ตอนที่ 197-1 ตั้งครรภ์แล้ว
หลังออกจากโรงอิฐ เฉียวเวยก็ขึ้นมานั่งบนรถม้าอย่างอารมณ์ดี
นางเคยประจักษ์ความสามารถของสมาคมกระบี่มาแล้ว หวนนึกถึงตอนตามหาผลสองภพ สำนักซู่ซินจงสืบได้ข่าวมาเพียงว่าผลสองภพอยู่บนเกาะร้าง แต่สมาคมกระบี่กลับหาแผนที่ฉบับสมบูรณ์มาได้ จากจุดนี้ก็เห็นความสามารถของสมาคมกระบี่แล้ว
ทว่าเพื่อปิดบังหูตาของผู้คน นางยังเรียกหาผู้ดูแลฉิวสั่งไม้จำนวนหนึ่ง ให้เขาส่งไปยังจวนสกุลจีในภายหลัง
ปี้เอ๋อร์รินชาร้อนถ้วยหนึ่งให้เฉียวเวย “ฮูหยิน ตอนนี้พวกเราจะกลับตระกูลจีแล้วหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยไม่ดื่มชา แต่กลับหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมา “กว่าจะได้ออกมาสักหน กลับไปเร็วเช่นนี้ไยมิใช่ขาดทุน”
ปี้เอ๋อร์กัดลิ้น ฮูหยินผู้อยู่ไม่ติดเรือนคนนี้จะต้องไม่ใช่เจ้านายของนางแน่นอน!
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดเจ้าคะ” ปี้เอ๋อร์ถาม “กลับหมู่บ้านหรือ
เฉียวเวยยิ้มร้าย “ไม่กลับ ไม่ให้เจ้าได้พบหน้าเสี่ยวเว่ย”
หัวใจของปี้เอ๋อร์เต้นดังตึกตัก แววตาลุกลี้ลุกลนตอบว่า “ผู้ใด ผู้ใดอยากพบเขา”
“อ้อ” เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิวของตน แล้วเกี่ยวห่อผ้าที่ปี้เอ๋อร์ซ่อนไว้ด้านหลังออกมา “ไม่รู้ว่ารองเท้าพวกนี้ทำให้ผู้ใดกันนะ”
ปี้เอ๋อร์แย่งรองเท้ากลับมาไว้ในมือ หน้าแดงจนเหมือนก้นของจูเอ๋อร์
เฉียวเวยหัวเราะจนหัวไหล่สั่น เมื่อหัวเราะจนพอแล้วจึงตบหัวไหล่ของนางเบาๆ “พอแล้ว จะให้เจ้าสมหวัง ไปเมืองซีหนิวกันเถิด”
จากโรงอิฐเดินทางไปยังเมืองซีหนิวใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าก็ไปถึง เฉียวเวยจอดรถไว้ที่หรงจี้ ปี้เอ๋อร์นั่งรถม้า กลับไปยังหมู่บ้านซีหนิวอย่างไม่หยุดพัก
เฉียวเวยยืนอยู่ตรงประตูหรงจี้พักหนึ่งก็หันไปมองตำแหน่งที่เคยมาตั้งแผงขายของครั้งแรก ตอนนี้มันกลายเป็นร้านหรูหราใหญ่โตแห่งหนึ่งเสียแล้ว แต่ภาพวันที่นางขายขนมโดยมีลูกสองคนขนม้านั่งตัวน้อยมานั่งคอยอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ กลับยังคงชัดเจนประหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ยามนั้นขนมของนางขายชิ้นละเท่าใดนะ
สามอีแปะหนึ่งชิ้น ห้าอีแปะสองชิ้น ซื้อสิบชิ้นแถมหนึ่งชิ้น
ของที่ขายวันแรกคือขนมเหนียวถั่วแดง เพราะว่ากลัวจะขายไม่ดีจึงทำมาเพียงห้าสิบชิ้น หนึ่งวันหักเงินค่ารถ ก็เหลือเพียงไม่กี่สิบอีแปะ
ชีวิตในยามนั้นแม้จะลำบาก…
“พี่เฉียว!”
เสี่ยวลิ่ววิ่งออกมาจากในเหลาสุรา ขัดความคิดของเฉียวเวย เฉียวเวยมองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ “เสี่ยวลิ่วนี่เอง”
เสี่ยวลิ่วทักทายอย่างตื่นเต้น “พี่เฉียวท่านมาทำอันใด ท่านไม่ได้แต่งงานไปแล้วหรอกหรือ”
เฉียวเวยเหล่มองเขา “แต่งงานแล้ว ข้าจะมาไม่ได้หรือไร”
เสี่ยวลิ่วเกาศีรษะ ยิ้มอย่างโง่งม “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ข้าตั้งตาคอยพี่เฉียวทุกวันเชียวนะ! ห้องบัญชีของพี่เฉียว ข้าก็เช็ดถูจนสะอาดเอี่ยมทุกวัน!”
เฉียวเวยหรี่ตามองเขาด้วยสายตาคมกริบ “ทุกวันจริงหรือ”
เสี่ยวลิ่วถูกมองจนหัวใจกระตุก พึมพำเสียงฟังไม่ชัด “ทุก…สองวัน…สามวัน…สี่วัน…”
เสี่ยวลิ่ววางอาวุธยอมจำนน “ก็ได้ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยไปเช็ดเลย!”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา ทั้งโมโหทั้งขบขัน จากนั้นจึงก้าวเท้าเข้าไปในหรงจี้
กิจการของหรงจี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าดุจวันวาน ห้องโถงใหญ่มีลูกค้านั่งจนเต็มไม่มีที่ว่าง มีลูกค้าหน้าเก่าที่รู้จักนางไม่น้อย พวกเขายิ้มแย้มทักทายนาง
เฉียวเวยเดินขึ้นชั้นสองไปอย่างอารมณดี ห้องบัญชีของเถ้าแก่หรงไม่มีคน นางจึงก้าวไปยังห้องบัญชีของตนเอง พร้อมกับตะเบ็งเสียงตะโกน “เถ้าแก่หรง!”
“ข้าไม่ได้กำลังกวาดห้องของเจ้าอยู่นะ!”
เถ้าแก่หรงโยนไม้กวาดในมือทิ้ง!
เฉียวเวยเดินเข้ามาในห้อง มองไม้กวาดที่หล่นไปพาดกับแท่นวางอ่างล้างหน้าจนเกิดเสียงดังแปะ แล้วหันมามองเถ้าแก่หรงผู้เหงื่อโชกเต็มศีรษะ ในใจมีความอบอุ่นสายหนึ่งไหลเข้ามา “พี่หรง”
“พี่หรงอะไร” เถ้าแก่หรงนั่งลงพร้อมกับสีหน้าเย็นชา แต่กลับลืมว่าเมื่อครู่ตอนปัดกวาดย้ายเก้าอี้ที่นี่ออกไปแล้ว ก้นจึงจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น มือไม้คว้าจับเป็นพัลวัน กระชากผ้าปูโต๊ะลงมา จานขนมของว่างกับถ้วยชาที่เมื่อครู่สู้อุตส่าห์จัดวางอย่างเป็นระเบียบตกลงมาดังโครมคราม กล่าวได้ว่าเละเทะอย่างยิ่ง!
เฉียวเวยเดินเข้าไปหาพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วประคอง (หิ้ว) เถ้าแก่หรงขึ้นมา “ข้าเก็บกวาดเอง พี่หรงนั่งเถิด”
ขาของเถ้าแก่หรงยังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนยอดเมฆ เขาไม่ยอมรับว่าคำเรียกขานว่าพี่หรงคำนี้ทำให้หัวใจดวงน้อยของเขาอ่อนระทวย
วันที่เสี่ยวเฉียวไม่อยู่ เขาคิดถึงเสี่ยวเฉียวจะตายแล้ว ฮือออ…
“พี่หรง” เฉียวเวยเก็บกวาดข้าวของอยู่ จู่ๆ ก็หันกลับมา
ใบหน้าเศร้าใจของเถ้าแก่หรงกับมาเป็นสีหน้าเย็นชาหยิ่งยโสทันที “มีอะไร”
เฉียวเวยส่งสายตาเป็นนัยๆ “เท้าของท่าน”
“งามใช่หรือไม่” เถ้าแก่หรงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
“เหยียบผ้าปูโต๊ะแล้ว” เฉียวเวยเอ่ยต่อ
เถ้าแก่หรงขยับเท้าออกทันที!
เฉียวเวยเก็บกวาดความเละเทะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ช่วยไม้กวาดที่ถูกเถ้าแก่หรงโยนไปติดอยู่กับแท่นวางอ่างล้างหน้าด้วยอารามรีบร้อน นอกเหนือจากความเละเทะพวกนี้ เฉียวเวยพบว่าห้องบัญชีของนางค่อนข้างสะอาดสะอ้านจริงๆ แม้ไม่ถึงกับไม่มีฝุ่นสักเม็ด แต่ก็สะอาดกว่าที่นางจินตนาการไว้มากนัก
“ขอบคุณท่านมาก พี่หรง” นางเอ่ยจากใจจริง
เถ้าแก่หรงยิ้ม แล้วโบกมือ “ปกติล้วนเป็นเสี่ยวลิ่วที่มาเก็บกวาด วันนี้ลูกค้ามากเกินไป เสี่ยวลิ่วกำลังยุ่งอยู่ ข้าจึงมาช่วย”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว
เถ้าแก่หรงรินชาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งส่งให้นาง ถ้วยหนึ่งตนเองยกขึ้นจิบอย่างอ้อยอิ่ง “วันนี้เจ้ามาทำไมหรือ”
เฉียวเวยเท้าคาง แย้มรอยยิ้มหวาน “คิดถึงพี่หรงก็เลยมาหาน่ะสิ”
เถ้าแก่หรงถลึงตา ไม่ต้องมาหยอกเอินข้า ข้ามีภรรยาแล้ว!
“อะแฮ่ม” เถ้าแก่หรงกระแอม “เจ้าไม่มาหาข้า ความจริงข้าก็คิดจะไปหาเจ้าอยู่เหมือนกัน”
“โรงงานสร้างเสร็จแล้วหรือ” เฉียวเวยถาม
“อืม” เถ้าแก่หรงขานตอบ เสร็จแล้วก็ขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยยิ้มหวาน “ข้าคาดการณ์ได้ประหนึ่งเทพ”
เถ้าแก่หรงหัวเราะฮ่าๆ “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าวันรับสมัครคนงานผู้ใดมาสมัคร”
เฉียวเวยครุ่นคิด “อาสะใภ้รองของข้าหรือ”
“คุณพระ!”
เถ้าแก่หรงเกือบร่วงจากโต๊ะ!
เหตุใดจึงรู้ไปทุกเรื่องเลยเล่า หมดกัน เขาอุตส่าห์วางท่าทำเป็นลึกลับ! คิดจะโอ้อวดผลการรบของตนเองสักหน่อย!
“เจ้ารู้ได้อย่างไร!”
เฉียวเวยตอบอย่างใสซื่อ “ข้าก็เดาส่งเดช”
เดาส่งเดชจริงๆ นางรู้ว่าเฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่อใช้ชีวิตน่าเวทนาอย่างยิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะน่าเวทนาเช่นนี้ ถึงขนาดต้องไปทำงานตามหมู่บ้าน แม้ตัวนางจะไม่รู้สึกว่าการไปเป็นแรงงานให้ผู้อื่นมีสิ่งใดไม่เหมาะสม แต่ดวงวิญญาณของนางมาจากยุคปัจจุบัน การทำงานคือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุด ขอเพียงใช้สองมือของตนเลี้ยงตัวเอง เป็นแรงงานก็ดี เปิดแผงขายของก็ดี นางล้วนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขายหน้าสักเท่าใด แต่สวีซื่ออย่างไรก็เป็นคนโบราณที่เกิดและเติบโตมาในยุคสมัยนี้ จากสตรีสูงศักดิ์กลายมาเป็นคนชั้นล่าง คงเท่ากับโยนศักดิ์ศรีกับเกียรติภูมิของนางลงพื้น
เถ้าแก่หรงบอกว่า “ไม่ต้องสงสารนางหรอก ก่อนหน้านี้เจ้าใช้ชีวิตน่าเวทนากว่านางอีก”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “ข้าย่อมไม่สงสารนาง”
นี่เรียกว่ากรรมตามสนองทันในชาตินี้ นางสาแก่ใจต่างหาก สงสารหรือ ไม่ล่ะ
“อารองของข้าเล่า” เฉียวเวยถาม
เถ้าแก่หรงเหยียดหยัน “อารองคนดีคนนั้นของเจ้า อนาถยิ่งกว่าภรรยาของเขาเสียอีก”
เฉียวเย่ว์ซานทนไม่ได้ที่ถูกลดตำแหน่ง โทสะชั่ววูบทำให้เขาลาออกจากสำนักหมอหลวง แต่เดิมคิดว่าคงเลี่ยงการถูกสหายร่วมงานดูหมิ่นได้ ไหนเลยจะรู้ว่าชีวิตกลับยากจนข้นแค้นขึ้นทุกที เขาถูกบีบด้วยจนหนทางจึงเปิดโรงหมอที่บ้าน แต่อาชีพหมอเป็นกันง่ายดายเช่นนั้นเสียเมื่อไร ผู้อื่นเปิดโรงหมอมาหลายปี สร้างชื่อจนรู้จักไปทั่ว เขาเพิ่งย้ายมาใหม่ ผู้ใดจะรู้จัก ดังนั้นเขาจึงเกิดความคิด ประกาศนามของตนเองออกมา แต่แล้วกลับยิ่งแย่ลงอีก ข่าวเรื่องที่เขาข่มเหงบุตรีกำพร้าของเรือนใหญ่เล่าลือกันจนทุกคนรู้กันทั่วนานแล้ว ผู้ที่มารักษาจึงมีไม่กี่คน แต่ทุกวันมีคนมาโยนไข่เน่าใส่เรือนอยู่ไม่น้อย
เขาจนหนทางจึงคิดจะไปเป็นหมอที่ร้านยา
สิ่งที่น่าขันก็คือบนศีรษะเขามีบรรดาศักดิ์โหวแปะอยู่ แม้จะมีเพียงชื่อไม่มีอำนาจจริงๆ แต่ร้านยาชาวบ้านไหนเลยจะกล้าใช้งานท่านโหวที่ฮ่องเต้แต่งตั้งด้วยพระองค์เอง
หอหลิงจือกล้า แต่เฉียวเจิงไม่ต้องการเขา
เขาสิ้นไร้หนทางแล้วจริงๆ จึงได้แต่ปิดแซ่ซ่อนนาม แบกตะกร้าสมุนไพรเป็นหมอพเนจรตามตรอกซอกซอย
“สิบวันครึ่งเดือนถึงจะกลับบ้านสักหนกระมัง จิ๊ๆ น่าสงสารจริงๆ” เถ้าแก่หรงถอนหายใจอย่างเวทนา
เฉียวเวยจิบชาคำหนึ่ง “เขาน่าสงสารตรงไหน ยามนั้นพ่อข้าเป็นหมอพเนจรอยู่สิบห้าปี ให้เขาได้ลิ้มลองรสชาตินี้บ้างเถิด เอาล่ะ เรื่องต่อจากนี้ข้าเดาไม่ได้แล้ว”
เรื่องต่อจากนี้ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว!
ไม่ถูกสิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง
เถ้าแก่หรงยิ้มจนตาหยี จงใจทำเสียงให้ตื่นเต้น “ชื่อเสียงร้านหรงจี้ของพวกเราขจรขจาย แต่ละวันมีลูกค้ามาเรียกให้ไปจัดงานเลี้ยงไม่น้อย เมื่อวานเพิ่งรับลูกค้ามาเจ้าหนึ่ง เจ้าต้องเดาไม่ได้แน่ว่าเป็นลูกค้าจากที่ใด”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อย่าบอกข้านะว่ามาจากในวัง”
เถ้าแก่หรงจะร่วงตกโต๊ะจริงๆ แล้ว!
ทูตหนานฉู่มาเยือน วังหลวงจึงส่งคนเดินทางมาเชิญพ่อครัวของหรงจี้เข้าวังไปทำอาหาร สิ่งที่แตกต่างจากงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของรัชทายาทก็คือหนนี้หรงจี้ไม่ได้ไปเพราะหลี่อวี้หลุดปากพูดถึง แต่รัชทายาทเจาะจงมา แม้แต่รายการอาหารรัชทายาทก็สั่งมาแล้ว แกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดกับไข่นกระทาเยี่ยวม้า
เถ้าแก่หรงไม่เคยพาคนไปทำอาหารคนเดียวมาก่อน ไม่ว่าเข้าวังหรือไปจวนไท่ซือล้วนมีเฉียวเวยคอยคุม แต่วันนี้เฉียวเวยแต่งงานไปแล้ว คงจะไม่สะดวกเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เดิมเถ้าแก่หรงคิดจะปฏิเสธ แต่คำสั่งของรัชทายาทจะไม่ทำตามก็ไม่ได้อีก
“เจ้ารู้มาก่อนแล้วใช่หรือไม่” เถ้าแก่หรงถามอย่างขุ่นเคือง
“ข้าเดามั่วจริงๆ” เฉียวเวยแกะเมล็ดแตง “รัชทายาทไม่ได้สั่งอาหารเพียงสองอย่างเท่านั้นหรือ กลัวอะไร ไข่เยี่ยวม้าฟองเล็กที่ข้ายังมีอีกโถหนึ่ง กลับไปข้าจะส่งมาให้ท่านก็ใช้ได้แล้ว แกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดให้พ่อครัวเหอทำก็ไม่พลาดหรอก”
เถ้าแก่หรงเอ่ยว่า “ไม่มีเห็ด”
“ขึ้นเขาไปเก็บสิ” เฉียวเวยว่า
เถ้าแก่หรงตอบอย่างขุ่นเคือง “ไปมาแล้ว แต่เก็บไม่ได้!”
เฉียวเวยส่ายหน้า “จิ๊ๆ บุรุษตัวเบ้อเริ่มตั้งกี่คนยังเก่งกาจสู้จูเอ๋อร์ตัวน้อยของบ้านข้าไม่ได้ ก็ได้ ให้ข้าจัดการเอง เก็บได้แล้วจะส่งมาให้ท่าน”
เฉียวเวยทานอาหารกลางวันที่หรงจี้ แล้วหารือรายละเอียดโรงงานไข่กับเถ้าแก่หรงอีกเล็กน้อย เมื่อเวลาพอประมาณแล้วจึงลุกขึ้นออกมา ตอนที่เดินมาถึงประตู ปี้เอ๋อร์ก็กระโดดลงมาจากรถม้าพอดี
“ฮูหยิน!”
ปี้เอ๋อร์ยิ้มร่าก้าวข้ามธรณีประตูมา
แต่คนที่พูดไม่ใช่นาง แต่เป็นสารถีด้านหลังนาง
เฉียวเวยเพ่งสายตามอง”ต้าเตาหรือ”
เฉินต้าเตาฉีกยิ้ม “ฮูหยิน ข้าเองขอรับ!”
เฉียวเวยประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ามาได้อย่างไร”
ปี้เอ๋อร์อธิบาย “รถม้าเสียกลางทาง พี่ใหญ่เฉินจึงเรียกสหายมาซ่อม แต่ชั่วครู่ชั่วยามคงซ่อมไม่เสร็จ เกรงว่าฮูหยินจะรอจนร้อนใจจึงพาข้ามาส่งก่อน”
ปี้เอ๋อร์เคยพบหน้ากับเฉินต้าเตามาหนหนึ่งแล้ว วันมงคลของเฉียวเวยวันนั้น เฉินต้าเตาพาพี่น้องพรรคชิงหลงมาคุ้มกันเฉียวเวยตลอดทางจนไปถึงเมืองหลวง ยามนั้นปี้เอ๋อร์ยังถามอยู่ว่าบุรุษผู้มีรอยแผลบนหน้าผู้นั้นคือผู้ใด เฉียวเวยจึงบอกว่าหัวหน้าพรรคของพรรคชิงหลง ปี้เอ๋อร์จำได้
เฉินต้าเตาแบกดาบเหล็กเล่มโตกระโดดลงมาจากรถม้า แล้วบอกด้วยเสียงน่าเกรงขาม “รถม้ายังซ่อมอยู่ ข้าส่งฮูหยินกลับก่อนก็แล้วกัน! ข้าสั่งให้หู่จื่อรับรองสารถีของฮูหยินอย่างดีแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้เขาหิวแน่!”
ฮูหยินของเขาหวนคืนจวนอัครมหาเสนาบดีแล้ว ในฐานะลูกน้องของฮูหยินและเป็นผู้มีความดีความชอบ เขามีคุณสมบัติเข้าใกล้อัครมหาเสนาบดีที่สุด เขาจะต้องคว้าโอกาสทุกหนให้มั่น ทำงานให้ดียามอยู่ต่อหน้าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี!
เฉียวเวยมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง นางเป็นห่วงลูกน้อยทั้งสองคนจึงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว”
เฉินต้าเตาวางดาบเหล็กเล่มใหญ่ที่หนักเกือบสี่สิบชั่งลงบนที่นั่งด้านนอก จากนั้นนวดหัวไหล่ที่ถูกกดจนชา แล้วตอบเฉียวเวยว่า “เชิญฮูหยิน!”
เฉียวเวยกับปี้เอ๋อร์ขึ้นรถม้า
จากตัวเมืองมาถึงเมืองหลวงมีถนนหลวงเพียงเส้นเดียว หลับตาก็ไปผิดทางไม่ได้ เฉินต้าเตาจึงขับรถม้าอย่างสบายใจ
เฉียวเวยไม่วางใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรตอนพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเข้าเมืองหลวงหนแรกเพื่อไปสอบเสินถง เฉินต้าเตาก็เคยพาตนเองไปผิดทาง เฉียวเวยเปิดม่านรถม้าถามขึ้นว่า “ต้าเตา เจ้ายังไม่เคยไปจวนตระกูลจีสินะ รู้หรือไม่ว่าไปอย่างไร”
เฉินต้าเตาตบหน้าอกบอกว่า “ฮูหยินวางใจเถิด เมื่อครู่ข้าถามสารถีบ้านท่านมาแล้ว เขาบอกว่าเข้าเมืองแล้วให้ไปตามถนนเส้นนั้น ไปถึงสุดทางค่อยเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก ไปตามทิศตะวันออกเรื่อยๆ ก็ถึงแล้ว!”
เส้นทางก็เป็นเช่นนี้จริงๆ เฉียวเวยจึงพยักหน้าแล้วปล่อยม่านลงมา
รถม้าแล่นโคลงแคลง เฉียวเวยกับปี้เอ๋อร์ต่างง่วงงุน ทั้งสองคนจึงเอนร่างพิงหมอน สะลึมสะลือหลับไป
เฉียวเวยถูกเสียงอีกาปลุกให้ตื่น นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ไม่มีโคมไฟอยู่ในมือ ภายในรถม้ามืดสนิท รอบด้านเงียบกริบอีกทั้งยังชวนขนลุก
เฉียวเวยเปิดม่านรถม้า สิ่งที่เข้ามาอยู่ในสายตาไม่ใช่ถนนที่มีร้านรวงตั้งเรียงราย แต่เป็นป่าเปลี่ยวไร้ผู้คนกับป้ายหลุมศพแผ่นแล้วแผ่นเล่า
เฉียวเวยพองขนในพิบตา “ไม่ได้ไปตระกูลจีหรือ เหตุไฉนเจ้าวิ่งมาที่สุสาน!”
เฉินต้าเตาอึกอักตอบว่า “ข้า ข้าหลงทาง…”
เฉียวเวยถามอย่างเหลือเชื่อ “หลงทางได้เช่นไร เข้าเมืองไปตามถนนเส้นนั้นจนสุดทาง แล้วไปทางตะวันออก ไปทางตะวันออกเรื่อยๆ เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
เฉินต้าเตาตอบอย่างหดหู่ “ข้ารู้นะ! ข้าก็ขับมาตามนี้! ทิศเหนืออยู่บนทิศใต้อยู่ล่าง ตะวันตกทางซ้ายตะวันออกทางขวา ตะวันออกก็คือทางขวาไหม! ข้าก็ไปทางขวา ไปทางขวาตลอด ไปทางขวาไม่หยุด ข้าเลี้ยวขวามาตั้งหลายหนแล้ว! แต่มันก็ยังไม่ถึงสักที!”
เฉียวเวยอยากจะกระอักเลือด
สุสานผืนนี้เป็นสถานที่ใดกันแน่ เฉียวเวยไม่รู้จักสักนิด ให้เฉินต้าเตาบอก เขาก็บอกไม่ได้ว่ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร สรุปก็คือเลี้ยวขวา เลี้ยวขวาแล้วก็เลี้ยวขวา แต่สุดท้ายเลี้ยวขวามากี่หน เขาก็ตอบไม่ถูก
เงาของทั้งสามคนทอดลงบนพื้น นั่งอยู่บนรถม้าอย่างน่าเวทนา เฉินต้าเตากำดาบเหล็กเล่มโตหนักสี่สิบชั่งของเขาไว้ สายตาแน่วแน่ “ฮูหยินท่านวางใจ ข้าจะปกป้องท่าน!”
“อาวู๊ววว”
เสียงหมาป่าหอนดังมาจากไม่ไกลนัก แต่กลับฟังดูแล้วเหมือนเสียงภูตผี เฉินต้าเตาตกใจกลัวโยนดาบเหล็กทิ้ง หลบวูบไปอยู่ด้านหลังเฉียวเวย ตัวสั่นระริก
ปี้เอ๋อร์ถอนหายใจ “ครานี้พวกเรากลับช้าจริงๆ แล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเท้าคาง นางอยากจะกลับช้าสักหน่อยก็จริง แต่คิดไม่ถึงว่าจะช้าปานนี้ นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว…
สุดท้ายจีหมิงซิวรออยู่ที่บ้านไม่เห็นคนมาเสียที เกรงว่าระหว่างทางนางจะพบเรื่องอะไรที่ต้องเสียเวลา จึงพาคนออกมาตามหา
จีหมิงซิวพาเฉียวเวยกับปี้เอ๋อร์กลับตระกูลจี แล้วให้หมิงอันพาเฉินต้าเตาผู้หวาดกลัวจนน้ำหูน้ำตาไหลพรากไปส่งที่โรงเตี๊ยม แล้วกำชับหมิงอันว่าวันพรุ่งให้ไปส่งหัวหน้าพรรคเฉินกลับพรรคชิงหลงด้วยตนเอง
กว่าจะจัดการทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น กลับถึงจวนก็เที่ยงคืนแล้ว จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูหลับไปเรียบร้อย เฉียวเวยก็เหนื่อยจนไม่อยากกระดิกตัว หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างว่องไว