บทที่ 662 เกี่ยวข้องกับตระกูลจิรดำรงค์

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เกี่ยวกับครอบครัวปาจรีย์?

จะเป็นไปได้ไง!

ก็ปาจรีย์เคยบอกว่า ครอบครัวพวกเขาไม่ได้เปิดเผยร่องรอยของพ่อแม่พงศกรไป แล้วจะเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อแม่พงศกรได้ไง

นิรุตติ์มองวารุณีที่ดูไม่อยากจะเชื่อ ยกกาแฟขึ้นมาจิบคำหนึ่ง“เรื่องจริงเป็นแบบนี้ พ่อแม่ของพงศกร เป็นเพื่อนรักกับพ่อแม่ปาจรีย์มาหลายปี และเป็นคนที่พ่อแม่พงศกรเชื่อใจที่สุด ดังนั้นตอนที่พ่อแม่พงศกรหนีตาย ก็ยังรักษาการติดต่อกับครอบครัวปาจรีย์มาตลอด และยังพึ่งพาการช่วยเหลือกับการปิดบังจากครอบครัวปาจรีย์ด้วย ถึงได้หลบหนีภายใต้เงื้อมมือของหัวหน้าได้นาน”

“หมายความว่า ครอบครัวปาจรีย์ช่วยครอบครัวพงศกรต่างหาก แต่การตายของพ่อแม่พงศกร เกี่ยวกับครอบครัวปาจรีย์ได้ไงล่ะ?”วารุณีกำโทรศัพท์ไว้ มองเขาอย่างโกรธเคือง

นิรุตติ์ยกมุมปากขึ้น“แน่นอนว่าเกี่ยว ตระกูลจิรดำรงค์ช่วยตระกูลอิสริยานนท์จริงๆ ถึงแม้จะช่วยอย่างปิดบังไว้ แต่ความสัมพันธ์ของตระกูลจิรดำรงค์กับตระกูลอิสริยานนท์ คุณว่าหัวหน้าจะไม่สืบตระกูลจิรดำรงค์เหรอ?ดังนั้นหัวหน้าพบสิ่งผิดปกติของตระกูลจิรดำรงค์ จับได้ว่าทุกช่วงเวลาหนึ่งตระกูลจิรดำรงค์ จะหายไปสองวันกะทันหัน จากนั้นก็ปรากฏตัวอย่างกะทันหันอีก หัวหน้าก็เดาว่าที่ตระกูลจิรดำรงค์หายไปสองวันนี้ จะเกี่ยวกับตระกูลอิสริยานนท์หรือไม่ ดังนั้นมีช่วงหนึ่ง หัวหน้าเลยส่งคนแอบจับตาดูคนของตระกูลจิรดำรงค์ จากนั้นหัวหน้าก็พบเบาะแสของตระกูลอิสริยานนท์”

วารุณีตกใจ ใบหน้าซีดขาว“ทำไมถึงเป็นแบบนี้……”

หมายความว่า ครอบครัวปาจรีย์ไม่ได้บอกเบาะแสของครอบครัวพงศกรให้หัวหน้าคนนั้น

แต่ ครอบครัวปาจรีย์ก็เปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำร้ายพ่อแม่พงศกรทางอ้อม

มองวารุณีที่ดูช็อก นิรุตติ์ก็กัดแซนด์วิชไปคำหนึ่ง แล้วพูดอีกว่า:“จากนั้นหัวหน้าก็ไปหาคนตระกูลอิสริยานนท์ก่อน แล้วฆ่าสามีภรรยาตระกูลอิสริยานนท์ ตอนที่รอพ่อแม่ตระกูลจิรดำรงค์มา สามีภรรยาตระกูลอิสริยานนท์ก็ตายแล้ว ตอนนั้น พงศกรก็หลบในห้องนั้น ได้เห็นกระบวนการทั้งหมด เข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนตระกูลจิรดำรงค์เปิดเผยร่องรอยของพวกเขา ตั้งแต่นั้นก็เกลียดตระกูลจิรดำรงค์”

แล้วนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

วารุณีฟังจบ ก็เอนนั่งกลับไปที่เก้าอี้อย่างหมดแรง เข้าใจว่าครั้งนี้ปาจรีย์กับพงศกร แย่แล้วจริงๆ

ถึงร่องรอยของครอบครัวพงศกร ไม่ใช่ครอบครัวปาจรีย์เป็นคนเปิดเผย

แต่ก็เป็นการเปิดเผยทางอ้อม

หมายความว่า เป็นการฆ่าพ่อแม่พงศกรทางอ้อมด้วยเช่นกัน

ตอนแรก เธอคิดว่าการตายของพ่อแม่พงศกร ไม่เกี่ยวกับตระกูลจิรดำรงค์จริงๆ

แต่ตอนนี้…….

วารุณีกุมหน้าผากอย่างเหนื่อยล้า พูดไม่ออก

นิรุตติ์เหลือบมองเธอ“ใช่สิ ตอนนี้หัวหน้าคนนั้นไม่อยู่องค์กรแล้ว ซื้อชายหาดในประเทศมาตัส ใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างสุขสบาย นี่คือรูปของเขา”

พูดไป เขาก็หยิบรูปใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าให้เธอ

วารุณียื่นมือไปรับ ก้มหน้าดู คนในรูปนั้น เป็นคนแก่คนหนึ่งที่อายุประมาณหกสิบ

คนแก่นั้นไม่มีผม โกนหัว ด้านบนไม่สวมอะไร ด้านล่างสวมกางเกงชายหาดขาสั้นสีสันสดใส นอนสบายๆบนพื้นทราย หลับตาอาบแดด

คนแก่หน้าตาธรรมดามาก ถ้าไม่โชว์ผิวออกมาว่ามีลายสักสีดำสนิท ก็ดูเป็นคนแก่ทั่วไปเลย มองไม่ออกว่าเป็นฆาตกรฆ่าคน

“คุณเอารูปนี้ให้ฉันทำไม?”วารุณีเอารูปวางไว้บนโต๊ะแล้วถาม“หรือว่า คุณจะปล่อยฉัน จากนั้นให้ฉันเอารูปนี้ให้พงศกร?”

นิรุตติ์หัวเราะเบาๆ“แน่นอนว่าไม่ รูปผมแค่ให้คุณดูเฉยๆ ให้คุณรู้ว่าคนที่ฆ่าพ่อแม่พงศกรคือใคร”นิรุตติ์พูดเบาๆ

วารุณีเม้มปาก ไม่พูดจา

ที่เขาถามเธอแบบนี้ เพราะอยากหยั่งเชิงเขา ว่ารู้หรือไม่ว่านัทธีอยู่ระหว่างทางมาช่วยเธอแล้ว

แต่ตอนนี้ดูสภาพเขาแล้ว เหมือนเขาไม่รู้

ทำให้วารุณีอดไม่ได้ที่จะโล่งอก

ยังไม่รู้ดีจัง

รู้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าเดี๋ยวนิรุตติ์จะพาเธอย้ายไป ถึงตอนนั้นนัทธีมาหาที่นี่ ก็จะไม่เจออะไร

คิดไป วารุณีก็ถือรูปไว้“ฉันกลับห้องก่อนนะ”

พูดจบ เธอก็หันกลับ ออกไปจากห้องทานข้าวโดยไม่หันหน้ากลับไป

นิรุตติ์หันไปมองแผ่นหลังของเธอ แว่นตาสะท้อนแสง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

วารุณีกลับถึงห้อง ปิดประตูลง เอาโซฟาเดี่ยวด้านข้าง มากั้นประตูไว้

แบบนี้ นิรุตติ์ก็เข้าไม่ได้

และช่วงนี้ ไม่ว่านิรุตติ์อยู่หรือไม่ เธอก็ทำแบบนี้ ยังไงนิรุตติ์ไม่อยู่ ก็ยังมีนวิยาอีกคน

ความแค้นระหว่างเธอกับนวิยาเป็นแค้นฝังลึก ใครจะไปรู้ว่านวิยาจะบ้าเมื่อไหร่ แล้วบุกเข้าห้องของเธอ มาฆ่าเธอล่ะ

ขวางประตูเสร็จ วารุณีก็สูดหายใจลึกๆ เอารูปวางไว้ที่หัวเตียง เดินไปที่ระเบียง

หลายวันนี้ ตอนที่อยู่ในห้องคนเดียว เธอชินที่จะนั่งอยู่ตรงระเบียง มองทะเลด้านนอกแล้ว ตอนแรก แค่อยากดูว่ามีเรือผ่านมาไหม ไม่แน่เธออาจจะมีคนช่วยได้

แต่ตอนนี้ เธออยากดูว่าเรือของนัทธีปรากฏบนทะเลที่เธอกำลังดูอยู่หรือไม่

วารุณีก็เป็นเช่นนี้ พิงราวบันไดและมองออกไปด้านนอก

มองอยู่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน จู่ๆข้างหูก็มีเสียงหึ่งหึ่งเข้ามา

วารุณีหันไป ก็พบผึ้งตัวหนึ่ง

เธอตกใจ รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองผึ้งตรงหน้าตัวนี้อย่างระวัง กลัวว่าจู่ๆผึ้งตัวนี้จะมาหาเธอ

และผึ้งนี่ก็ใหญ่มาก ใหญ่กว่าผึ้งที่เธอเคยเจอเยอะเลย ถูกต่อยไป อาจคร่าชีวิตเธอไปได้

ยังไงผึ้งตัวใหญ่ขนาดนี้ ก็อาจจะมีพิษได้

วารุณียืนตรงนั้นไม่กล้าขยับ กลัวว่าขยับไป ผึ้งตัวนี้จะต่อยเธอกะทันหัน

และตอนนี้ วารุณีก็เผชิญหน้ากับผึ้งตัวนี้ มองกันไปมา ไม่มีใครไปก่อน

แต่พอมองดู วารุณีก็พบปัญหา

ดวงตาของผึ้งนั้น ทำไมกะพริบแสงสีแดง?

เหมือนว่าเป็น……แสงสีแดงจากกล้องที่ซ่อน

เดี๋ยวนะ ซ่อนกล้อง!

วารุณีเบิกตาโต ใจเต้นแรงมาก

ไม่มั้ง ผึ้งนี้ คงไม่เป็นกล้องอะไรจริงๆหรอกมั้ง

ถ้าใช่ล่ะก็ ใครใส่มาล่ะ?

เป็นนิรุตติ์?หรือว่านัทธี?

แน่นอนว่า เธอหวังว่าจะเป็นคนหลัง แต่ขณะเดียวกัน คนหน้าก็มีความเป็นไปได้

เพราะว่านิรุตติ์แอบมองเธออยู่ตลอด รับรองไม่ได้ว่าจะไม่ทำเรื่องโรคจิตๆแบบนี้อีก ให้กล้องนี้ถ่ายเธอ

แต่ไม่ว่าจะเป็นนัทธี หรือว่านิรุตติ์ ความเป็นไปได้ของพวกเขาสองคนก็คนละครึ่ง

บางที อาจเป็นนัทธี

คิดไป วารุณีก็สูดหายใจลึกๆ ลองยื่นมือออกไปทางผึ้งนี้

เธออยากลอง ลองผึ้งตัวนี้ดูว่า เป็นของจริงหรือไม่

แป๊บเดียว วารุณีก็ยื่นมือออกไป ตอนจะสัมผัสถึงผึ้ง

ผึ้งก็ขยับ ตกอยู่บนมือเธอ

วารุณีรีบหลับตาลง รอผึ้งต่อยตัวเอง

รอไปประมาณสิบกว่านาที มือของเธอก็ยังไม่รู้สึกผิดปกติใดๆ เธอจึงลืมตาอย่างโล่งอก

ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่ผึ้งของจริง

ถ้าเป็นผึ้งของจริง ถึงไม่ต่อยเธอ ก็จะบินออกไปตอนเธอมือเธอสั่น

แต่มือของเธอ เพิ่งสั่นอย่างแรง ผึ้งยังหยุดอยู่ข้างบนนิ่งๆ และแม้แต่ปีกก็ยังเก็บ ดังนั้นความน่าจะเป็นที่จะไม่ใช่ผึ้งตัวจริงก็มากอยู่

วารุณีถอนหายใจ จากนั้นค่อยๆชักมือกลับมา ผึ้งตัวนั้นยังคงหยุดอยู่ด้านบนไม่บินไปไหน

แป๊บเดียว ผึ้งก็อยู่ห่างตัวเองไม่ยี่สิบเซนติเมตร

ที่ปกปิดนั้น วารุณีก็มองเห็นชัดแล้ว ขาของผึ้ง เป็นขาจักรกล!

หมายความว่า ผึ้งตัวนี้ เป็นของจำพวกกล้องบางอย่างจริงๆ

ทันใดนั้น วารุณีก็มองเห็นอะไร ด้านหลังก้นของผึ้ง ติดหูฟังเล็กๆอันหนึ่งไว้

ใช่ หูฟัง หูฟังนั้นเล็กมาก เป็นหูฟังที่เล็กมากจนมองไม่เห็นทรงกลม