ตอนที่ 196 สืบเรื่องแม่เลี้ยง

เดือนสิบเอ็ด อากาศเย็นขึ้นแล้ว เจ้าซาลาเปาน้อยสองคนซุกอยู่ในกองผ้าห่มไม่ยอมลุก เฉียวเวยไปเรียก ทั้งสองคนก็ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มกลิ้งไปด้านในเตียง เฉียวเวยขำ นางปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วคว้าเด็กทั้งสองในผ้าห่มออกมาด้วยมือคนละข้าง หลังจากนั้นจึงเดินไปยังราวพาด หยิบอาภรณ์ของทั้งสองคนมา “จะใส่เอง…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค หันกลับมาก็พบว่าไม่มีเงาของเจ้าตัวจ้อยทั้งสองคนในห้องแล้ว!

เฉียวเวยหรี่ตาลง ก้าวยาวพรวดดั่งดาวตกกลับไปที่ห้อง

จีหมิงซิวนั่งอ่านหนังสืออย่างผ่อนคลายอยู่ตรงหัวเตียง ผ้าห่มคลุมมาถึงเอว

“จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่า” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิวตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไม่เห็นนะ”

พูดจบก็ชี้ก้อนกลมๆ สองก้อนที่นูนขึ้นมาจากใต้ผ้าห่ม

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนยังไม่รู้ว่าตนเองถูกบิดาขายเสียแล้ว พวกเขาคิดว่าซ่อนตัวได้ดียิ่งนัก จึงขยับก้นดุ๊กดิ๊กอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในผ้าห่ม

เฉียวเวยทั้งฉิวทั้งขัน ซ่อนตัวเช่นนี้ยังจะกระหยิ่มยิ้มย่องอีกหรือ ไอคิวเท่าไรกันหืม

ยิ่งโตก็ยิ่งมีความคิดเป็นของตนเองจริงๆ เริ่มเรียนรู้หาวิธีโอ้เอ้บนเตียงเสียแล้ว

วั่งซูโอ้เอ้บนเตียงไม่แปลก สาวน้อยคนนี้หนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวัน ตื่นเช้าได้ห้าวันก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว แต่จิ่งอวิ๋นเป็นวิหคตื่นเช้ามาตลอด ยามนี้กลับกลายเป็นหนอนน้อยจอมขี้เกียจบ้างแล้วหรือ

ทานอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเวยก็เรียกจีหมิงซิวไว้ “ขอปรึกษาเรื่องหนึ่งกับท่านหน่อย”

จีหมิงซิวกุมมือนาง แล้วบีบเบาๆ “เรื่องใด”

เฉียวเวยรู้สึกว่าตรงที่ถูกบีบคันยุบยิบจึงชักมือกลับมา แต่ก็ถูกเขาคว้ากลับไปอีก “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจะเอาแต่เล่นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเขาต้องไปเรียน อยู่ในหมู่บ้านพวกเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่า ที่นี่ข้าไม่รู้ว่าตระกูลจีต้องไปสำนักศึกษาหรือว่า…ร่ำเรียนในตระกูล”

“ในจวนมีอาจารย์” จีหมิงซิวบอก

เฉียวเวยฉงนเล็กน้อย “ข้ามาอยู่หนึ่งเดือนแล้ว เหตุไฉนจึงไม่เคยพบหน้าเลยเล่า”

จีหมิงซิวตอบว่า “ในจวนปกติมีเพียงหลิวเกอร์เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว ระยะนี้หลิวเกอร์ล้มป่วยอยู่ตลอด พวกเขาจึงไม่ได้มา”

“ท่านต้องการให้จิ่งอวิ๋นวั่งซูเรียนกับหลิวเกอร์หรือ” นางไม่ได้เกลียดชังหลิวเกอร์ แต่เด็กคนนั้นอ่อนแอปานนั้น นางกลัววว่าวั่งซูตบเขาฝ่ามือเดียวก็อาจทำเด็กคนนั้นแตกได้ หากไม่เรียนกับหลิวเกอร์ จ้างอาจารย์มาต่างหากก็จะไม่ค่อยดีนัก “มีสำนักศึกษาหรือไม่ ข้าคิดว่าเด็กๆ ได้เข้าสงคมมากหน่อยจะดีกว่า”

แขนของจีหมิงซิวโอบเอวบอบบางของนาง “สำนักศึกษาก็มีอยู่ แต่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูอายุน้อยเกินไป สำนักศึกษาล้วนมีแต่เด็กที่โตกว่าพวกเขา”

เฉียวเวยเอนพิงบ่าที่เปี่ยมพละกำลังของเขา ลูบหน้าอกเขาอย่างไม่ทราบเจตนา “เรื่องนี้ไม่เป็นอะไร ตอนอยู่ในสำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่า พวกเขาก็เป็นคนที่เด็กที่สุด เด็กคนอื่นล้วนโตกว่าพวกเขาหลายปี”

จีหมิงซิวมองมือที่ไม่สำรวมมากขึ้นทุกทีของนาง แล้วหรี่ตาลงมองด้วยแววตาอันตราย “เจ้าสำนักเฉียว จะจุดไฟหรือ”

เฉียวเวยไม่มีท่าทางกลัวเกรง สองมือลูบไล้หน้าท้องแข็งแกร่งของเขา ขยำซ้าย ขยำขวา “ร่างกายข้าไม่ค่อยสะดวก ขออภัยด้วยนะ นายน้อยหมิง”

“ถ้าเช่นนั้นส่วนนี้สะดวกหรือไม่” สายตาตาหยอกเย้าของจีหมิงซิวจับจ้องมือเรียวยาวขาวผ่องของนาง

เฉียวเวยชะงัก หน้าแดงแปร๊ดรั้งมือกลับมาทันที “คนลามก!”

จีหมิงซิวเดินทางไปวังหลวงแล้ว ส่วนเฉียวเวยไปคารวะเหล่าไท่ไท่ที่เรือนลั่วเหมย

คนยังไม่ทันไปถึงก็ได้ยินเสียงจีเหล่าฮูหยินหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงของวั่งซู “ข้าไม่ได้ท่องผิดเสียหน่อย ท่านทวด ท่านหัวเราะอะไรหรือเจ้าคะ”

จีเหล่าฮูหยินหัวเราะลั่นอีกหน

เฉียวเวยเข้ามาในห้อง “ท่านย่าหัวเราะอะไรหรือเจ้าคะ เบิกบานใจถึงเพียงนี้”

จีเหล่าฮูหยินลำบากนักกว่าจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ “แม่หนูน้อยท่องบทกวีน่ะ”

ท่องสลับจับหัววัวมาแปะกับปากม้า ทำเอาเหล่าไท่ไท่ขำเกือบตาย

หลี่ซื่อ จีซวงกับสวินหลันล้วนอยู่กันพร้อมหน้า

ได้ยินว่าเมื่อคืนวานสวินหลันคุกเข่าอยู่ในลานครึ่งค่อนคืน คุกเข่าจนหัวเข่าบวม ดวงหน้าก็ซีดเซียว แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังงดงามจนน่าตะลึง

ช่างเป็นแม่เลี้ยงสาวผู้งามไร้ที่ติสามร้อยหกสิบองศาจริงเชียว!

“ท่านย่า ฮูหยิน อาสะใภ้รอง ท่านอา” เฉียวเวยเก็บความคิดในใจ แล้วคำนับคนที่นั่งอยู่

จีเหล่าฮูหยินให้สาวใช้พาเด็กทั้งสามคนออกไปแล้วจูงมือนางมานั่งด้านข้างตนเอง ตำแหน่งตรงนี้ ได้ยินมาว่าค่อนข้างมีความสำคัญ นอกจากจีหมิงซิว แม้แต่จีหว่านก็ยังเคยนั่งเพียงไม่กี่หน เฉียวเวยถูกเรียกมาเรือนลั่วเหมยหลายหนก็เพิ่งจะได้นั่งข้างเหล่าไท่ไท่เป็นหนแรก เห็นชัดว่า ‘ความอ่อนโยนใจกว้าง’ เมื่อคืนวานไม่ใช่ว่าจะไร้สิ่งตอบแทน

จีเหล่าฮูหยินตบเบาๆ บนหลังมือของเฉียวเวย “เพิ่งพูดถึงเจ้าอยู่พอดีเชียว เจ้าแต่งเข้าตระกูลจีมาหนึ่งเดือนแล้ว สมควรออกไปเดินเที่ยวข้างนอกเสียบ้าง อยากกลับไปเยี่ยมบ้านมารดาหรือไม่”

เฉียวเวยตอบอย่างไม่ลังเลสักเท่าใด “อยากเจ้าค่ะ”

จีเหล่าฮูหยินพยักหน้าแล้วคลี่ยิ้ม “ไม่เกรงใจสักนิดเลยจริงๆ ไปเถิด!”

เฉียวเวยยิ้มหวาน “”ขอบคุณท่านย่ายิ่งนัก!”

เฉียวเวยก้าวออกมาจากเรือนลั่วเหมย จากนั้นพาปี้เอ๋อร์ขึ้นมานั่งบนรถม้าของจวนตระกูลจี

ยากนักจะได้ออกจากบ้านสักหน ปี้เอ๋อร์ตื่นเต้นจนหุบปากไม่ลง “คุณหนู พวกเราจะไปเยี่ยมนายท่านที่หอหลิงจือหรือเจ้าคะ”

เฉียวเวยลูบกล้วยไม้หยกขาวบนศีรษะ “แน่นอนว่าไม่ใช่”

“ถ้าเช่นนั้นไปเยี่ยม…ฮูหยินสี่ที่จวนเอินปั๋วหรือ”

“ก็ไม่ใช่”

ปี้เอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย “ข้ารู้แล้ว ป้าหลัว!”

เฉียวเวยเลิกม่าน บอกกับสารถีว่า “โรงอิฐที่ฝั่งตะวันตกของเมือง”

“ขอรับ ฮูหยิน” สารถีตอบรับ

ปี้เอ๋อร์ถามอย่างไม่เข้าใจ “โรงอิฐคือที่ใด พวกเราจะไปที่นั่นทำสิ่งใดหรือ ฮูหยินต้องการซื้ออิฐหรือเจ้าคะ”

เฉียวเวยเกือบลืมไปเลยว่าปี้เอ๋อร์ไม่เคยไปมาก่อน นางหยิบเมล็ดแตงมาหนึ่งกำมือแล้วเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไปแล้วเจ้าก็รู้เอง”

ปี้เอ๋อร์คิดในใจ เหตุไฉนพูดจาเลียนแบบท่านเขยแล้วเล่า!

ทูตหนานฉู่มาเยือนทำให้ปิดถนนไปหลายเส้น พวกเขาจึงต้องอ้อมทาง ใช้เวลามากกว่าปกติครึ่งชั่วยาม แต่ก็ยังไปถึงโรงอิฐก่อนเที่ยงวัน

เฉียวเวยตรงดิ่งไปยังห้องรับรอง ผู้ดูแลฉิวกำลังตรวจสอบบัญชีของเดือนก่อนอยู่ เห็นเงาคนร่างหนึ่งก็ตกใจ คิดว่าเป็นลูกค้าคนใดมาเยี่ยมเยือนจึงกล่าวว่า “ท่านเชิญนั่งก่อนสักประเดี๋ยว”

เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างตามสบาย “ผู้ดูแลฉิวยุ่งมากหรือ”

ผู้ดูแลฉิวได้ยินเสียงนี้ ม่านตาพลันหดวูบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็นิ่งอึ้งไปทั้งตัว “เฉียวฮูหยิน ไม่ใช่สิ ตอนนี้สมควรเรียกว่าจีฮูหยินแล้ว จีฮูหยินเดินทางมาไกลมีธุระใดหรือ”

“ไม่มีเรื่องย่อมไม่ก้าวเข้าวัด” เฉียวเวยปัดฝุ่นบนฝ่ามือ จากนั้นหยิบถ้วยชาที่สาวใช้นำมาให้ขึ้นมาดื่ม แล้วเปิดปากเข้าตรงประเด็น “ข้ามาหานายท่านหก”

“โอ๊ะ คนงามน้อยคนใดคิดถึงนายท่านหกกันนี่”

นายท่านหกเดินออกมาจากในห้องบัญชี แล้วหัวเราะฮ่าๆ ประสานมือให้เฉียวเวย “ไม่พบกันนาน ฮูหยินสบายดีหรือไม่!”

เฉียวเวยถอนหายใจ “เกรงว่าจะสบายดี”

นายท่านหกส่งสายตาให้ผู้ดูแลฉิว ผู้ดูแลฉิวเข้าใจความนัยจึงลุกขึ้น ถอยออกไปพร้อมกับปี้เอ๋อร์และสาวใช้อีกสองสามคน

เมื่อภายในห้องไม่มีคนนอกแล้ว เฉียวเวยก็ไม่เสียเวลาอ้อมค้อมกับนายท่านหก นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ขอไม่ปิดบัง ข้ามาเยือนหนนี้ อยากจะไหว้วานนายท่านหกช่วยงานข้าสักเรื่อง”

นายท่านหกลูบพัดในมือ “เรื่องอะไรหรือ”

เฉียวเวยตอบ “ข้าอยากให้นายท่านหกสืบเรื่องคนผู้หนึ่ง”

“ผู้ใด” นายท่านหกถาม

“สวินหลัน”

“สวินหลันหรือ” นายท่านหกใช้พัดเคาะหน้าผากเบาๆ เมื่อแน่ใจว่าตนเองไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อนจึงถามขึ้นว่า “ผู้ใด”

เฉียวเวยตอบตามความจริง “ภรรยาใหม่ของพ่อสามีข้า”

นายท่านหกงุนงง “แม่เลี้ยงของอัครมหาเสนาบดีหรือ”

เฉียวเวยพยักหน้า “ไม่ผิด นางนั่นแหละ”

นายท่านหกไม่เข้าใจแล้ว “นางไม่ใช่แม่สามีของเจ้าหรือ เจ้าสืบเรื่องแม่สามีของเจ้าไปทำอันใด”

เฉียวเวยไม่ตอบ

นายท่านหกหรี่ตา “แม่สามีกลั่นแกล้งเจ้าหรือ”

“ข้ารู้สึกว่านางทำ แต่ข้าไม่มีหลักฐาน ดังนั้นข้าจึงมาหาท่าน” เฉียวเวยบอกพลางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง “เรื่องของนางข้าเขียนไว้บนนี้แล้ว นางมาตระกูลจีเมื่อตอนอายุหกขวบ อายุสิบสามจากไป เรื่องระหว่างที่นางอยู่ในตระกูลจี ท่านคงสืบไม่ได้ แต่หลังนางออกไปจากตระกูลจี ทุกเรื่องที่นางพบ ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก ข้าต้องการทราบทั้งหมด”

นายท่านหกคลี่แผ่นกระดาษสีขาว ทันใดนั้นนายท่านหกผู้ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนก็ถูกตัวอักษรอัปลักษณ์กลุ่มใหญ่บนแผ่นกระดาษทำเอาตกใจจนหัวใจดวงน้อยสั่นระริก คุณพระช่วย นี่เป็นตัวหนังสือของคุณหนูสูงศักดิ์คนหนึ่งจริงหรือ อัปลักษณ์เกินไปหน่อยแล้ว!

เฉียวเวยกระแอม “อ่านเนื้อหา”

นายท่านหกมุมปากกระตุก อ่านตัวหนังสือที่เขียนผิดเต็มแผ่นกระดาษต่อไปด้วยจิตใจที่ถูกทำร้ายแสนสาหัส เขานวดดวงตาที่ใกล้จะบอดแล้วถอนหายใจ “แต่เดิมคิดว่าสิ่งที่ทำข้าตาบอดคงเป็นตัวหนังสือของเจ้า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องราวบนนี้ นักเล่านิทานคนใดเล่าให้เจ้าฟัง นายท่านหกแต่งเรื่องได้ดีกว่าเขาอีก”

ดูสิ นี่ถึงจะเป็นปฏิกิริยาของคนปกติหลังจากฟังเรื่องราวของแม่เลี้ยงจบ คนตระกูลจีอาจคุ้นเคยกับนิสัยของแม่เลี้ยงจึงเชื่อแม่เลี้ยงอย่างไม่คลางแคลงใจ แต่นางเป็นลูกสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ตอนนางฟังเรื่องราวของแม่เลี้ยงหนแรก นางแสดงท่าทีเชื่อถือและนิ่งสงบเช่นนั้น แต่เหล่าฮูหยินกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย

เฉียวเวยยิ้มเยาะ บอกว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องแต่ง เป็นเรื่องจริง”

“เรื่องจริงหรือ” นายท่านหกหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นคนตระกูลจีคงสงสารนางแทบตายเลยสิ”

เฉียวเวยยิ้มไม่ตอบคำ แต่กลับพูดว่า “ได้ยินมาว่าสมาคมกระบี่ข่าวสารว่องไว คิดว่าสืบเรื่องของคนผู้หนึ่งคงใช้เวลาไม่เท่าไร”

นายท่านหกยิ้มอย่างมีเลศนัย “หากมอบสาวใช้ของเจ้าให้ข้า หนึ่งเดือน”

เฉียวเวยวางถุงเงินลงบนโต๊ะ “นายท่านหกรับเงินไว้ สิบวัน”

ดวงตาสี่ข้างสบประสาน แววตาของเฉียวเวยไม่มีเจตนาจะถอยแม้แต่น้อย นายท่านหกจิ๊ปาก หยิบถุงเงินขึ้นมาเปิดออก พลางพูดว่า “เจ้าขี้เหนียวเกินไปแล้ว เงินเท่านี้ ยังไม่พอให้ข้าเลี้ยงเหล้าพี่น้องทั้งหลายด้วยซ้ำ โอ้โฮ…”

ตั๋วทอง!

ตั้งหนาเตอะ!

นายท่านหกกลืนน้ำลาย “เจ้าสำนักเฉียว กิจการไข่เยี่ยวม้าของเจ้าได้กำไรไม่น้อยเลยนะ”

ไข่เยี่ยวม้าย่อมขายไม่ได้เงินมากเท่านี้ นี่เป็นเงินขวัญถุงที่ทุกคนมอบให้ยามยกน้ำชาคารวะผู้อาวุโสทั้งหลายตอนวันที่สองของการแต่งงานต่างหาก

เฉียวเวยมองนายท่านหกแล้วบอกว่า “นี่เป็นเงินค่ามัดจำ หลังเสร็จเรื่อง ข้าจะมอบอีกครึ่งหนึ่งให้ท่าน”

นายท่านหกปิดถุงเงิน “ตกลง”