จิ่งหมิงฮ่องเต้สีหน้าอ่อนโยน น้ำเสียงเอาใจใส่เหมือนในอดีตที่เคยพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า “อ้ายเฟยไม่สบาย ต้องพักผ่อนให้มาก”
เสียนเฟยมองใบหน้ามีอายุที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า ภายในหัวขาวโพลนไปชั่วขณะ ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร
“อ้ายเฟย เจ้าว่านี่เป็นวิธีที่แก้ปัญหาที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายหรือไม่”
เสียนเฟยพยักหน้าคล้อยตาม จนกระทั่งปลายนิ้วสัมผัสโดนความร้อนของกาน้ำชาถึงได้รู้สึกตัว
นางลุกพรวดขึ้นมา สีหน้าซีดเผือด “ฝ่าบาทว่าอะไรนะเพคะ”
ถ้าหากว่านางฟังไม่ผิด ฝ่าบาทยกเจ้าเจ็ดให้ฮองเฮางั้นรึ
เป็นไปไม่ได้ เป็นไม่ได้เด็ดขาด!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้าเป็นห่วง “อ้ายเฟยอาการปวดหัวกำเริบหรือ”
เสียนเฟยจ้องจิ่งหมิงฮ่องเต้เขม็ง สีหน้าเหยเก ริมฝีปากซีดเซียวสั่นระริก มีเพียงความคิดเดียวที่แล่นอยู่ในหัว นางอยากจะข่วนหน้าตาแก่ตรงหน้านี่ซะให้รู้แล้วรู้รอด!
ขณะที่กำลังง้างมือ อาการปวดหัวขั้นรุนแรงก็โจมตีเข้ามา ปะทะเข้ากับอารมณ์ที่ขึ้นลงราวกับคลื่นลูกใหญ่ ทำเอาเสียนเฟยรับไม่ไหว ทันทีที่กลอกตาขึ้นก็ล้มลงไป
“พระสนม!” นางกำนัลในตำหนักตกใจกันยกใหญ่
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางมือด้วยท่าทีสงบ “ไม่เป็นไร”
โบราณกล่าวไว้ว่า ยิ่งพบเจอมามากก็ยิ่งรู้มาก สตรีในวังนั้นมีมากมาย จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายสิบปี จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นผู้หญิงสลบมานักต่อนัก จึงค่อนข้างมีประสบการณ์ด้านนี้
เขายื่นมือออกแรงหยิกเสียนเฟย หลังจากนั้นสักประเดี๋ยวเดียวเสียนเฟยก็ตื่นขึ้นมาช้าๆ ได้แต่รู้สึกว่าริมฝีปากร้อนฉ่าจนเจ็บ
ทว่าตอนนี้เสียนเฟยไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ คว้าหมับเข้าที่แขนเสื้อของจิ่งหมิงฮ่องเต้ “เมื่อครู่ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไรนะเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้แอบสะบัดมือออก “เหตุใดอ้ายเฟยถึงหมดสติไป ปวดหัวอีกแล้วใช่หรือไม่ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ก็อย่าได้โมโหขึ้นมาง่ายๆ จำเป็นต้องพักผ่อนอย่างสงบ”
เมื่อถูกเสริมว่าจำเป็นต้องพักผ่อนอย่างสงบ เสียนเฟยรู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจ ได้สติโดยพลัน
ตรงหน้านางคือฮ่องเต้ กษัตริย์ของบ้านเมือง ไม่ใช่บุรุษสามัญชน
ไม่มีพ่อลูกที่แท้จริงในครอบครัวของกษัตริย์ เช่นนั้นอย่าได้กล่าวถึงความรักที่กษัตริย์มีให้เหล่าสนมเลย
เมื่อครู่นางอยากจะข่วนใบหน้าแก่ๆ ของฝ่าบาทตามใจอยากจริงๆ แต่เกรงว่าความน่ากลัวที่รอนางจะเป็นตำหนักเย็น
เสียนเฟยรู้สึกหวาดกลัว สีหน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิม ดูอ่อนแอราวกับกระดาษ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นว่าเสียนเฟยสงบลง จึงแอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ
สตรีช่างน่ากลัวยิ่งนัก เสียนเฟยที่ปกติดูสวยฉลาดเพียบพร้อม ท่าทางเมื่อครู่ราวกับจะฆ่าเขาให้ตายอย่างไรอย่างนั้น
เขาเป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กลัวพระสนมเพียงแค่คนเดียวอยู่แล้ว ทว่าหากถูกเล็บยาวๆ ข่วนเข้าให้จริงๆ คนแก่อย่างเขาคงขายหน้าแย่
เมื่อคิดเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้แอบชำเลืองมองออกไปไกล กระแอมเสียงตรัสขึ้น “ข้าเป็นห่วงอาการปวดหัวของอ้ายเฟยมากจึงได้พิจารณาถึงจุดนี้ จากนั้นถึงได้ยกเจ้าเจ็ดให้ฮองเฮา เจ้าสารเลวนั่นจะได้ไม่มายั่วโมโหเจ้า และทำให้อาการแย่ลงอีก…”
เสียนเฟยมุมปากกระตุกขึ้น เริ่มหมดหนทางที่จะสงบลง
ลูกชายที่นางคลอดออกมาถูกยกให้ฮองเฮาไปหน้าตาเฉย นางต้องเอ่ยขอบพระทัยฝ่าบาทงั้นหรือ
“อ้ายเฟยสบายใจเถอะ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าร่างกาย” จิ่งหมิงฮ่องเต้แตะเสียนเฟยเบาๆ รู้สึกว่าอะไรที่ควรพูดล้วนพูดไปหมดแล้ว หากอยู่ต่อมีแต่จะเพิ่มความอันตราย เช่นนั้นฉวยโอกาสตัดสินใจกลับดีกว่า
“พวกเจ้าดูแลพระสนมให้ดี ถ้าหากพระสนมไม่สบายตรงไหนก็ให้เรียกหมอหลวงทันที อย่าเสียเวลาจนอาการกำเริบ มิเช่นนั้นข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้า!”
อาศัยตอนที่นางกำนัลขานรับ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เดินออกไป ปล่อยให้คนทั้งห้องมองเสียนเฟยด้วยท่าทีเกรงกลัว
ภายใต้แววตาที่จ้องมองเช่นนี้ เสียนเฟยรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเรื่องตลกของใต้หล้า
เจ้าเจ็ดกลายเป็นลูกชายของฮองเฮางั้นหรือ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีนางที่อยากจะใช้ภรรยาเจ้าเจ็ดมาขยี้เจ้าเจ็ดให้ยอมแพ้คงไม่พอแล้ว
เจ้าเจ็ดกลายเป็นโอรสในฮองเฮา จากนี้ไปภรรยาเจ้าเจ็ดก็ต้องเข้าวังไปน้อมทัก เดิมจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมายังตำหนักอวี้เฉวียน นางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะโกรธแล้ว…
เสียนเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ ไม่นานก็คิดถึงเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น องค์ชายที่เป็นโอรสในฮองเฮานับว่าเป็นลูกแท้ๆ แล้วครึ่งหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าเจ็ดก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นไท่จื่อแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นองค์ชายสี่ในฐานะที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เจ้าเจ็ดไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเจ้าสี่เลยสักนิด แถมยังกลายเป็นคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดกับเจ้าสี่ด้วย ไม่แน่อาจจะเหยียบเจ้าสี่ขึ้นไปก็เป็นได้
เสียนเฟยแทบจะไม่กล้านึกภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ถ้าหากเจ้าสี่แพ้ นางยอมให้องค์ชายท่านอื่นได้ตำแหน่ง แต่ไม่อยากให้คนคนนั้นเป็นเจ้าเจ็ด
หลังจากที่เสียหน้าในวันนั้น นางก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ้านั่นมันไร้หัวใจ ไม่มีหัวคิด
ถ้าหากเจ้าเจ็ดได้นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น อย่าว่าแต่แม่แท้ๆ อย่างนางจะได้ประโยชน์อะไรเลย เกรงว่าจะได้รับความอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่งเสียมากกว่า
จะมีอะไรเสียดแทงใจไปกว่าการที่ลูกของตัวเองได้กลายเป็นผู้ที่มีเกียรติสูงสุดในใต้หล้า ทว่ากลับกตัญญูกตเวทีต่อสตรีนางอื่น
เสียนเฟยใบหน้าซีดเผือด เลือดสูบฉีดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็รู้สึกหวานในลำคอ พออ้าปากก็กระอักเลือด
“พระสนม…” เหล่านางกำนัลตกใจจนหน้าถอดสี
หมัวมัวคนสนิทร้องเสียงแหลม “รีบตามหมอหลวงมาเร็วเข้า…”
ไม่นานหมอหลวงก็หอบกล่องยาวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน หลังจากวินิจฉัยโรคให้เสียเฟยเสร็จก็เอ่ยกำชับออกไป “มีเลือดค้างในตับ การโมโหจะทำร้ายตับ พระสนมต้องจำใส่ใจเอาไว้ว่าต้องพักผ่อนทำจิตใจให้สงบ อย่าได้โมโหขึ้นมาง่ายๆ”
เสียนเฟยสีหน้าไร้เลือดฝาด ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
หมัวมัวคนสนิทส่งหมอหลวงกลับไปพร้อมกับแอบยัดเหอเปาให้ เอ่ยกระซิบขึ้น “เรื่องของพระสนม หมอหลวงอย่าได้พูดกับผู้ใด”
หมอหลวงเก็บเหอเปาด้วยความชำนาญ พยักหน้าลงเล็กน้อย
เขามักจะมาที่ตำหนักอวี้เฉวียนบ่อยๆ นับว่าเป็นคนของเสียนเฟย จึงรู้ว่าอะไรควรไม่ควรพูดแน่นอน
ช่วงนี้เสียนเฟยอารมณ์แปรปรวนยิ่งนัก บวกกับอาการปวดหัวที่หาสาเหตุไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าร่างกาย…
หมอหลวงถอนหายใจออกมาเงียบๆ แล้วเดินออกไปจากตำหนักอวี้เฉวียน
หลังจากจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินออกมาจากเสียนเฟยก็มุ่งหน้าไปที่เรือนฉือซิน
ฮองเฮาเลือกเจ้าเจ็ดเป็นโอรส ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องบอกไทเฮา
“ฮ่องเต้เสด็จ…”
เมื่อเห็นฝ่าบาทมาหา ไทเฮาก็วางลูกประคำลงบนโต๊ะเบาๆ พลางยิ้มเอ่ยขึ้น “ลมอะไรหอบฮ่องเต้มากัน”
องค์หญิงฝูชิงกับองค์หญิงสิบสี่รีบน้อมทักจิ่งหมิงฮ่องเต้
“ลุกขึ้นเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยพูดกับองค์หญิงทั้งสองท่าน แล้วเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ “เสด็จแม่กำลังทำอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาชี้ไปที่กระดานหมากรุกบนโต๊ะ “ไม่มีอะไรให้ทำน่ะ กำลังดูเด็กสองคนนี้เล่นหมากรุกกัน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองกระดานหมากรุก ยิ้มตรัสออกไป “หมากฝั่งขาวดูเหมือนว่าจะได้เปรียบอยู่”
ไทเฮาเหลือบมองฝูชิง “หมากฝั่งขาวเป็นของอาเฉวียน ทว่าขององค์หญิงสิบสี่ก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน นับว่าเจ้าเด็กสองคนนี้ฝีมือไล่เลี่ยกัน”
องค์หญิงสิบสี่รีบเอ่ยขึ้น “หากเสด็จพ่อมาช้ากว่านี้ หมากฝั่งดำคงแพ้ยับเยินไปแล้วเพคะ”
องค์หญิงฝูชิงกลับเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าสู้น้องสิบสี่ไม่ได้หรอก”
นางตาบอดมานานหลายปี ทักษะหมากรุกจะเทียบองค์หญิงสิบสี่ได้อย่างไร คงจะมีเพียงแต่องค์หญิงสิบสี่ยอมให้เท่านั้นแหละ
แม้นางจะรู้ดีแต่ก็ไม่อาจโพล่งออกไปได้ เพื่อที่องค์หญิงสิบสี่จะได้สบายใจ
“ทั้งสองล้วนเล่นได้ไม่เลว” จิ่งหมิงตรัสชมออกมา แล้วคุยกับไทเฮาต่อ “ลูกมีเรื่องน่ายินดีจะบอกเสด็จแม่”
ไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย เผยรอยยิ้มออกมา “หืม เรื่องน่ายินดีอะไรหรือ”
“ลูกให้องค์ชายเจ็ดเป็นโอรสในฮองเฮา”
ไทเฮายื่นมือออกมาวางทับลูกประคำบนโต๊ะ
ไม้กฤษณาที่ถูกแกะสลักจนกลายเป็นลูกประคำ ทุกเม็ดกลมแวววาวราวกับถูกทาเคลือบด้วยน้ำมัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของไทเฮาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่เสียงทุ้มลงเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรจะไปแสดงความยินดีกับฮองเฮาแล้วสินะ”