ตอนนี้ วารุณีเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า ผึ้งไม่ได้เป็นของนิรุตติ์ แต่เป็นของนัทธี
คิดแบบนี้ วารุณีก็ตื่นเต้นจนมือสั่น รีบไปเอาหูฟังตรงก้นของผึ้งออก
พอเอาออกมาแล้ว เธอก็จ้องไปที่หูฟัง จากนั้นรีบเอาหูฟังใส่ในหู
พอใส่เข้าไป ก็มีเสียงเข้ามา“คุณหญิง ได้ยินไหมครับ?”
เป็นมารุต เสียงของมารุต!
“ได้ยิน!”วารุณีมองผึ้ง เบ้าตาแดงก่ำ
มารุตโล่งอก“ดีมากครับ ผมกลัวว่าอยู่ไกลไป จะส่งผลต่อสัญญาณหูฟัง”
“ฉันได้ยินชัดเจน แต่ทำไมพวกคุณถึงเอากล้องผึ้งนี้มาหาฉันล่ะ ถ้าฉันไม่เห็นแสงสีแดง ฉันคิดว่าเป็นผึ้งจริงๆแล้ว ทำฉันตกใจหมด”วารุณีตบหน้าอกแล้วพูด
มารุตพูดอย่างรู้สึกแย่:“ขอโทษครับคุณหญิง พวกเราหมดหนทาง ใส่ผีเสื้อก็ไม่ได้ รูปร่างของผีเสื้อมันใหญ่ไปหน่อย จะดึงดูดนิรุตติ์ได้ ดังนั้นผึ้งดีแล้วครับ ผึ้งนี้เป็นสิ่งของของพวกทหาร ตอนที่ทหารทำภารกิจในป่า มักจะส่งกล้องเสมือนจริงนี้ไป พวกเราก็ยังไปซื้อไม่กี่อันกับทหารประเทศนิวซีด้วย ที่จริงอยากลองหาคุณหญิง คิดไม่ถึงว่าจะหาเจอจริงๆ”
“ใช่ ฉันก็ไม่คิดว่าพวกคุณจะส่งกล้องผึ้งนี้มา”วารุณีพูดยิ้มๆ
“ที่จริงพวกเราไม่ได้ส่งไปแค่อันเดียว แต่ส่งไปสามอันต่างหาก สองอันอื่นไปสำรวจเกาะนี้ ส่วนตัวนี้อยู่กับคุณหญิง ติดต่อพวกเราได้ตลอดเวลา”มารุตตอบ
วารุณีพยักหน้า“โอเค นัทธีล่ะ?”
ประธานนัทธีอยู่บนดาดฟ้า ดูเกาะที่คุณอยู่ด้วยกล้องโทรทรรศน์
“ใช้กล้องโทรทรรศน์ดู?หมายความว่า พวกคุณไม่ได้อยู่ห่างกับฉันมากแล้วเหรอ?”ดวงตาวารุณีเป็นประกาย
มารุตพยักหน้า“ครับ ตอนนี้คุณหญิงสามารถมองไปที่ขอบฟ้าได้ น่าจะเห็นสิ่งของบางอย่าง”
“โอเค ฉันจะดู”วารุณีปล่อยผึ้ง ผึ้งก็ลอยขึ้นไปทันที
เธอคว้าราวบันไดและมองไปที่เส้นขอบฟ้าทะเลในระยะไกล การมองนี้ ก็มองเห็นที่แห่งหนึ่งในเส้นขอบฟ้าทะเล ปรากฏอีกสิ่งที่เหมือนกัน สายล่อฟ้า
นั่นเป็นสายล่อฟ้าของเรือสำราญ หมายความว่า เป็นสายล่อฟ้าของเรือสำราญนัทธี
“ฉันเห็นแล้ว ฉันเห็นสายล่อฟ้าแล้ว”วารุณีตื่นเต้นจนเกือบร้องไห้
มารุตหัวเราะ“ครับ และตอนนี้ประธานก็เห็นคุณหญิงแล้ว”
มารุตยืนพูดอยู่หลังนัทธี
นัทธีถือกล้องโทรทรรศน์มองไปในระยะไกล แล้วริมฝีปากบางๆก็ยกขึ้นเล็กน้อย
มารุตก็รู้ว่า เขาจะต้องเห็นคุณหญิงแน่ ดังนั้นจึงหัวเราะ
ที่ปลายสาย วารุณีได้ยินว่านัทธีเห็นตัวเอง ในใจก็ดีใจ รีบโบกมือไปทางสายล่อฟ้า
ถึงแม้เธอมองไม่เห็นนัทธี แต่ทำให้นัทธีมองเห็นเธอ เธอก็มีความสุขแล้ว
นัทธีมองเห็นวารุณีโบกมือมาทางตัวเองจริงๆ ริมฝีปากบางๆโค้งเป็นมุมชัดขึ้น
แป๊บหนึ่ง เขาก็วางกล้องกล้องโทรทรรศน์ ยื่นมือออกไปทางมารุต
มารุตรู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงยื่นแท็บเล็ตให้เขา
นัทธีมองวารุณีในแท็บเล็ต แล้วพูด:“ผมเอง”
“ฉันรู้”เสียงของวารุณีนั้นกระอักกระอ่วน
คิ้วของนัทธีอ่อนโยนขึ้น“อย่าร้องไห้สิ อีกแป๊บเดียวผมก็จะรับคุณกลับมาแล้ว”
“โอเค”วารุณีพยักหน้า“ฉันเชื่อคุณ”
เธอไม่ได้ถามเขาว่าอีกแป๊บเดียวนี่นานแค่ไหน
เธอแค่ต้องเชื่อเขาก็พอแล้ว
นัทธียื่นมือไป เช็ดน้ำตาของวารุณีบนหน้าแท็บเล็ต
ถึงแม้วารุณีไม่รู้ ถึงแม้ที่เช็ดนั้นไม่ใช่น้ำตาจริงๆ เขาก็ยังทำแบบนี้
“นิรุตติ์เพิ่งกลับไปที่เกาะ”นัทธีพูด
วารุณีพยักหน้า“ฉันรู้แล้ว ตอนนี้เขาก็อยู่ที่คฤหาสน์”
“อือ เฮลิคอปเตอร์ของเขาก็จอดอยู่ที่เกาะ”นัทธีพูดไปอีก
เพราะว่าเครื่องบินของนิรุตติ์ บินจากเส้นทางอื่นมาที่เกาะ ดังนั้นเลยไม่เห็นว่าพวกเขาอยู่ใกล้แล้ว
วารุณีตกใจ“อะไรนะ?เครื่องบินของเขายังไม่ไป?งั้นหมายความว่า เดี๋ยวเขาก็จะไป?”
ต้องรู้ว่าตอนที่นิรุตติ์ไม่ไปไหน เครื่องบินส่งเขาเสร็จก็จะออกไปจากเกาะทันที
ครั้งนี้เขากลับมานานแล้ว เครื่องบินก็ยังอยู่
นัทธีเม้มปาก“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ แต่เป็นไปได้สูง”
“งั้นฉันต้องหาทางให้เขาอยู่ก่อน!”วารุณีพูด:“ให้เขาไปไม่ได้”
“ไม่ต้อง คุณไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าได้รับบาดเจ็บจะทำไง ถึงไม่บาดเจ็บ ก็เป็นไปได้ที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ”นัทธีพูดอย่างไม่เห็นด้วย
วารุณีกัดปาก“แต่แบบนี้เขาก็หนีสิ!”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมแคร์แค่คุณ แค่คุณปลอดภัยก็พอแล้ว แล้วค่อยจับเขาก็ไม่สายหรอก”นัทธีพูดเสียงหม่น
ในใจของวารุณีรู้สึกอบอุ่น“นัทธี……”
“นิรุตติ์ปรากฏตัวแล้ว อย่าพูดนะ”จู่ๆเสียงของนัทธีก็เคร่งขรึมขึ้นมา
วารุณีรีบหุบปาก เอาผึ้งใส่ไปในกระเป๋า จากนั้นก้มหน้ามองไปด้านล่าง
นิรุตติ์กำลังเดินไปที่ลานจอดเครื่องบิน
เหมือนจะรู้สึกถึงสายตาของเธอ ฝีเท้าของนิรุตติ์จึงหยุดลง จากนั้นเงยมองมา สบตาเข้ากับสายตาของวารุณี
นิรุตติ์ยิ้มให้เธอ
วารุณีเม้มริมฝีปากสีแดง แล้วหันกลับเข้าไป อย่างไม่ชอบเขาขั้นขีดสุด
นิรุตติ์หรี่ตาลง ไม่โกรธอะไร ก้าวเท้าเดินไปที่ลานจอดเครื่องบินต่อ
ในห้อง วารุณีก็เอาผึ้งออกมา
ผึ้งลอยกลางอากาศอีกครั้ง หัวเล็กๆนั้นไม่หยุดเคลื่อนไหว
วารุณีรู้ว่า นั่นเป็นห้องที่นัทธีกำลังมองเธอ
แป๊บเดียว หัวของผึ้งน้อยก็ไม่ขยับอีก นัทธีถาม“คุณพักอยู่นี่เหรอ?”
“ใช่”วารุณีพยักหน้า
นัทธีตอบอือ“ดีมาก”
ดูเหมือนว่านิรุตติ์จะไม่ได้ปฏิบัติต่อเธออย่างเหี้ยมโหด งั้นเขาก็โล่งอก
“ใช่สิ เมื่อกี๊นิรุตติ์เห็นคุณไหม?”นัทธีถามอีกครั้ง
วารุณีพยักหน้า“เห็นแล้ว แต่พวกเราไม่พูดอะไร เหมือนเขาจะไปลานจอดเครื่องบิน”
“ผมรู้ เขาขึ้นเครื่องบินแล้ว เตรียมออกไป รอเขาไป ผมจะมาทันที”นัทธีหรี่ตาพูด
วารุณีใจแต้นแรง เป็นความตื่นเต้น ดีใจ
แต่ขณะเดียวกัน ก็เสียใจอยู่บ้าง“แต่นิรุตติ์ไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร นวิยายังอยู่!”น้ำเสียงนัทธีเยือกเย็นเหมือนโรงน้ำแข็ง
เทียบกับนิรุตติ์แล้ว นวิยาต่างหากที่เป็นเนื้อร้ายที่มีพิษที่สุด
เพราะว่านวิยา ไม่ใช่แค่เป็นฆาตกรอีกคนที่ฆ่าพ่อแม่เขา แต่ยังเคยลงมือกับวารุณีและลูกทั้งสองของเขาด้วย น่าแค้นยิ่งกว่านิรุตติ์อีก
เรียกได้ว่า แค้นที่เขามีต่อนวิยา หนักกว่าที่มีต่อนิรุตติ์
จับนวิยาได้ เขาก็สามารถแก้แค้นให้พ่อแม่ ให้วารุณีกับลูกทั้งสองได้
วารุณีฟังความแค้นในน้ำเสียงนัทธีออก สีหน้าก็หม่นลงไป“คุณพูดถูก นวิยายังอยู่ ถ้าจับนิรุตติ์ไม่ได้ จัดการนวิยาก่อน ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่มา”
นัทธีตอบอือ เห็นด้วยกับที่พูดแบบนี้
แป๊บเดียว วารุณีก็ได้ยินเสียงใบพัดทำงาน
เธอรู้ว่า นิรุตติ์ไปแล้ว
วารุณีสูดหายใจลึกๆ“นัทธี ฉันลงไปดูสถานการณ์ในคฤหาสน์ก่อนนะ”
“โอเค ไปเถอะ”
วารุณีเอาผึ้งตัวเล็กๆนี้ใส่ในกระเป๋าไปอีกครั้ง ผลักโซฟาออกแล้วเปิดประตูลงมา
ชั้นล่าง นวิยานั่งดูโทรศัพท์ในห้องรับแขก ส่วนคนใช้ทำความสะอาดอยู่ข้างๆ
ทั้งสองยังไม่รู้ตัวว่า อันตรายใกล้มาถึงแล้ว
วารุณียืนอยู่หน้าบันได จ้องนวิยาไปอย่างนั้น
นวิยาถูกเธอมองจนอึดอัด ขมวดคิ้วมองมา“ดูอะไร?”
วารุณีเม้มริมฝีปากไม่พูดจา
ทันใดนั้นนวิยาก็คิดอะไรได้ มุมปากยิ้มขึ้นมาอย่างภูมิใจ“เธอคงไม่ กำลังจ้องโทรศัพท์ของฉันอยู่ใช่ไหม?เธออยากได้โทรศัพท์ของฉัน มาติดต่อนัทธีใช่ไหม?”
วารุณีเลิกคิ้วขึ้น ยังไม่ตอบ
โทรศัพท์?
เธอได้โทรศัพท์มาติดต่อนัทธีนานแล้ว ตอนนี้จะยังอยากได้อยู่อีกเหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เธอมีของดีกว่านั้นแล้ว ติดต่อกับนัทธี ก็ติดต่อได้ตลอดเวลา
นวิยาเห็นวารุณีไม่พูด ก็เข้าใจผิดว่าตัวเองพูดถูก ปิดปากยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง“เยี่ยม แต่ฉันไม่ให้โทรศัพท์เธอ เธอก็ติดต่อนัทธีไม่ได้ งั้นเธอก็อยู่นี่ไปตลอดชีวิตละกัน