เมื่อองค์ฝูชิงกับองค์หญิงสิบสี่ได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ก็หันมาสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วยสีหน้าประหลาดใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสขึ้น “พวกเจ้าทั้งสองออกไปเล่นที่อื่นก่อนเถอะ”
องค์หญิงทั้งสองถอนสายบัว แล้วทูลลาออกไปพร้อมกัน
ไทเฮาหยิบลูกประคำขึ้นมาลูบไปมาช้าๆ “ช่างเป็นเรื่องกะทันหันเสียจริง ไม่เห็นฮ่องเต้เคยพูดกับฮองเฮา…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มตรัสออกไป “ทันทีที่ลูกตัดสินใจได้ก็รีบมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวดีกับเสด็จแม่ ภายในวังนอกเหนือจากฮองเฮา เสด็จแม่เป็นคนที่สองที่ทราบเรื่องนี้”
“หืม แล้วคนที่รู้เรื่องคนแรกนอกจากฮองเฮาคือผู้ใด” ไทเฮายิ้มถาม
เป็นรอยยิ้มผิวเผิน ไม่ได้ออกมาจากแววตา
“คนแรกคือเสียนเฟย”
ไทเฮาส่ายหน้าพลางหัวเราะ “ข้าเลอะเลือนไปแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้แน่นอนว่าต้องพูดกับเสียนเฟย แล้วทางด้านนจงเหรินฝู่ทราบข่าวรึยัง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “จงเหรินลิ่งได้เปลี่ยนข้อมูลของเจ้าเจ็ดเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ว่าราชการเช้านี้ลูกก็ได้แจ้งเรื่องนี้กับเหล่าขุนนางกว่าร้อยคนแล้วด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มมุมปากของไทเฮาแข็งทื่อขึ้นมาภายในพริบตาเดียว จากนั้นก็กลับสู่ท่วงท่าปกติ “ฮ่องเต้ช่างดำเนินการได้อย่างเฉียบขาดรวดเร็วยิ่งนัก”
“ลูกนึกถึงอุปสรรคตอนที่เสด็จแม่รับลูกมาเลี้ยง จึงรู้สึกว่าจัดการเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี…” จิ่งหมิงฮ่องเต้พูดน้ำเสียงเหมือนกับลูกที่ขอความดีความชอบจากแม่ของตน เห็นได้ชัดว่าอยากได้คำชมจากไทเฮา
ไทเฮาไม่ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ผิดหวัง ฟังจบก็พยักหน้าเบาๆ “ฮ่องเต้ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ฮองเฮามีวาสนายิ่งกว่าข้าเสียอีก…”
“เสด็จแม่พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าเป็นลูกชายของท่าน ในวังนี้ไม่มีใครมีวาสนามากกว่าท่านอีกแล้ว…”
แม่ลูกทั้งสองคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติอยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข
“ฮ่องเต้ไปทรงงานเถอะ แม่ก็จะไปพักผ่อนแล้ว”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้น “เช่นนั้นเสด็จแม่พักผ่อนเถิด ลูกจะกลับแล้ว”
“อืม” ไทเฮาดูเหมือนเมื่อยล้า เปลือกตาปิดลงเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนลง
พอจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินออกไป ไทเฮาก็ลืมตาขึ้นมาทันที หยิบลูกประคำทำมือเขวี้ยงลงบนพื้น
ลูกประคำทำมือกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ขาดสะบั้นออกจากกัน ลูกประคำแต่ละเม็ดกลิ้งไปทั่วทุกบริเวณ
“ไทเฮา…” นางในมีอายุที่อยู่ด้วยในห้องเพียงคนเดียวตะโกนออกมาอย่างระมัดระวัง
ดูเหมือนว่าไทเฮาจะใจเย็นลงพร้อมกับลูกประคำทำมือที่ขาดสะบั้นไป จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เก็บลูกประคำขึ้นมาร้อยให้เรียบร้อย อย่าให้ร่วงออกไป”
“เพคะ” นางในไม่กล้าถามไทเฮาว่าเหตุใดถึงโมโห และยิ่งไม่กล้าคาดเดา ทำได้เพียงก้มเก็บลูกประคำที่ตกกระจายไปทั่วอย่างถี่ถ้วน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร นางในถือกล่องที่เต็มไปด้วยลูกประคำพร้อมกับเอ่ยพูดอย่างระมัดระวัง “ไทเฮา มีอยู่ลูกหนึ่งหาไม่เจอเพคะ…”
ไทเฮาถอนหายใจ เอ่ยพึมพำ “ช่างเถอะ อะไรที่เสียแล้วก็เสียไป…”
องค์หญิงฝูชิงเดินออกมาจากตำหนักฉือหนิงด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ดึงองค์หญิงสิบสี่ไว้พลางเอ่ยขึ้น “น้องสิบสี่ พวกเราไปหาเสด็จแม่กันเถอะ”
องค์หญิงสิบสี่ตาเป็นประกายเล็กน้อย
องค์หญิงฝูชิงยิ้มพร้อมกับพูดอธิบาย “ข้าเดาว่าตอนนี้เสด็จแม่จะต้องดีใจสุดๆ อยู่แน่นอน พวกเราไปแสดงความยินดีให้นางกัน”
องค์หญิงสิบสี่พยักหน้า
พอฮองเฮาเห็นว่าองค์หญิงทั้งสองมาหา ยิ้มพูดออกไป “วันนี้มาเร็วขนาดนี้เชียวรึ”
องค์หญิงฝูชิงย่อเคารพนั่งลงข้างฮองเฮา ยิ้มร่าพร้อมกับพูดขึ้น “เสด็จพ่อไปหาเสด็จย่า ลูกกับน้องสิบสี่ก็เลยออกมาก่อนเพคะ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ไปที่ตำหนักฉือหนิงก็อมยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เสด็จแม่ ทรงรับพี่เจ็ดมาเป็นลูกบุญธรรมจริงหรือเพคะ”
“ทำไมหรือ กังวลว่าจากนี้ไปจะมีคนมาแย่งความรักกับเจ้างั้นรึ” เมื่อเห็นลูกสาวที่แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้นดีใจ ฮองเอาก็พูดหยอกล้อออกมา
องค์หญิงฝูชิงใบหน้าแดงระเรื่อ “มีพี่ชายแท้ๆ เช่นนี้ ลูกดีใจยิ่งนักเพคะ”
“ใช่ แม่เองก็ดีใจ” ฮองเฮาพูดเสียงเบา
ที่นางมีความคิดเรื่องรับโอรสก็เพื่อฝูชิง ได้แต่หวังว่าเยี่ยนอ๋องจะไม่ทำให้นางผิดหวังก็พอ
เรื่องที่องค์ชายเจ็ดเยี่ยนอ๋องกลายเป็นพระโอรสของฮองเฮาได้ติดตามจิ่งหมิงฮ่องเต้ตอนเสด็จไปยังตำหนักอวี้เฉวียนและตำหนักฉือหนิง ไม่นานจึงเลื่องลือไปทั้งพระราชวังราวกับถูกลมพัดกระพือ
มีทั้งคนที่ไปแสดงความยินดีกับฮองเฮา และไปปลอบใจ(ดูเรื่องสนุก)ทางฝั่งเสียนเฟย ชั่วขณะหนึ่ง ภายในวังคึกคักขึ้นมาทันที
ข้าหลวงท่านหนึ่งหลบอยู่ในที่ลับตาคน ยกมือขึ้นมาตบปากตัวเอง เอ่ยพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…”
มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น “เสี่ยวเล่อจื่อ นี่เจ้าว่างจนเป็นบ้าไปแล้วรึถึงได้มาซ่อนตัวตบหน้าตัวเองเล่นที่นี่”
ที่แท้คนที่ตบปากตัวเองก็คือลูกศิษย์ของพานไห่ เสี่ยวเล่อจื่อนั่นเอง
เมื่อเสี่ยวเล่อจื่อเห็นท่านอาจารย์ปรากฏตัวต่อหน้าก็รีบโค้งตัวยิ้มพูดขึ้น “ลูกได้ยินเรื่องเยี่ยนอ๋องอย่างกะทันหัน นึกว่ากำลังฝันอยู่ จึงลองตบปากตัวเองเพื่อพิสูจน์ดูว่าเจ็บหรือไม่ขอรับ”
พานไห่มองลูกศิษย์ของตัวเองด้วยสายตาเดียวกับตอนที่มองคนโง่ รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาโดยพลัน
นึกว่าเป็นความฝัน ตบหน้าใครไม่ได้ก็เลยต้องตบหน้าตัวเองงั้นหรือ วุ่นวายอยู่ตั้งนาน นี่เขาเก็บลูกศิษย์หน้าโง่มาเลี้ยงสินะ
“มีผู้คนตั้งมากมายที่ประหลาดใจเรื่องของเยี่ยนอ๋อง แต่ก็ไม่ได้เหมือนเจ้าเช่นนี้ ไร้อนาคตสิ้นดี!”
เสี่ยวเล่อจื่อยิ้มแห้ง “ท่านอาจารย์พูดถูก ลูกจะเทียบกับท่านอาจารย์ได้อย่างไร ที่ท่านอาจารย์สามารถไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้นั้น…”
“พอแล้ว อย่าพูดมาก ไปกันเถอะ”
พานไห่เดินนำหน้า เสี่ยวเล่อจื่อเดินตามหลัง แอบบ่นออกมาเงียบๆ
แน่นอนว่าเขาต้องประหลาดใจกว่าผู้อื่น
ก่อนหน้านี้เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเขาถูกส่งไปตรวจตราที่เฉียนเหอในฐานะที่ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ เขาพบว่าอันที่จริงเยี่ยนอ๋องบุคคลผู้ที่ไม่อยู่ในสายตาและความประทับใจของใครนั้นเป็นคนที่ยอดเยี่ยม
ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา เขากับเยี่ยนอ๋องก็เริ่มไปมาหาสู่กัน
สิ่งที่ทำให้เขาไม่คาดคิดเลยก็คือเยี่ยนอ๋องไม่เพียงแต่เป็นผู้ล้ำเลิศ เขายังเป็นเทพแห่งเงินตราด้วย ด้วยเวลาอันสั้นเขารับเหอเปาจนมือไม้อ่อนไปหมด
ทีแรกนั้นเงินไม่เยอะมากนัก เขาจึงรับมาได้อย่างสบายใจ จากนั้นต่อมาเหอเปาก็หนาขึ้นจนเขาตกใจ ทว่ากลับรับมาจนเคยชินแล้ว และก็จนปัญญาที่จะปฏิเสธแล้ว
เสี่ยวเล่อจื่อเข้าใจดีว่ารับของผู้อื่นมาแล้ว เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาก็ไม่กล้าเอาเรื่องด้วย
ไม่นานมานี้ ในที่สุดเยี่ยนอ๋องก็มาหาเขา ให้เขาจัดการวางคนในอุทยานดอกไม้เพื่อให้ฮองเฮาได้ยินเรื่องคุยเล่นเพียงไม่กี่ประโยค ถึงแม้เขาจะสงสัยจุดประสงค์ของเยี่ยนอ๋องทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ ทำได้เพียงจัดการเรื่องตามคำเรียกร้อง ใครจะคิดว่าวันนี้จะได้ยินข่าวอันน่าตกใจที่เยี่ยนอ๋องได้เป็นโอรสในฮองเฮา!
ณ วินาทีนั้น เสี่ยวเล่อจื่อคิดว่าตัวเองฝันไปจริงๆ
คนอื่นล้วนคิดว่าเยี่ยนอ๋องโชคดีถูกบุญวาสนาหล่นทับ ทว่ามีเพียงเขาที่รู้ว่าที่เยี่ยนอ๋องมีวันนี้ได้ต้องเป็นเพราะแผนการวันนั้นแน่นอน
ฮองเฮาได้ยินคำพูดเพียงไม่กี่คำนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะให้เยี่ยนอ๋องมาเป็นโอรสของตน แล้วเยี่ยนอ๋องรับประกันได้อย่างไรว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเขาที่ถูกเลือก
เสี่ยวเล่อจื่อไม่กล้าคิดอย่างถี่ถ้วน เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเยี่ยนอ๋องคาดเดาได้ยาก
เมื่อนึกถึงภาพชายหนุ่มรูปงามที่ปกติมักจะอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย เสี่ยวเล่อจื่อก็มีความคิดที่แน่วแน่ขึ้นมา เป็นไงเป็นกัน จากนี้ไปติดตามเยี่ยนอ๋องไปวันๆ ก็แล้วกัน!
พานไห่ที่เดินอยู่ข้างหน้า พอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา จึงหยุดลงแล้วหันไปก่นด่า “เจ้าเด็กโง่ ยังไม่ตื่นจากฝันอีกรึ”
เสี่ยวเล่อจื่อรีบสาวเท้าเดินตามมา เขาชำนาญในการพูดเยินยอด้วยคำสวยงามให้พานไห่ได้เบิกบานใจ
พานไห่ได้ยินก็อารมณ์ดีมีความสุข เผยรอยยิ้มออกมา
ตำแหน่งของเขานั้น ลูกศิษย์จะฉลาดเพียงใดนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือสามารถทำให้เขารักษาความสุขไว้เพื่อไปปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทได้ต่างหาก
เดินไปไม่กี่ก้าวพานไห่ก็หยุดลง เอ่ยพูดออกมาเบาๆ “จากนี้ไปต้องสุภาพต่อเยี่ยนอ๋องสักหน่อย อย่าได้เมินเฉย”
“ขอรับ!” เสี่ยวเล่อจื่อโค้งตัวลง ไม่เคยตอบรับอย่างจริงใจเช่นนี้มาก่อน
นี่ยังต้องพูดอีกรึ แน่นอนว่าไม่อาจเฉยเมยต่อเยี่ยนอ๋องได้ จากนี้ไปเขาก็นับว่าขึ้นเรือลำเดียวกันกับเยี่ยนอ๋องแล้ว
ควรจะเตือนท่านอาจารย์ดีไหมนะ
พอคิดดูพานไห่นั้นเป็นตาเฒ่าสารพัดพิษ เสี่ยวเล่อจื่อจึงเก็บความคิดนี้ไว้
ถือว่าแล้วไปแล้วกัน สายตาของท่านอาจารย์เฉียบแหลมกว่าเขาเสียอีก ต้องมีความคิดในใจแล้วแน่