม้จะประสบกับความสูญเสียถึงขั้นแทบสิ้นเผ่าพันธุ์ แต่ในที่สุดผู้ฝึกตนชนชั้นสุดยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ปรากฏตัวออกมาจากทุกมุมโลก และร่วมมือกันเอาชนะเผ่าพันธุ์ปีศาจ จนสามารถรุกไล่พวกมันให้ถอยร่นกลับแดนเนรเทศไปได้ในที่สุด…จากนั้นสุดยอดฝีมือในยุคนั้นก็ได้สละชีวิต เพื่อสร้างค่ายกลผนึกอันทรงพลัง จนสามารถผนึกกำแพงมิติกั้นแดนเอาไว้ได้สำเร็จ…ปิดฉากกลียุคไว้เพียงเท่านี้’
‘เห็นว่าผนึกนั่นแข็งแกร่งนัก หากเผ่าพันธุ์ปีศาจคิดจะกลับมาอีกครั้งก็จำต้องใช้เวลานับล้านปีในการทำลายผนึก…แต่มิใช่ว่ายุคมนุษย์ปีศาจพึ่งผ่านไปได้ไม่กี่แสนปีหรือไร! ไฉนข้าถึงหลุดมาที่นี่ได้’
‘หรือนี่ข้า…จะบังเอิญตกเข้าไปในรอยแยกมิติ ในระหว่างที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามแดนทำงาน…จนถูกส่งมาแดนเนรเทศของเผ่าพันธุ์ปีศาจจริงๆ?’
คิดถึงจุดนี้สีหน้าจูลู่ฉีก็อัปลักษณ์ปั้นยากนัก
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีววันที่มันดวงซวยได้ถึงขั้นนี้!
แดนเนรเทศแห่งนี้ ไม่ใช่สถานที่ๆมันควรอยู่!
“ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!?”
ขณะเดียวกันด้านอสูรกายอัปลักษณ์ทั้ง 2 เมื่อได้ยินคำอุทานของจูลู่ฉี พวกมันก็หันไปมองจูลู่ฉีด้วยสองตาเบิกกว้าง!
“ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรือ!? ข้าจำได้ว่านั่นคือชื่อทวีปที่ใหญ่ที่สุดในแดนเซียน!!”
“ดูเหมือนว่าเจ้านี่จักมาจากแดนเซียนแล้วจริงๆ…พวกเราจับมันกลับไปเผ่าปีศาจวัวของพวกเราเถอะ! บางทีพวกเราอาจพบหนทางเข้าสู่แดนเซียนของมันได้!!”
“ตำนานกล่าวไว้ว่าแดนเซียนนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก มากล้นไปด้วยทรัพยากรมากมาย สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของพวกมันดีกว่าของพวกเราหลายเท่า! พวกมันยังมีแม้กระทั่งหินเซียนทั้งชีพจรเซียน!!”
อสูรกายหัววัวเมื่อคุยกันถึงจุดนี้ พวกมันก็มองจูลู่ฉีด้วยสายตาลุกวาวเจิดจ้า ทำราวกับมองสมบัติชั้นยอด!
และไม่ทันที่พวกมันจะกล่าวจบคำ ร่างจูลู่ฉีก็ปะทุพลังพุ่งร่างหลบหนีไปทันที!
อย่างไรก็ตามจูลู่ฉีพึ่งทะยานร่างออกไปได้ไม่ทันไร อสูรกายตัวเขื่องก็วูบมาดั่งเงาเลือน มือใหญ่โตของมันคว้าจับร่างจูลู่ฉีเอาไว้ปานพญาอินทรีย์จับลูกไก่!
ความแข็งแกร่งของทั้งคู่ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง!
อสูรกายทั้ง 2 แต่ละตัวล้วนสูงราว 3 หมี่! ตอนนี้หนึ่งในนั้นก็หอบหิ้วจูลู่ฉีเอาไว้ราวถือกระเป๋า!!
“ไป! พามันกลับไปที่เผ่าเรา!!”
หลังจากนั้นจูลู่ฉีก็ได้แต่ถูกปีศาจวัวทั้ง 2 จับตัวกลับไปอย่างไร้ซึ่งหนทางต่อต้านใดๆ
ฟังจากบทสนทนาของพวกมันแล้ว จูลู่ฉีก็ทราบได้ทันทีว่าปีศาจที่จับตัวมัน ก็คือปีศาจจากเผ่าพันธุ์ปีศาจวัว
‘ต้วนหลิงเทียน ขออภัยด้วยแต่ข้าคงมิอาจไปส่งข่าวให้บิดาเจ้าได้แล้ว…’
เมื่อถูกปีศาจวัวจับตัวแบบนี้ จูลู่ฉีมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าหลังถูกอีกฝ่ายล้วงความลับแล้ว…มันต้องตายแน่! และคงไม่อาจไปส่งข่าวให้ต้วนหลิงเทียนได้อีกต่อไป!!
ตอนนี้มันได้แต่หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะรู้ตัวโดยไว และเร่งย้อนไปภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพื่อส่งข่าวด้วยตัวเอง…
แต่แน่นอนว่ามันรู้ดีว่าเรื่องนั้นแทบเป็นไปไม่ได้
ดั่งคำกล่าว “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด”
เพราะในขณะที่จูลู่ฉีถูกปีศาจวัวจับตัวไปยังเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวนั้น
อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬหลี่อัน ก็ได้นำพาคนของหยางชงอาวุโส 5 แห่งวังอุดรไพศาลมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อย่างสวัสดิภาพ!
“ข้าน้อยคารวะไต้เท้าทุกท่าน”
เมื่อผู้เฝ้ามองที่เป็นดั่งผู้พิทักษ์ภูมิภาคเบื้องล่าง พบเจอคณะเดินทางของหลี่อัน มันก็เร่งประสานมือคารวะด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อมทันที
เพราะมันก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนภาเท่านั้น
แต่กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้ามัน…ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว!
เรื่องนี้ในฐานะที่เป็นคนของขุมพลังชั้น 1 มันย่อมสัมผัสได้ไม่ยาก
“เจ้าเคยเห็นคนผู้นี้หรือไม่?”
หลี่อันกล่าวพร้อมยกมือขึ้นมาคลี่รูปวาดม้วนหนึ่ง
ในรูปเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา
คนที่อยู่ในรูปวาดก็คือ โฉมหน้าที่ต้วนหลิงเทียนได้ปลอมแปลงไปเข้าร่วมกับลัทธิบูชาไฟ
“มันอาจเป็นคนของภูมิภาคเบื้องล่าง และถ้ามันเป็นคนของภูมิภาคเบื้องล่าง หมายความว่าเจ้าย่อมต้องเคยพบเจอมัน”
หลี่อันกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าไอพลังของมันก็เพาะสร้างเป็นแรงกดดันไร้สภาพอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งกดทับไปยังร่างชายชราอันเป็นผู้เฝ้ามองของภูมิภาคเบื้องล่าง จนทำให้สีหน้าคนซีดลงถนัดตา ผู้ชราเร่งส่ายหัวกล่าวคำ “ข้าน้อยมิเคยพบเห็นมันมาก่อนเลยใต้เท้า”
และวาจาที่มันกล่าวก็เป็นความจริง
“มันเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน …เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่เคยพบเจอมันมาก่อน?”
หลี่อันกล่าวถามออกมาอีกครั้ง
“ต้วนหลิงเทียน?”
ทว่าหลังได้ยินชื่อนี้ ผู้เฝ้ามองอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ในแววตาเผยประกายสับสนระคนประหลาดใจออกมาทันที