เสียงนี้……
ตัววารุณีแข็งทื่อ หันหน้าไปทันที เห็นนิรุตติ์พิงอยู่หน้าห้องทานข้าว กำลังยิ้มให้เธอ
วารุณีบีบฝ่ามือ จากนั้นยืนขึ้นมา“คุณกลับมาแล้วเหรอ?”
“ผมกลับมาแล้ว”นิรุตติ์ก้าวเท้าเดินไปทางเธอ“วารุณี คุณรู้ไหม?คำว่า“คุณกลับมาแล้วเหรอ”ของคุณ ทำให้ผมดีใจจริงๆ คุณว่าเหมือนภรรยาพูดกับสามีที่กลับบ้านมาไหม?”
ได้ยินคำนี้ วารุณีก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ในใจรู้สึกคลื่นไส้
แต่ใบหน้าเธอไม่ได้แสดงออกมา พูดไปนิ่งๆว่า:“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้สึกว่าเหมือน!”
นิรุตติ์หัวเราะ ไม่รู้สึกโกรธ จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ข้างเธอมานั่งลงไป
นั่งลงแล้ว เขาก็ตบเก้าอี้ของวารุณี“นั่งสิ ไม่ได้กินอาหารเช้าอยู่เหรอ?ยังเหลือตั้งเยอะที่ไม่ได้กิน นั่งลงกินต่อสิ”
เขามองจานอาหารตรงหน้าวารุณีแล้วพูด
วารุณีเม้มริมฝีปากสีแดง อยากจะบอกว่าคุณอยู่นี่ ฉันก็ไม่อยากกินแล้ว
แต่คำนี้เธอรู้ว่า พูดไม่ได้
วารุณีสูดหายใจลึกๆ ระงับความไม่สบายใจในใจไว้ ละสายตาลงแล้วนั่งกลับไป
นิรุตติ์ตะโกนไปทางห้องครัว:“เมโรนา เอาอาหารเช้าให้ผมชุดหนึ่ง”
“คุณยังไม่กิน?”วารุณีหันไปมองเขา
นิรุตติ์หัวเราะเบาๆ“วารุณี นี่คุณกำลังเป็นห่วงผมเหรอ?”
วารุณีขมวดคิ้ว“เปล่าสักหน่อย”
ตานี่หน้าด้านจริงๆ แค่ประโยคเดียวก็คิดว่าใส่ใจห่วงใยเขาแล้ว
ทั้งๆที่เธอไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลย
“วารุณีคุณทำให้ผมเสียใจจริงๆนะ”นิรุตติ์ถอนหายใจอย่างผิดหวัง
วารุณีไม่สนใจ ก้มหน้าหั่นไข่ไปชิ้นหนึ่ง
ตอนที่เธอกำลังจะเอาไข่เข้าปาก จู่ๆมือก็ถูกคนจับไว้
วารุณีตกใจ รีบหันไปมอง
มองเห็นนิรุตติ์กำลังจับข้อมือของเธอ เอามือของเธอ มาตรงหน้าเขาอย่างออกแรง
วารุณีก็ออกแรงดึงกลับ ถามไปว่า:“คุณทำอะไรเนี่ย?”
“ผมหิวแล้ว ผมจะกินหน่อย”พูดจบ เขาก็ก้มหน้า เอาไข่บนส้อมเธอมากิน
วารุณีเบิกตาโต“คุณ……นั่นมันส้อมของฉัน!”
“ผมรู้”นิรุตติ์ปล่อยมือของเธอ กลืนไข่ในปากลง มองเธออย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม“ก็เพราะรู้ผมถึงทำแบบนี้ไง ต้องบอกว่า ไข่ที่วารุณีป้อนผมเองกับมือหอมมาก”
“คุณ……”วารุณีแพ้พ่ายกับความไร้ยางอายของเขาโดยสิ้นเชิง กัดฟันแล้วพูดออกไปสองคำว่า“โรคจิต!”
เธอป้อนเขากินเมื่อไหร่กัน เป็นเขาที่แย่งไปเองต่างหาก
วารุณีเอาส้อมในมือวางลงในจาน ความรังเกียจในสายตานั้นชัดเจนอย่างมาก
ส้อมนี้เธอใช้อีกไม่ได้แล้ว สกปรกมาก
แม้แต่อาหารเช้าที่เหลือ เธอก็รู้สึกว่าเปื้อนไปด้วย ไม่รู้สึกอยากอาหารสักนิด
นิรุตติ์เห็นความรังเกียจของเธอ สายตาก็หม่นลงไป อยากพูดอะไร เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมา
เมโรนาผู้เป็นคนใช้ถืออาหารเช้าชุดใหม่ออกมาจากครัว วางไว้ตรงหน้านิรุตติ์“คุณผู้ชาย เชิญรับประทานอาหารเช้าค่ะ”
นิรุตติ์ตอบอือ“ลงไปเถอะ ดูนวิยาให้ดี”
“ค่ะ”คนใช้พยักหน้า แล้วกลับไปที่ครัวอีก
วารุณีได้ยินนิรุตติ์พูดถึงนวิยา ก็ละสายตาลงถามอีกครั้ง:“คุณไม่โทษที่ฉันให้เมโรนาไล่นวิยาไปที่ครัวเหรอ?”
นิรุตติ์ดื่มกาแฟแล้วยิ้ม“ทำไมต้องโทษ?ครั้งที่แล้วคุณก็บอกแล้ว ไม่อยากนั่งกินข้าวกับนวิยา แค่ตอนที่คุณอยู่ ก็ให้นวิยาไปที่ครัว ผมเห็นด้วยแล้ว การเห็นด้วยของผมไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นตลอดไป คุณเข้าใจไหม?”
สายตาวารุณีเป็นประกาย ไม่พูดจา
นิรุตติ์วางกาแฟลง หยิบมีดและส้อมขึ้นมา“ใช่สิวารุณี คุณรู้ไหมทำไมเมื่อวานผมไม่กลับมาเลย?”
วารุณีถือนมขึ้นมาจิบ“ไม่รู้ และก็ไม่สนใจด้วย”
“ไม่ คุณต้องสนใจมากแน่”นิรุตติ์เงยหน้าขึ้นมองเธอ“คุณอยากรู้องค์กรที่อยู่เบื้องหลังผมมาเสมอ รวมทั้งอยากช่วยเพื่อนคุณสืบถึงศัตรูที่ฆ่าพ่อแม่ด้วยไม่ใช่เหรอ?”
พอได้ยิน สีหน้าของวารุณีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ร่างก็ยืดตรง
นิรุตติ์เห็นแบบนี้ก็ยิ้มขึ้นมา“คุณดูสิผม บอกแล้วไงคุณจะต้องสนใจมากแน่ ผมน่ะ เมื่อวานกลับไปที่องค์กรมา ช่วยคุณสืบทั้งหมดนี้แล้ว”
“อะไรนะ?”วารุณีมองเขาอย่างตกใจ“คุณ……คุณสืบได้แล้ว?ฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่เพื่อนฉันคือใคร?”
“อย่าตื่นเต้นสิ”นิรุตติ์บีบมือเธอ
วารุณีตะลึง จากนั้นแป๊บเดียวก็เงียบลง
ใช่ ตัวเองตื่นเต้นขนาดนี้ทำไม?
ตื่นเต้นแล้ว เขาจะบอกเธอไหม?
ไม่บอกแน่ๆ ถึงเขาจะบอกเธอ ก็ต้องขอเอาอะไรจากเธอแน่
ดังนั้น เธอไม่ควรถามเขาแบบนี้จริงๆ
เหมือนมองออกว่าวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่ นิรุตติ์ก็ถอนหายใจ“วารุณี คุณคิดกับผมแบบนี้ ทำให้ผมเสียใจจริงๆ ผมทำให้คุณไม่เชื่อใจขนาดนี้จริงๆเหรอ?ครั้งที่แล้วผมบอกจะช่วยคุณสืบ คุณคิดว่าผมจะฉวยโอกาสขอบางอย่างจากคุณ ดังนั้นเลยปฏิเสธผม แต่ต่อมาผมก็ไปสืบมา นี่หมายความว่าไง หมายความว่าผมจริงจังไง อยากทำอะไรเพื่อคุณบ้าง และไม่ต้องให้คุณต้องจ่ายด้วยอะไร”
วารุณียกมุมปากขึ้นนิดๆ“ขอโทษ ฉันไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ดังนั้นก็เลยไม่เชื่อคุณ ว่าจะช่วยฉันสืบโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ”
นิรุตติ์ขมวดคิ้ว จากนั้นถอนหายใจ“อยากให้คุณเชื่อผมครั้งหนึ่ง ทำไมยากขนาดนี้ล่ะ ช่างเถอะ ในเมื่อคุณไม่เชื่อผม งั้นผมก็จะพิสูจน์ตัวเองด้วยตัวเอง ผมไม่พูดให้อยากแล้วเข้าเรื่องเลยละกัน สิบกว่าปีก่อนองค์กรดาร์กของพวกเราได้คัดเลือกกลุ่มคนมีความสามารถจากภายนอกมา หนึ่งในนั้นมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นต้น ผู้รับผิดชอบในการรับสมัคร เป็นหัวหน้าแก๊งขององค์กรดาร์กพวกเราคนหนึ่ง”
องค์กรดาร์ก?
วารุณีคิดไม่ถึงว่าตัวเองที่ไม่คิดจะรู้ว่าใครฆ่าพ่อแม่ของพงศกร แต่นิรุตติ์ดันเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนเอง
ที่สำคัญก็คือ เขาดันพูดชื่อองค์กรที่อยู่เบื้องหลังของเขาขึ้นมาด้วย
ชื่อขององค์กรนี้ นัทธีกับอารัณสืบมาตั้งนาน ก็สืบไม่ได้ แต่นิรุตติ์ดันพูดออกมาเอง
เขาไม่กลัววันข้างหน้าเธอจะบอกนัทธี แล้วไปทำลายองค์กรเบื้องหลังเขาเหรอ?
ความประหลาดใจบนใบหน้าวารุณีชัดเจนไป นิรุตติ์ไม่ต้องดูให้ดี ก็รู้ความคิดในใจเธอ ในดวงตามีประกายแวบเข้ามา“ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมยุยงคนกลุ่มหนึ่งในองค์กรแล้ว ถือว่าแยกออกจากองค์กรแล้ว หมายความว่า องค์กรจะเป็นไง ไม่เกี่ยวกับผม”
วารุณีเข้าใจทันที
ที่แท้ก็แบบนี้
ไม่น่าล่ะเขาไม่แคร์เลยที่พูดชื่อขององค์กรตัวเองออกมา นั่นเพราะว่า เขาหักหลังแล้วหลบหนีองค์กรนั้น!
นิรุตติ์มองวารุณีที่ดูสงบลง เขาขยับริมฝีปากบางๆแล้วพูดอีกครั้ง:“หัวหน้าคนนั้น คือฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่เพื่อนคุณ แต่คุณไม่ยอมบอกผมเลยว่า เพื่อนคุณคนนั้นคือใครกันแน่ ตอนนี้ผมก็รู้แล้ว พงศกรใช่ไหม?”
รูม่านตาวารุณีหดลง ร่างแข็งทื่อ
เขารู้แล้ว!
นิรุตติ์หัวเราะเสียงเบา“อย่างกังวล ผมช่วยคุณสืบเรื่องนี้ สืบเรื่องของพงศกรได้ไม่แปลก เพราะว่าพ่อแม่ของพงศกร เป็นคนที่หัวหน้าคนนั้นฆ่าเพียงคนเดียวในตอนนั้น พ่อแม่ของพงศกร คนหนึ่งเป็นหมอด้านหัวใจ อีกคนคือนักชีววิทยา เป็นคนมีความสามารถที่องค์กรดาร์กต้องการพอดี หัวหน้าคนนั้นไปหาถึงที่อยู่หลายครั้งโดยเฉพาะ หวังว่าพ่อแม่ของพงศกรจะเข้าร่วมองค์กรดาร์ก สุดท้ายกลับถูกปฏิเสธ”
“จากนั้นพวกเขาก็ถูกฆ่า?”สายตาของวารุณีหนักแน่น
นิรุตติ์ไม่พูดว่าถูกหรือไม่ถูก“ประมาณนั้น แต่ระหว่างนั้นมีขัดเจตนาบางอย่าง หลังจากปฏิเสธครั้งที่ห้า พ่อแม่ของพงศกรรำคาญหัวหน้าคนนั้นมาก หัวหน้าจึงอยากฆ่าพวกเขา เริ่มส่งคนไปตามฆ่าพวกเขา หลังจากที่พวกเขารู้ตัว ก็หลบซ่อนตัวไปทุกที่ แต่สุดท้ายก็ยังถูกหัวหน้าจับไป แล้วจากนั้นก็ฆ่า พูดถึงแล้ว การตายของพวกเขา เกี่ยวข้องกับครอบครัวเพื่อนสนิทคุณจริง”
“อะไรนะ?”วารุณียืนขึ้นทันที