ตอนที่ 197-2 ตั้งครรภ์แล้ว
เช้าตรู่เฉียวเวยถูกนาฬิกาชีวิตปลุกให้ตื่น พอคลำข้างตัวก็สัมผัสถึงความเย็นเฉียบ เขาคงตื่นนานแล้ว เฉียวเวยสวมอาภรณ์แล้วเดินไปดูที่ห้องของลูกๆ ก็เห็นว่าเด็กน้อยสองคนถูกเขาลากออกมาจากกองผ้าห่ม
วั่งซูนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา ยื่นเท้าน้อยๆ ออกมาให้เขาสวมถุงเท้าอันอบอุ่นให้ตน
สวมเสร็จก็ยังไม่อยากตื่นจึงเกาะอยู่บนตัวเขา ถูกเขาอุ้มไปล้างหน้าที่ห้องด้านข้าง
จิ่งอวิ๋นเป็นเด็กดีนั่งคัดอักษรอยู่บนโต๊ะ การขายความน่ารักไม่ใช่จุดแข็งของเขา เขาทำสิ่งที่ตนเองถนัดจะดีกว่า
เฉียวเวยเข้าห้องมาก็ลูบศีรษะน้อยของจิ่งอวิ่น แล้วขยับเข้าไปหอมแก้ม “ตื่นเช้าเช่นนี้เชียว”
ใบหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นแดงระเรื่อ “อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านแม่”
วั่งซูถูกบิดาอุ้มออกมา นางทำตัวนุ่มนิ่มกอดคอของบิดาไว้ เป็นตายก็ไม่ยอมลง
เฉียวเวยเข้าไปอุ้มนาง ใบหน้าน้อยของนางหันหน้าหนีซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของจีหมิงซิว
แม่สาวน้อยน่าชัง มีบิดาก็ลืมมารดาแล้วสินะ!
เฉียวเวยตบก้นน้อยๆ อันอวบอ้วนของนาง “วันนี้ตื่นเช้าเช่นนี้เชียว”
คำพูดนี้เห็นชัดว่าพูดกับจีหมิงซิว
ถูกบุตรสาวเกาะติดหนึบอยู่ตลอดทั้งเช้า จีหมิงซิวจึงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง แม้แต่แววตายังแฝงรอยยิ้ม “เมื่อวานลืมบอกเจ้า วันนี้ต้องเข้าวัง”
เฉียวเวยงุนงง “เข้าวังหรือ ไปทำสิ่งใด”
เฉียวเวยคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าตนเองจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับวังหลวง การเข้าวังเพียงหนเดียวก็เป็นเพราะหลี่อวี้ปากมาก จนได้อาศัยโอกาสยามปรุงพระกระยาหารถวายองค์รัชทายาทเข้าไปเปิดหูเปิดตาหนึ่งหน หนนี้ถวายพระกระยาหาร นางแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ไป ดังนั้นเมื่อครู่หมิงซิวพูดเรื่องอะไรกัน เข้าวังอะไร
จีหมิงซิวเห็นท่าทางนางสับสนมึนงงจึงยิ้มน้อยๆ จับคางนางอย่างหยอกเย้า “ตอนนี้เจ้าเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดีแล้ว ต่างแดนส่งทูตมาเยือนย่อมต้องไปพบหน่อยสิ”
คำพูดนี้ราวกับกำลังพูดว่า ตอนนี้เธอเป็นภริยานายกรัฐมนตรีแล้ว ผู้นำประเทศ x มาเยือน เธอก็ต้องไปต้อนรับด้วยสิ
เฉียวเวยดีใจ ไม่ต้องไปทำอาหารให้ผู้อื่นก็เข้าวังได้ นี่เป็นเรื่องดีอย่างแท้จริง!
เข้าวังหนก่อนแม้จะบอกว่าได้เปิดหูเปิดตา แต่ความจริงแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของวังก็ยังไม่ได้สัมผัส ถูกหัวหน้าชุยพาไปห้องเครื่องทำอาหาร ทำเสร็จก็ถูกพาออกมาอีก ระหว่างทางได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทหนึ่งหน จนปัญญาที่ระหว่างทางถูกคน ‘ขนาบรอบด้าน’ อยู่ แม้แต่ทัศนียภาพก็ยังไม่มีเวลาชื่นชมให้ดี แทบจะเหมือนกับตือโป๊ยก่ายกลืนผลโสมวิเศษในคำเดียว ไม่ได้ลิ้มรสอะไรทั้งสิ้น
“ข้าเดินเที่ยวชมรอบๆ ได้หรือไม่”
จีหมิงซิวพยักหน้า “แน่นอน”
ดวงตาของเฉียวเวยเป็นประกาย “ไปชมตำหนักของพระสนมได้หรือไม่ ข้ายังไม่เคยเห็นตำหนักของพระสนมสมัยโบ…รูปแบบโบราณอันวิจิตงดงามเลย”
จีหมิงซิวหัวเราะ “จะให้รัชทายาทพาเจ้าไปนั่งเล่นที่ตำหนักบรรทมของอดีตฮองเฮา”
ดวงตาของเฉียวเวยเบิกโตในพริบตา “ฮองเฮาหรือ”
นั่นไฉนไม่ใช่ดีกว่าของพระสนมมาก แต่ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือไม่ นางไม่อยากทำให้หมิงซิวติดค้างน้ำใจองค์รัชทายาทเพียงเพื่อสนองความสงสัยใครรู้ชั่วขณะของตนเองหรอกนะ
จีหมิงซิวคล้ายจะมองความลำบากใจของนางออก จึงตอบอย่างสบายๆ “อดีตฮองเฮาเป็นอาของพี่เขยหลิน ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลใกล้ชิดกว่าที่เจ้าคิด”
เฉียวเวยคิดอะไรขึ้นมาได้ ทำท่าเหมือนขบคิดบางอย่าง “ประเดี๋ยวก่อน อดีตฮอองเฮาเป็นอาของพี่เขยหลิน รัชทายาทกับพี่เขยหลินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เขาสองคนเป็นรุ่นเดียวกัน ท่านคืออาชายของรัชทายาท จีหว่านเป็นอาหญิงของรัชทายาท พี่เขยหลินกับจีหว่าน…ห่างกันหนึ่งรุ่นน่ะสิ!”
จีหมิงซิวดีดหน้าผากนาง “เพิ่งรู้หรือไร”
แม้ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ลำดับรุ่นอาวุโสก็แปะอยู่ตรงนั้น การสมรสนี้ความจริงแล้วคงยากเย็นอยู่บ้าง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจีหว่านอายุมากกว่าหลินซูเยี่ยนอีกต่างหาก ตอนนั้นกว่าหลินซูเยี่ยนจะแต่งจีหว่านเข้าบ้านได้ก็เกือบจะแตกหักกับตระกูล
“ก่อนหน้าพี่เขยหลิน จีหว่านไม่เคยมีสัญญาหมั้นหมายกับคุณชายหรือบุรุษบ้านใดอยู่กระมัง”
จีหมิงซิวตอบว่า “แน่นอนว่าไม่มี”
บุตรสาวตระกูลจีย่อมหาคู่ครองส่งๆ ไม่ได้ อีกฝ่ายที่มาสู่ขอล้วนต้องเลือกแล้วเลือกอีก ยามผ่านสายตาของผู้คนตระกูลจี ข้อด่างพร้อยแม้แต่เล็กน้อยก็รับไม่ได้ เคยมีคุณชายตระกูลขุนนางชาติตระกูลสมกัน ความสามารถเพียบพร้อม รูปโฉมไม่มีผู้ใดเทียมคนหนึ่งมาต้องตาจีหว่าน จนมาเยือนที่บ้านเพื่อสู่ขอ จีซั่งชิงกับเหล่าฮูหยินประทับใจคนผู้นี้ไม่เลว แต่เพราะว่าบนข้อมือของเขามีรอยแผลขนาดครึ่งชุ่นอยู่เส้นหนึ่ง จึงถูกตัดออกอย่างไร้เมตตา
เฉียวเวยรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก นี่เป็นการเลือกลูกเขยหรือเลือกพระสนมกันแน่ บุรุษมีรอยแผลนิดๆ หน่อยๆ ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ แม้แต่แผลเป็นก็มีไม่ได้หรือ
“คุณชายหยวนจาตระกูลอดีตราชเลขาธิการคนนั้นที่พวกท่านเลือกให้สวินหลันก็สมบูรณ์แบบจนรอยแผลเป็นเล็กจ้อยกระจิ๋วหลิวสักรอยก็ไม่มีเหมือนกันหรือ”
จีหมิงซิวตอบอย่างราบเรียบ “นางไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ เสียหน่อย”
เฉียวเวยพึมพำเสียงเบา “ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็เติบใหญ่มาด้วยกัน พวกท่านลำเอียงปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันเช่นนี้ ไม่กลัวผู้อื่นรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจหรือ หากผู้อื่นน้อยเนื้อต่ำใจ เล่นสกปรกอะไรขึ้นมาจะไม่มีคนเคราะห์ร้ายหรือ”
“เจ้าพูดอะไร” จีหมิงซิวฟังไม่ชัด
“ไม่มีอะไร” เฉียวเวยวางวั่งซูลงบนเก้าอี้แล้วมัดมวยผมให้นางสองข้าง จากนั้นให้ฉานเอ๋อร์พานางกับจิ่งอวิ๋นไปห้องโถงหลัก แล้วเอ่ยกับจีหมิงซิวว่า “จีหว่านเคยแท้งมาก่อน ท่านรู้หรือไม่”
จีหมิงซิวมุ่นคิ้วเล็กน้อย “นางเคยแท้ง เจ้าฟังผู้ใดบอกมา”
เฉียวเวยใคร่ครวญ ก่อนจะตอบว่า “ก่อนงานแต่งงานของพวกเรา ตอนข้ายังไม่ได้พบพ่อของข้า มีหนหนึ่งข้าดูกิจการอยู่ที่หรงจี้ จีหว่านก็มาหา ถามข้าว่ารักษาอาการมีบุตรยากของนางได้หรือไม่ ข้าบอกว่าหากนางไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน อาจไม่ใช่ปัญหาที่ตัวนาง แต่เป็นปัญหาจากสามีนาง นางบอกข้าว่า นางเคยตั้งครรภ์มาสองหนแต่แท้งทั้งหมด”
ฝ่ามือใหญ่ของจีหมิงซิวค่อยๆ กำหมัด ในดวงตาล้ำลึกคู่นั้นปรากฏแววตาเย็นยะเยือกเลือนราง
เฉียวเวยเคยเห็นเขาโมโหน้อยครั้งนัก นางเพิ่งตระหนักว่ายามเขาเป็นทุกข์ ความจริงแล้วหัวใจของนางเองก็เป็นทุกข์เช่นกัน “ท่านอย่าเสียใจเลย ผ่านไปนานนักแล้ว”
จีหมิงซิวกำหมัดแน่น แววตาลึกล้ำเอ่ยขึ้นว่า “นางกับหลินซูเยี่ยนแต่งงานกันมาเก้าปีแล้ว ต้องการลูกสักคนมาตลอด”
เฉียวเวยลูบหัวไหล่ของเขาแล้วบอกเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้ นางชอบจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมากปานนั้น จะต้องรักเด็กมาแน่ๆ”
บรรยากาศรอบตัวจีหมิงซิวเย็นยะเยือกลงอย่างฉับพลัน “หลินซูเยี่ยนเจ้าสารเลวคนนั้น! เขาดูแลพี่สาวข้าเช่นไร! แท้งหนหนึ่งก็แล้วไปเถิด แต่มีถึงสองหน! เขาเห็นพี่สาวข้าเป็นอะไร”
เฉียวเวยถูกเขาทำให้ตกใจแล้ว ยามเขาโกรธที่แท้ก็น่ากลัวปานนี้เชียว หากรู้ก่อนคงไม่บอกเขาแล้ว “ท่าน…ท่านทำข้ากลัว”
จีหมิงซิวกดอารมณ์กลับลงไปในก้นบึ้งหัวใจแล้วกุมมือนางไว้ เอ่ยออกมาอย่างข่มกลั้น “ขอโทษ”
เฉียวเวยยกมือขึ้นแตะหว่างคิ้วของเขาเบาๆ ลูบหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาให้คลายออก “ข้าไม่เคยศึกษาอาการมีบุตรยากมาสักเท่าใด แต่ยังมีบิดาของข้าอยู่ไม่ใช่หรือ”
จีหมิงซิวผ่อนคลายลงเล็กน้อย “วันนี้หลังจบงานเลี้ยง ข้าจะพาจีหว่านไปหาพ่อของพวกเรา”
เฉียวเวยพยักหน้า “ดี”
…
หลังอาหารเช้า ครอบครัวสี่คนก็แต่งตัวอย่างงดงามเดินออกจากบ้านชิงเหลียน
ตระกูลจีในฐานะตระกูลใหญ่อันเป็นเสาหลักอันดับหนึ่ง โอกาสไปร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้มีมากมายนัก เมื่อมาถึงประตูบ้านก็พบว่าสวินหลัน หลิวเกอร์ จีซวงกับอาเขยฉินเตรียมตัวพร้อมแล้ว จีซั่งชิงกับน้องชายแต่เดิมก็สมควรไปด้วย แต่จีซั่งชิงบาดเจ็บอยู่จึงไม่สะดวกเดินทาง ส่วนจีเซิ่งต้องลมหนาวตอนกลางคืนจนเป็นหวัดจึงได้แต่อยู่ในจวน หลี่ซื่อจึงเลือกอยู่ในจวนด้วย
จีซวงเป็นผู้ที่ชอบงานครึกครื้น นางแต่งกายงดงามยิ่ง กระโปรงคาดอกสีขาว เสื้อตัวนอกหรูหรางดงาม ปกปิดท้องที่โตหกเดือนของนางได้พอเหมาะพอดี อาภรณ์ของราชวงศ์ต้าเหลียงค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เสื้อผ้าปกปิดมิดชิด แต่ไม่ส่งผลต่อหน้าอกอวบอิ่มเพราะอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ของนาง เมื่อรวมกับปิ่นไข่มุกเต็มศีรษะ ก็เรียกได้ว่าเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง
เมื่อเทียบกันแล้วการแต่งกายของสวินหลันเรียบง่ายสะอาดตากว่ามาก กระโปรงยาวสีขาว แขนเสื้อกับชายเสื้อปักบุปผาแย้มกลีบสีม่วงดอกน้อยอยู่ประปราย ทอดสายตามองราวกับดวงดาราเต็มผืนฟ้าอยู่แทบเท้านาง ชั่วพริบตาทำให้คนมีกลิ่นอายราวกับเทพเซียนผู้ไม่ต้องกินดื่ม
“เจ้างามกว่านาง” จีหมิงซิวกระซิบข้างหูของเฉียวเวย
เฉียวเวยขมวดคิ้วนิดๆ “ท่านมองนางแล้วหรือ!”
จีหมิงซิวไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าหมายถึงท่านอา”
“เหอะ!” นางจะถือว่านางเชื่อก็แล้วกัน!
ทุกคนแยกย้ายกันขึ้นรถม้าของตนเอง
วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไม่เคยเข้าพระราชวังอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้ หนก่อนพวกเขาหลบอยู่ในตะกร้าผักจึงเข้ามาในพระราชวังได้!
“ว้าววว! ม้าเยอะมาก! สูงมาก! ใหญ่มาก!” วั่งซูเกาะอยู่บนหน้าต่าง ชี้ทหารราชองครักษ์ที่อยู่ใกล้กับพระราชวัง แล้วตะโกนเสียงดังอย่างตื่นเต้น “เนื้อม้าจะต้องอร่อยมากแน่!”
เฉียวเวยสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มลงคอ
พวกเขาเข้าพระราชวังมาจากประตูทิศเหนือ นอกจากพวกเขาแล้วยังมีตระกูลขุนนางมาอีกไม่น้อย ในหมู่ตระกูลขุนนางเหล่านี้ไม่มีตระกูลเฉียว ฐานะของตระกูลเฉียวยังไม่มีอำนาจมากพอ
คนอื่นก้าวลงมาจากรถม้ากลุ่มละสองคนสามคน จากนั้นบ่าวรับใช้ในวังจึงนำทางสารถีของแต่ละกลุ่มให้ขับรถม้าไปยังคอกม้ารวม
“พวกเราไม่ลงรถหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวโอบเอวอ้อนแอ้นของนาง “หากเจ้าต้องการ จะไปถึงตำหนักบรรทมของฮองเฮาแล้วค่อยลงจากรถม้าก็ได้”
“ตระกูลจีร้ายกาจเช่นนี้เชียว”
“สามีของเจ้าร้ายกาจ”
เฉียวเวยเลิกม่านเปิด หันไปมองด้านหลัง แล้วก็เห็นสวินหลันกับบุตรชายและจีซวงกับสามีลงจากรถม้าจริงๆ พวกเขาลงจากรถม้าเสร็จก็มีนางกำนัลนำเกี้ยวสองหลังมารับ สวินหลันกับหลิวเกอร์นั่งเกี้ยวหลังหนึ่ง จีซวงนั่งอีกหลังหนึ่ง
มีขันทีเดินเข้ามานำทางให้อาเขยฉิน แต่อาเขยฉินดันพบสหายคนหนึ่งเข้า ทั้งสองคนจึงไปสนทนาปราศรัยกัน
วังหลวงของราชวงศ์ต้าเหลียงแบ่งออกเป็นเขตพระราชฐานชั้นในกับเขตพระราชฐานชั้นนอก พระราชฐานชั้นนอกหลักๆ เป็นสถานที่ยามฮ่องเต้กับขุนนางใหญ่ทั้งหลายมาเข้าประชุมรวมถึงบริหารบ้านเมือง สำนักยุทธการ สามสำนักหกกรมล้วนตั้ง ‘สถานที่ทำงาน’ ของตนเองไว้ที่นี่ด้วย จีหมิงซิวมีตำแหน่งขุนนางเป็นอัครมหาเสนาบดี ‘สถานที่ทำงาน’ ใหญ่โตกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง เป็นตำหนักเดี่ยวหนึ่งหลัง
ในเขตพระราชฐานชั้นนอก นอกจากอาคารที่ทำการแล้วก็ยังมีส่วนที่ไว้สำหรับต้อนรับทูตจากต่างแคว้น ทูตจากหนานฉู่ก็อาศัยอยู่ในตำหนักผิงชุนในเขตพระราชฐานชั้นนอก
งานเลี้ยงจัดขึ้นที่ตำหนักผิงชุนแห่งนี้เอง
“หนก่อนข้าเข้ามาจากตรงนั้น!” เฉียวเวยชี้ประตูเล็กคับแคบบานหนึ่ง
จีหมิงซิวลูบศีรษะของนาง “ลำบากเจ้าแล้ว”
นั่นเป็นประตูที่ไว้สำหรับบ่าวไพร่เข้า
พวกเขาเข้ามาจากประตูทิศเหนือ ขับรถม้าไปตามทางหินเขียวมุ่งหน้าไปยังตำหนักผิงชุน มีขันทีรออยู่ด้านข้างก่อนแล้ว เขานำทางสารถีให้ขับรถม้าไปยังคอกม้า
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยจูงมือเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนเข้ามาในตำหนักผิงชุน
ตำหนักผิงชุนใหญ่กว่าจวนตระกูลเฉียวทั้งหมด ตำหนักหลักหนึ่งหลัก ตำหนักข้างสองหลัง มีห้องเล็กด้านข้างสิบกว่าห้อง สวนดอกไม้อีกสามแห่ง
หัวหน้าชุยยิ้มตาหยีเข้ามาต้อนรับ “ใต้เท้า! ฮูหยิน! คุณชายน้อย คุณหนูน้อย!”
จีหมิงซิวผงกศีรษะให้เล็กน้อย
เฉียวเวยยิ้มอย่างยินดี “ชุยกงกง!”
หัวหน้าชุยเอ่ยขึ้นว่า “บ่าวเพิ่งทราบว่าฮูหยินจะเข้าวัง จึงตั้งใจมารออยู่ตรงนี้ ฝ่าบาทด้านนั้นรออยู่นานแล้ว ใต้เท้าเข้าไปก่อนดีหรือไม่ บ่าวจะคอยดูแลฮูหยินให้ดี”
จีหมิงซิวบอกกับเฉียวเวย “เจ้าตามชุยกงกงไปพบพระสนมจากแต่ละตำหนัก”
จะได้พบพระสนมด้วย ดียิ่ง!
เฉียวเวยบอกลาจีหมิงซิวแล้วจูงเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนเดินไปยังตำหนักข้างกับหัวหน้าชุย
…
อีกด้านหนึ่ง รถม้าของจวนกั๋วกงก็มาถึงวังหลวงแล้วเช่นกัน
หลินซูเยี่ยนลงจากรถม้ามาก่อน หลังจากนั้นจึงอุ้มจีหว่านลงจากรถม้า รอบด้านมีแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงจำนวนไม่น้อย เห็นทั้งสองคนทำกิริยาเสื่อมเสียวัฒนธรรมประเพณีเช่นนี้ก็พากันเผยสีหน้าดูแคลน
ผู้ใดจะคิดว่าจีหว่านไม่เพียงไม่สำรวมแต่ยังกอดคอหลินซูเยี่ยนอีก คนทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีแทบจะกระอักเลือดตาย!
หลีซื่อกับนายท่านรองหลินก็ลงจากรถม้ามาด้วย
ทั้งสองคนไม่ใกล้ชิดกันเช่นนั้น
หลีซื่อเกาะแขนของสาวใช้ก้าวเดินมาอย่างเชื่องช้า มืออีกข้างหนึ่งประคองหน้าท้องที่ยังแบนราบ แล้วเอ่ยเสียดสี “พี่สะใภ้ใหญ่ถูกเอาอกเอาใจปานนี้ หากไม่รู้คงคิดว่าในท้องของพี่สะใภ้ใหญ่อุ้มลูกสักคนอยู่”
กล่าวจบก็เดินอาดๆ เข้าไป
สาวใช้อายุน้อยขยับเข้ามาใกล้จีหว่านแล้วว่า “ระดูของเอ้อร์หน่ายนายมาช้าสามสี่วันแล้ว ทุกคนล้วนพูดว่า เอ้อร์หน่ายนายน่าจะตั้งครรภ์อีกแล้ว”
จีหว่านแค่นเสียงหยัน “ระดูมาสายก็เท่ากับตั้งครรภ์แล้วหรือ ข้าก็มาสายเหมือนกัน!”
“เจ้าเพิ่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่หรือ” หลินซูเยี่ยนถาม
จีหว่านเหล่มองเขา “ก่อนหน้านี้!”
หลินซูเยี่ยนขยับยิ้ม จูงมือของนางเดินตัดทางลัดมุ่งหน้าไปยังตำหนักผิงชุน ฮูหยินเช่นจีหว่านแต่เดิมนั่งเกี้ยวได้ แต่จีหว่านไม่ชอบ
ทั้งสองคนเดินมาได้ครึ่งทาง หน้าอกของจีหว่านก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หลินซูเยี่ยนหยุดก้าวเท้า มองนางอย่างกังวล “เป็นอะไรไปหรือหวานหว่าน ไม่สบายหรือ”
จีหว่านกุมหน้าอก ขมวดคิ้ว “ไม่รู้ว่ากินอะไรเข้าไปหรือเปล่า ข้าคลื่นไส้เล็กน้อย”
หลินซูเยี่ยนรีบบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะไปเรียกเกี้ยวหามมา!”
จีหว่านพยักหน้า
หลินซูเยี่ยนรีบร้อนเดินจากไป
ตอนนี้เองเกี้ยวสองหลังของตระกูลจีก็ผ่านมาจากทางเส้นน้อยด้านข้าง
สวินหลันเลิกผ้าม่าน เห็นจีหว่านผู้กำลังมุ่นคิ้วก็สั่งเสียงเบา “หยุดเกี้ยว”
ขันทีหยุดเกี้ยว
สวินหลันหันไปมองจีหว่านแล้วถามขึ้นว่า “หวานหว่าน เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือ”
จีหว่านพยักหน้าเล็กน้อย
สวินหลันเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ตรงนี้ลมแรง ในเมื่อเจ้าไม่สบายก็อย่ายืนตากลมเลย เร็วรีบขึ้นมานั่งเถิด”
จีหว่านลังเลเล็กน้อย ก่อนจะบอกสาวใช้ที่ติดตามอยู่ว่า “เจ้ารอซื่อจื่อตรงนี้ ประเดี๋ยวบอกเขาว่าข้าไปกับฮูหยินก่อน”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยขานรับ
จีหว่านขึ้นเกี้ยวของสวินหลัน
หลิวเกอร์เรียกขานพี่สาวคำหนึ่งอย่างว่านอนสอนง่าย
จีหว่านลูบศีรษะของเขา “เป็นเด็กดีจริงๆ”
สวินหลันหิ้วกาน้ำชาขึ้นมา กำลังจะรินน้ำให้นาง “สีหน้าของเจ้าย่ำแย่นัก ไม่สบายตรงที่ใดหรือ”
จีหว่านลูบหน้าอกแล้วตอบว่า “เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ เดินมาได้พักเดียว จู่ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้”
มือของสวินหลันชะงัก นางวางกาน้ำชาลงแล้วเปิดกล่องอาหารที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นบอกว่า “ตอนเช้าเจ้าไม่ได้กินอะไรมาใช่หรือไม่ หิวแล้วล่ะสิ กินเนื้อหมูแดดเดียวสักหน่อย”
ทันทีที่จีหว่านได้กลิ่นเนื้อ กระเพาะก็ปั่นป่วน ยกมือปิดปาก อาเจียนลมออกมา