เมื่อวานเสด็จพ่อเรียกเขากับพี่เจ็ดเข้าวัง เพราะต้องการเลือกระหว่างเขากับพี่เจ็ดว่าจะให้ใครเป็นโอรสในฮองเฮา ทว่าเขากลับทำอะไรแบบนั้นไป…
เขากลับไปอีกครั้ง พร้อมกับบอกเสด็จพ่อโดยอ้างว่าเพราะความฝันภายในสามปีนี้เขาจึงไม่อยากมีภรรยา!
พอคิดถึงตรงนี้ เซียงอ๋องก็อยากจะตีตัวเองให้ตายเพราะความใจร้อน
ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทำไมเขาถึงรนหาที่ตาย ตัดอนาคตตัวเองเสียงเช่นนั้น ถ้าวันนี้องค์ชายที่ได้อยู่ภายใต้นามของฮองเฮาคือเขา เขาก็มีคุณสมบัติที่จะแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว
สำหรับตำแหน่งนั้น ครั้งแรกที่ไท่จื่อถูกปลดเซียงอ๋องก็แอบเพ้อฝันอยู่เงียบๆ
เขารู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝันเท่านั้น
เขาก็แค่องค์ชายที่เกิดมามีพระมารดาฐานะต่ำต้อยแถมยังอายุน้อยที่สุด นอกเสียจากว่าเหล่าพี่ชายทั้งหลายจะตายก่อน ตำแหน่งถึงจะวนมาถึงเขา
แล้วเจ้าพวกที่มีเจตนาอยู่ในใจมากมายจะตายได้งั้นหรือ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้
จนกระทั่งไท่จื่อได้ตำแหน่งคืนมาอีกครั้งและก็เสียชีวิตไป เซียงอ๋องก็ไม่กล้าแม้แต่จะเพ้อฝันอีก จึงตัดสินใจร่วมมือกับฉีอ๋อง ในอนาคตหากได้รับประโยชน์ไปด้วยก็ถือว่าไม่เลว
แต่กลับกลายเป็นว่า จู่ๆ ก็มีโอกาสที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดมาวางอยู่ตรงหน้าเขา ทว่าเขากลับพลาดมันไปต่อหน้าต่อตา…
ไม่ถูก!
ด้วยความตกใจ ความแค้นเคืองหลากหลายอารมณ์ทำให้สมองอันโง่เขลาของเซียงอ๋องโลดแล่น ไอสังหารปะทุขึ้นมาทันที
ที่เขาพลาดโอกาสไปก็เพราะพี่เจ็ดที่สมควรตาย!
ถ้าหากพี่เจ็ดไม่พูดถึงเรื่องชุยหมิงเย่ว์ เขาจะวิ่งหน้าตั้งกลับไปหาเสด็จพ่อเพื่อพูดเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร
เซียงอ๋องจ้องอวี้จิ่นเขม็ง แทบจะมีไฟลุกออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
พี่เจ็ดชาติชั่วจะต้องรู้แผนของเสด็จพ่อแต่แรกแล้วแน่ๆ ถึงได้วางแผนทำร้ายเขา!
ณ เวลานี้เซียงอ๋องอยากจะแล่เนื้อเอาเกลือทาองค์ชายเจ็ด
ตอนนี้แม้ทุกคนในท้องพระโรงจะมีสีหน้าแปลกประหลาด ทว่าเซียงอ๋องนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว
หลู่อ๋องคิดในใจ เหตุใดเจ้าแปดทำถึงท่าทางเหมือนกับถูกฟ้าผ่าลงกลางอกขนาดนั้น จิ๊จิ๊ เก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่จริงๆ เลย ดูอย่างเขาสิได้รับความไม่ยุติธรรมใหญ่โตเช่นนี้ เขายังไม่ว่าอะไรเลย
พอฉีอ๋องได้สติกลับมา ก็แอบสะกิดเซียงอ๋องเงียบๆ
น้องแปดผิดปกติเล็กน้อย
เซียงอ๋องถึงได้สติกลับมา แม้ว่าในใจจะโกรธแค้นมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ หากเขาพุ่งเข้าไปชกต่อยกับพี่เจ็ด เกรงว่าคงจะถูกปลดเป็นจวิ้นอ๋องเหมือนกับพี่ห้า
อวี้จิ่นรักษาท่าทีแปลกใจได้อย่างเหมาะเจาะพอดี จนกระทั่งจิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ “องค์ชายเจ็ด หลังจากจบการว่าราชการเจ้าก็ไปน้อมคำนับฮองเฮาซะ”
อวี้จิ่นประสานมือคารวะ “พ่ะย่ะค่ะ”
เห็นเขาตอบรับเช่นนี้ เหล่าขุนนางราวกับเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ ท้องพระโรงวุ่นวายขึ้นมาทันที
เสนาบดีกรมพิธีการเดินออกจากแถว เหงื่อท่วมใบหน้า “ฝ่าบาท นี่ นี่มันไม่ต้องปรึกษากันอีกทีหรือพ่ะ…”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท มันฉุกละหุกไปเล็กน้อย…” มีขุนนางสองสามท่านทยอยออกมาพูดเสริม
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาฟัง ยิ้มเย้าะอยู่เงียบๆ
ปรึกษาบ้าบออะไร หากปรึกษากับตาแก่พวกนี้ อย่างน้อยคงต้องรอสองถึงสามเดือนถึงจะตกลงเรื่องนี้ได้
แม้ว่าจะผ่านมาสิบกว่าปี ทว่าเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ไทเฮาเสนออกมาว่าอยากรับเลี้ยงองค์ชายท่านหนึ่ง กษัตริย์องค์ก่อนได้เรียกรวมขุนนางที่สำคัญมาหารือด้วยเป็นเวลาเกือบครึ่งปีกว่าจะยุติข้อพิพาทลงได้
ต่อจากนี้ไปเขาไม่อยากให้ทุกครั้งที่ว่าราชการนั้นเหมือนกับอยู่ในตลาดสด แทบไม่มีความสงบเลย
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระแอมเสียงออกมา ทว่าเหล่าขุนนางที่กำลังกระวนกระวายใจไหนเลยจะได้ยิน ยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
“อ้ายชิงทุกท่านฟังข้าสักประเดี๋ยว” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสเสียงสูง ท้องพระโรงกลับสู่ความเงียบเป็นปกติ
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระแอมเสียง ตรัสพูดอย่างไม่รีบร้อน “ยังไงนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวข้า วันนี้ข้าเพียงมาบอกอ้ายชิงทุกท่านให้ทราบจงเหรินลิ่งได้เปลี่ยนผังวงศ์ตระกูลให้เยี่ยนอ๋องอยู่ภายใต้นามของฮองเฮาแล้ว…”
ด้วยแววตาดุร้ายจากเหล่าขุนนางที่มองมา ทำเอาเหล่าจงเหรินลิ่งแทบทรุดลง
ครั้งนี้ต้องอดทนแล้ว จากนี้ไปหากฝ่าบาทจะทำเรื่องแบบนี้อีก ไม่ว่าจงเหรินลิ่งจะมีประโยชน์ขนาดไหนเขาก็ไม่เป็นแล้ว ใครอยากเป็นก็เป็นเลย!
เหล่าจงเหรินลิ่งนึกภาพออกเลยว่าหลังจากว่าราชการเสร็จเขาจะถูกรุมโจมตีอย่างไร
ไม่ทันได้ให้เวลาเหล่าขุนนางร้องห่มร้องไห้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองพานไห่
พานไห่เข้าใจได้ทันที พลางตะเบ็งเสียงลั่นออกไป “เสร็จสิ้นการว่าราชการ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่พร้อมจะวิ่งออกไปทันทีเมื่อคำพูดนี้เปล่งออกมา เหลือเพียงเหล่าขุนนางที่ตะลึงตาค้างอยู่ ผ่านไปสักพักถึงได้มีแรงกลับมา
ฝ่าบาทประกาศเรื่องสำคัญเช่นนี้เสร็จแล้วก็หนีไปแบบนี้เลยหรือ
เหล่าจงเหรินลิ่งดูสถานการณ์แล้วก็กำลังจะย่องออกไป ทว่าจะทำอย่างไรได้เนื่องจากร่างกายที่หนักอึ้งเป็นตัวถ่วง เดินไปได้ครึ่งก้าวก็ถูกเหล่าขุนนางล้อมไว้
“จงลิ่ง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ตกลงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินเหล่าขุนนางตำหนิติเตียนเหล่าจงเหรินลิ่งได้แต่รู้สึกเจ็บใจ
เจ้าโง่พวกนี้คิดว่าฝ่าบาทมาหาเขาเพื่อปรึกษางั้นหรือ เขาต่างหากที่เป็นคนแรกที่รู้เรื่อง เป็นคนแรกที่น้ำท่วมปาก เป็นคนแรกที่ต้องมาอัดอั้นใจ!
แต่ก็มีขุนนางที่มีปฏิภาณไหวพริบเดินเข้าไป ยกกำปั้นคารวะอวี้จิ่นพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะเยี่ยนอ๋อง”
อวี้จิ่นพูดขอบใจอย่างไม่แยแส จากนั้นก็มีข้าหลวงพาเขาไปน้อมทักฮองเฮา
หลู่อ๋องยื่นมือออกไปโบกตรงหน้าเซียงอ๋องไปมา “เลิกดูเถอะ เจ้าตัวเขาเดินไปไกลแล้ว”
เจ้าแปดไม่น่าจะได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรงขนาดนี้ ยังเด็กอยู่เลย
“ไปเถอะ” น้ำเสียงฉีอ๋องฟังดูขมขื่น พยายามไม่แสดงความผิดปกติออกมาอย่างสุดความสามารถ
องค์ชายแต่ละองค์ทยอยกันเดินออกไป แม้ว่าทุกคนจะอยากไปหาพระมารดาของแต่ละคนเพื่อสืบข่าว ทว่าก็เข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม จึงทำได้เพียงเก็บความอยากรู้อยากเห็น ณ ตอนนั้นแล้วกลับจวน
จวนอ๋องตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน คนที่เหลือจึงกลับไปในทางเดียวกัน
ระหว่างทางบรรยากาศแปลกประหลาดเล็กน้อย ขณะที่ใกล้จะถึงเซียงอ๋องก็เอ่ยพูดเสียงเบา “พี่สี่ ข้าอยากไปนั่งพักที่จวนท่านสักหน่อย”
ฉีอ๋องงงงัน พยักหน้าลงเล็กน้อยจากนั้นฝืนยิ้มถามฉินอ๋อง หลู่อ๋องและสู่อ๋องออกไป “ทุกคนจะไปด้วยหรือไม่”
“ไม่ล่ะ” สู่อ๋องตอบก่อน คำนับแล้วเดินไปที่จวนสู่อ๋อง
เดิมหลู่อ๋องก็ไม่ได้ต้อนรับฉีอ๋อง แน่นอนว่าคงไม่ไปร่วมรื่นเริงด้วยแน่ ส่วนฉินอ๋องผู้ที่เงียบสุขุมมากที่สุดแน่นอนว่าก็ปฏิเสธไป สุดท้ายก็เหลือเพียงเซียงอ๋องที่ตามฉีอ๋องกลับไปที่จวนฉีอ๋อง
เมื่อบ่าวรับใช้ถอยออกไป เซียงอ๋องก็ทุบโต๊ะลงอย่างแรง “พี่สี่ เจ้าเจ็ดชาติชั่วนั่นวางแผนคิดร้ายต่อข้า!”
ฉีอ๋องสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “เหตุใดน้องแปดถึงพูดเช่นนี้”
เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ข้างๆ อารมณ์ของเซียงอ๋องก็คุกรุ่นขึ้นมาเล็กน้อย สักพักก็เอามือลูบหน้าอย่างแรงพลางเอ่ยขึ้น “เมื่อวาน…เสด็จพ่อเรียกข้ากับพี่เจ็ดเข้าวังไปพร้อมกัน ฮองเฮาก็อยู่ด้วย…”
ฉีอ๋องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกตกตะลึง
เซียงอ๋องหลับตาลง กัดฟันพูด “ดูจากเมื่อครู่ เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นเพราะเรื่องของวันนี้”
“เจ้าเจ็ดวางแผนคิดร้ายต่อเจ้าอย่างไร”
เซียงอ๋องลำบากใจเล็กน้อย ทว่าตอนนี้ถูกอวี้จิ่นหลอกลวงจนหมดโอกาสขึ้นที่สูงอีกครั้ง ทำได้เพียงฝากความหวังว่าฉีอ๋องจะช่วยขจัดความอัปยศนี้ให้เขาได้ เช่นนั้นจึงเล่าเรื่องที่อวี้จิ่นจงใจแกล้งออกมา
“พี่สี่ เมื่อก่อนพวกเราล้วนประเมินพี่เจ็ดต่ำไป เขาต่างหากที่เป็นภัยอันใหญ่หลวงของท่าน!”
ฉีอ๋องเห็นแววตาโกรธแค้นของเซียงอ๋องในดวงตาของเขา จากนั้นจึงทอดถอนใจออกมา “ใช่ เจ้าเจ็ดไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ในอนาคตยังต้องมีน้องแปดคอยช่วย พวกเราพี่น้องร่วมมือร่วมใจกัน อย่าปล่อยให้เจ้าเจ็ดมันได้ใจไป”
เซียงอ๋องประสานมือคารวะขึ้นมาทันควัน “พี่สี่วางใจได้ น้องชายคนนี้จะพยายามช่วยท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่เจ็ดจะต้องไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบสุขแน่นอน!”
ฉีอ๋องกับเซียงอ๋องไม่เคยพร้อมใจกันเห็นอวี้จิ่นเป็นหนามยอกอกเช่นนี้มาก่อน เวลานี้แม้แต่สู่อ๋องก็ต้องถอย
เซียงอ๋องดื่มชาไปสี่แก้วเต็มๆ แล้วถึงได้กลับไปยังจวนเซียงอ๋องด้วยความอกสั่นขวัญหาย
……
หลังจากจิ่งหมิงฮ่องเต้ว่าราชการเสร็จก็เตรียมมุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนหนิง อยากจะเห็นภาพความเมตตาที่แม่มีต่อลูกและความกตัญญูที่ลูกมีต่อแม่ พานไห่เอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท เรื่องของเยี่ยนอ๋องต้องบอกให้เสียนเฟยเหนียงเหนียงรับทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักฝีเท้า
หืม เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย