ตอนที่ 1389 โลกเกิดกลียุคครั้งใหญ่ (3) ตอนที่ 1390 ดักปล้น (1)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1389 โลกเกิดกลียุคครั้งใหญ่ (3) / ตอนที่ 1390 ดักปล้น (1)
ตอนที่ 1389 โลกเกิดกลียุคครั้งใหญ่ (3)

ใบหน้าของเฉียวฉู่กลายเป็นสีเข้มจนดูน่ากลัว สิ่งที่พวกเขาพบในเมืองหลวงรัฐจิ้ว เป็นสิ่งที่พวกเขายังไม่สามารถลืมได้จนถึงทุกวันนี้

“ต้องเป็นตำหนักหวนจิตแน่! พวกมันอยากได้อะไรถึงต้องทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายมากขนาดนี้! แล้วพวกตำหนักอื่นๆ ไม่สนใจกันเลยหรืออย่างไร” เฉียวฉู่กัดฟัน เส้นแบ่งระหว่างสามโลกชั้นกลางและอาณาล่างถูกขีดไว้อย่างชัดเจนมาตลอด ตอนที่สิบสองตำหนักมาค้นหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ พวกเขาทำงานกันอย่างรอบคอบระมัดระวัง ไม่เคยสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในอาณาล่างแบบนี้

“สนใจ เจ้าคิดว่าคนพิษพวกนั้นเป็นฝีมือของตำหนักหวนจิตเท่านั้นหรือ” ฮวาเหยาเย้ยหยัน

“หมายความว่าอย่างไร” เฉียวฉู่ตกใจเล็กน้อย

จวินอู๋เสียหรี่ตาลงและพูดว่า “สิบสองตำหนักไม่รั้งตัวเองไว้แล้วคราวนี้”

“หา” เฉียวฉู่ยังคงสับสน

“อย่างนั้นนี่ก็เป็นโอกาสดีของเราเลยไม่ใช่หรือ เราน่าจะให้พวกมันได้ลิ้มรสพลังของเราจริงๆ! ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว” เฟยเยียนพูด ไฟในดวงตาลุกโชน หนี้แค้นที่พวกเขาแบกไว้ ทำให้สิบสองตำหนักกับพวกเขาเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟ

“น้องเสีย เจ้ามีแผนอย่างไร” หรงรั่วมองไปที่จวินอู๋เสีย

จวินอู๋เสียตอบว่า “ออกเดินทางกันเลย”

จวินอู๋เสียได้เดาสถานการณ์ปัจจุบันเอาไว้แล้ว

สิบสองตำหนักไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่จู่ๆ ก็ลงมือกับสามโลกเบื้องล่างอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ แสดงว่าสุนัขจนตรอกแล้ว

พวกเขาคงค้นพบว่าแผนที่ของตำหนักต่างๆ ได้หายไปหมด และร้อนใจจนต้องก่อปัญหาขึ้นในสามโลกเบื้องล่าง ส่วนพวกเขามีจุดประสงค์อะไรนั้น จวินอู๋เสียก็ยังไม่แน่ใจ สร้างหายนะขนาดนี้ขึ้นในสามโลกเบื้องล่างเพื่ออะไร พวกเขาจะได้อะไรจากการทำเช่นนี้

จวินอู๋เสียรู้สึกกังวลขึ้นมา โลกเกิดกลียุคครั้งใหญ่ จากคำพูดเมื่อสักครู่ของเสี่ยวเอ้อร์ มันบอกได้ไม่ยากเลยว่ากองกำลังหลักที่ต่อต้านพวกคนพิษคือรัฐเหยียนรวมกับรัฐชีและรัฐเฉียว ทั้งสามรัฐนั้น ไม่ว่าจะรัฐใดก็มีความหมายกับจวินอู๋เสียทั้งนั้น

ถ้าครั้งนี้สิบสองตำหนักกล้าทำร้ายคนที่นางห่วงใย ต่อให้นางต้องไล่ล่าพวกมันไปจนสุดขอบโลก นางก็จะทำลายสิบสองตำหนักให้สิ้นซาก!

จวินอู๋เสียไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนและกลับไปที่รถม้าทันที พวกเฉียวฉู่ตามหลังมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้กินน้ำเลยสักอึกเดียว

จวินอู๋เย่าเดินตามจวินอู๋เสียเข้าไปในรถม้า เขามองดูใบหน้าด้านข้างที่เคร่งขรึมของนาง และกุมมือเล็กๆ ของนางเอาไว้

“พวกเขาแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิด ไม่ต้องกังวลหรอก” จวินอู๋เย่ารู้ว่าจวินอู๋เสียกังวลเรื่องอะไร พลังของสามโลกเบื้องล่างและสามโลกชั้นกลางนั้นแตกต่างกันมากเกินไป ตอนนี้สิบสองตำหนักลงมือกับอาณาล่างอย่างโจ่งแจ้ง จวินอู๋เสียจะไม่กังวลได้อย่างไร

จวินอู๋เสียสูดหายใจเข้าลึกๆ “ข้ายังไม่ได้ไปหาพวกมัน พวกมันก็มาเคาะประตูบ้านข้าแล้ว”

ไม่ว่าสิบสองตำหนักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กี่ตำหนัก นางก็จะไม่ละเว้นพวกมันสักตำหนัก นางไม่สนว่าสามโลกชั้นกลางจะแข็งแกร่งเพียงใด นางรู้แค่ว่าร่างของนางเติบโตขึ้นมาในสามโลกเบื้องล่าง ครอบครัวที่นางห่วงใย และสหายของนางทั้งหมดอยู่ที่นั่น นางจะไม่ยอมให้เศษสวะจากสามโลกชั้นกลางมาเหยียบย่ำชีวิตของผู้คนในสามโลกเบื้องล่างแบบนี้!

“เสี่ยวเสียเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องโกรธเลย พวกมันก็แค่แมลงสกปรก ขยี้ให้ตายก็พอแล้ว” จวินอู๋เย่าพูดพร้อมกับยิ้มอย่างชั่วร้าย

จวินอู๋เสียหรี่ตาลง

“ใช่ ขยี้พวกมันเสีย ก็ไม่เป็นไรแล้ว”

ดวงอาทิตย์แผดจ้าลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า จวินอู๋เสียกับสหายของนางปีนขึ้นไปบนรถม้าและแล่นไปทางตะวันออก ตรงไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายจากไฟสงคราม

ตอนที่ 1390 ดักปล้น (1)

จากภูเขาที่ห่างไกล มุ่งหน้าไปยังดินแดนกว้าง จวินอู๋เสียที่นั่งอยู่ในรถม้า สามารถมองเห็นเมืองเล็กๆ ได้จากระยะไกล เมืองเล็กๆ ที่เคยงดงาม ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง อาคารบ้านเรือนพังยับเยินราวกับถูกไฟไหม้รุนแรง ร่องรอยการเผาไหม้เห็นได้ชัดจากกระเบื้องที่แตกหัก

รถม้าหยุดที่ข้างถนน จวินอู๋เสียก้าวออกมา มองดูกำแพงที่พังทลายและเศษซากปรักหักพัง

กลิ่นเหม็นที่น่าสะอิดสะเอียนลอยอยู่ในอากาศทั่วทั้งเมือง และบนแผ่นดินที่ไหม้เกรียม ยังมีซากศพที่เสียหายอย่างหนักให้เห็น ศพพวกนั้นดูเหมือนถูกสัตว์ป่ากัดแทะ ท้องถูกฉีกขาด ไม่มีอวัยวะภายในเหลือให้เห็น

“น่าขยะแขยงชะมัด นี่เป็นฝีมือของคนพิษหรือ” เฉียวฉู่ขมวดคิ้วมองซากศพ ในบรรดาศพเน่าเปื่อยพวกนั้น มีร่างของเด็กเล็กอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งเหลืออยู่เพียงชิ้นส่วนเท่านั้น แม้แต่หัวก็ยังไม่ครบสมบูรณ์

“พวกคนพิษไม่กินซากศพ” เยี่ยเม่ยพูดพลางเลิกคิ้ว เขาลงนั่งยองๆ ข้างศพคนหนึ่งและใช้นิ้วปาดโลหิตที่แห้งเล็กน้อย ก่อนจะนำขึ้นมาดมตรงจมูก

กลิ่นโลหิตจางๆ ปนด้วยกลิ่นแปลกๆ อีกกลิ่น เป็นกลิ่นที่เยี่ยเม่ยไม่คุ้นเคย

“พวกคนพิษจะโจมตีศัตรู และอาจจะใช้ปากฉีกเนื้อ แต่มันไม่ได้ทำให้เกิดบาดแผลเช่นนี้ อวัยวะภายในของคนพวกนี้ถูกบางอย่างกัดกิน ถ้าเป็นพวกสัตว์ป่า มันจะไม่กินแค่อวัยวะภายใน เยี่ยซากับข้าสังเกตเห็นว่าศพพวกนี้ไม่มีศพไหนที่อวัยวะภายในอยู่ในสภาพสมบูรณ์เลย นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่” เยี่ยเม่ยกล่าวอย่างครุ่นคิด บาดแผลบนศพแตกต่างจากที่พวกคนพิษทำ นั่นทำให้เขารู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก

“ไม่ใช่พวกคนพิษหรือ” ฟ่านจัวเลิกคิ้ว

“ถึงไม่ใช่คนพิษ แต่พวกมันก็ไม่ต่างจากคนพิษมากนักหรอก พวกเราไม่ได้กลับไปที่สามโลกชั้นกลางนานมากแล้ว พวกเขาอาจจะพัฒนาอย่างอื่นขึ้นมาได้” เยี่ยซาพูด

จวินอู๋เสียเดินเข้าไปจะตรวจดูศพ จู่ๆ หูนางก็ได้ยินเสียงเบาๆ

จวินอู๋เสียหันกลับไปมองอาคารที่พัง

มุมปากของจวินอู๋เย่าโค้งขึ้น

ทันใดนั้น!

ร่างหลายร่างก็กระโจนออกมาจากเงามืด

พวกเฉียวฉู่ตั้งท่าเตรียมพร้อมทันที แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พวกเขาก็พากันอึ้ง

ที่ปรากฏตรงหน้าพวกเขา ไม่ใช่พวกคนพิษ แต่เป็นคนในชุดขาดรุ่งริ่งสิบกว่าคนที่ถือมีดพร้าและจอบในมือ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรก ดวงตาฉายแววโลภขณะมองพวกจวินอู๋เสีย

“คนพวกนี้…มาจากร้านน้ำชาเมื่อสักครู่นี่” หรงรั่วพูด ดวงตาอันแหลมคมของนางมองเห็นร่างที่คุ้นเคยสองสามคนอยู่ในคนพวกนั้น ก่อนหน้านี้ที่ร้านน้ำชาคนพวกนี้ได้แสดงสายตาที่มีเล่ห์เหลี่ยมออกมา

บุรุษที่มีร่างกำยำกว่าคนในกลุ่มเล็กน้อยยกมีดขึ้นและชี้ไปที่พวกของจวินอู๋เสีย ก่อนจะพูดอย่างดุร้ายว่า “เราไม่ได้อยากทำให้พวกเจ้ายุ่งยาก พวกเจ้าแค่ทิ้งของมีค่าทั้งหมดเอาไว้ แล้วเราจะปล่อยพวกเจ้าไป!”

ตอนที่ฟ่านจัวให้ก้อนทองกับเสี่ยวเอ้อร์ ทองคำแวววาวนั้นได้ดึงดูดความสนใจของผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ พวกเขาสังเกตเห็นว่า ถึงพวกของจวินอู๋เสียจะมีกันอยู่หลายคน แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นแค่ผู้เยาว์ แถมมีเด็กอีกสองสามคนด้วย บวกกับการที่คนทั้งกลุ่มแต่งตัวดี หน้าตาดี ผิวพรรณเรียบเนียน ดูเหมือนพวกอ่อนหัด ทำให้พวกเขาเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา พวกเขาตามรถม้ามาจนถึงที่แห่งนี้ ในที่สุดก็ได้โอกาสโจมตี

คนสิบกว่าคนกระโจนออกมาจากที่ต่างๆ ของเมือง เข้าล้อมรอบกลุ่มของจวินอู๋เสีย เจตนาของพวกเขาชัดเจน