บทที่ 563-3 สมบูรณ์แบบ (3)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 563 สมบูรณ์แบบ (3)

หลังจากเกิดเหตุลอบปองพระชนม์ คนในวังก็ใจเต้นระส่ำ ทุกเสียงลมหวีดหวิวแฝงไปด้วยอันตราย หากเป็นแต่ก่อนยามถึงเวลาอาหาร หน้าประตูของแต่ละกรมกองต่างครื้นเครง ทว่าวันนี้กลับเงียบเหงาผิดปกติ

เหล่าข้าหลวงต่างหิ้วกล่องอาหารเดินออกมาจากห้องเครื่อง พอเจอหน้ากันก็ไม่มีแม้แต่เสียงหัวเราะทักทาย คนไหนควรคำนับก็โค้งให้ แต่หากไม่จำเป็นก็เดินผ่านไปราวกับอากาศธาตุ

ภายในตำหนักฮว๋าชิง ขันทีหนุ่มน้อยมาส่งสำรับให้กับฮ่องเต้

“พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าจัดการเอง” เว่ยกงกงสั่งเหล่าข้าหลวง

“เจ้าค่ะ”

ทุกคนพากันเดินออกไปเป็นขบวน

เว่ยกงกงหันมองไปรอบทิศ เมื่อมั่นใจแล้วว่าภายในตำหนักบรรทมไม่มีผู้ใด เขาถึงได้มาหยุดอยู่ข้างเตียง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท ฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ไร้การตอบสนอง

“ฝ่าบาท ข้าน้อยผิดไปแล้ว” เว่ยกงกงล้วงกระเพาะปลาออกมาจากอกเสื้อ กระเพาะปลานี้ถูกแช่ด้วยน้ำยา เพื่อดับกลิ่นคาว

เขาตัดกระเพาะปลาเป็นชิ้นเล็กๆ ง้างปากของฮ่องเต้แล้วยัดมันเข้าไป

ป้อนเสร็จไม่ทันไร ก็มีน้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อนดังขึ้นจากด้านหลัง “เว่ยกงกง เจ้าทำอะไรอยู่หรือ”

เว่ยกงกงสั่นไปทั้งตัว เกือบจะยัดกระเพาะปลาทะลุลำคอฮ่องเต้แล้วไหมล่ะ!

เขาพยายามข่มอารมณ์ให้สงบนิ่ง หันหลังกลับแล้วถอนหายใจยาว “ตกใจแทบแย่พ่ะย่ะค่ะ ที่แท้ก็องค์หญิงนี่เอง กระหม่อมนึกว่าฮองเฮาเสด็จเสียอีก”

องค์หญิงหนิงอันเดินเข้ามาใกล้ มองเขาอย่างสงสัย “หากฮองเฮามาเจ้าจะกลัวอะไร”

เว่ยกงกงแสร้งจัดผ้าห่มให้ฮ่องเต้ ก่อนจะซ่อนกระเพาะปลาที่ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เข้าไปในชายกางเกงของฮ่องเต้ของอย่างแนบเนียน

แววตาของเว่ยกงกงล่อกแล่ก ก่อนจะเอ่ยอย่างละอายใจ “ยามนี้ข้าน้อยเป็นคนของท่านแล้ว หากเจอฮองเฮาเข้าก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา”

องค์หญิงหนิงอันยิ้มเย็น “ก็ถูกของเจ้า หากฮองเฮารู้ว่าเจ้าทรยศฝ่าบาท องค์หญิงอย่างข้าก็คงช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้ เพราะอย่างนั้นเจ้าจงระวังตัวให้ดีล่ะ ข้าไม่เอาชีวิตแล้ว ประเดี๋ยวฮองเฮาจะมาเอาแทน”

เว่ยกงกงขานรับในทันใด “พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ”

“อาการฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง” องค์หญิงหนิงอันถามอย่างเสียงยโส

เว่ยกงกงพูดในใจ อาฆาตมาดร้ายกันเพียงนี้ ไม่คร้านจะแสแสร้งบ้างหรือไร ทำกันถึงขนาดนี้ยังเรียกว่าพี่น้องกันอีกหรือ องค์หญิงซิ่นหยางยังดีกับฝ่าบาทกว่านางหลายขุม

เว่ยกงกงตอบ “ยังคงหลับไม่ได้สติดังเดิมพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงหนิงอันหยิบยาขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของตัวเอง

“ข้าน้อยจัดการให้พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเอ่ยเสียงขึงขัง

“เจ้าน่ะรึ” องค์หญิงหนิงอันมองเขาอย่างสงสัย

เว่ยกงกงเอ่ย “ฝ่าบาทไม่ได้สรงน้ำมาสองวันแล้ว อาจจะไม่สบายเนื้อสบายตัว องค์หญิงสูงศักดิ์ ให้ข้าน้อยจัดการเถิด ท่านคอยดูอยู่ตรงนี้ หากข้าน้อยทำอะไรผิดพลาดไป ขอโปรดท่านเตือนข้าน้อยด้วยพ่ะค่ะ”

องค์หญิงหนิงอันมองฮ่องเต้ที่อยู่ในสภาพไม่งามตานัก ก่อนจะแสยะปากแล้วยื่นขวดยาให้เว่ยกงกง “ก็ดี เช่นนั้นเจ้าก็จัดการเสีย”

เว่ยกงกงรับแล้วปิดฝาขวด เขาง้างริมฝีปากของฮ่องเต้ด้วยความลังเล

มือเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ดูก็รู้ว่าประหม่าเพียงใด

แต่ความประหม่านี้ไม่น่าสงสัย เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาแตะต้องพระวรกายของฝ่าบาท เป็นใครใครก็กลัวทั้งนั้น

องค์หญิงหนิงอันมองเว่ยกงกงป้อนยาฮ่องเต้ตาไม่กะพริบ นางหัวเราะเสียงเรียบ “กรอกเก่งกว่าข้าอีกนี่ ไม่กระเด็นมาสักหยดเดียว”

เว่ยกงกงยิ้มไม่เอ่ยคำใด ท่าทางหวาดกลัวสั่นผวาเหลือเกิน

องค์หญิงหนิงอันพออกพอใจ หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “พอแล้ว หัวของเจ้ามันยังอยู่บนคอแน่นอน ต่อให้เจ้าทำหก ข้าก็ไม่ฆ่าเจ้าหรอก แม้ฮองเฮาจะฆ่าเจ้า ข้าก็จะปกป้องเจ้าเอง เจ้ารู้ไหมว่าเพราะเหตุใด”

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพูดว่าเพราะองค์หญิงนั้นมีเมตตา

หากพูดออกไปแบบนั้นคงไม่เรียกว่าเลียแข้งเลียขา แต่คงเรียกว่าเลียไปถึงหน้าถึงตาแล้วกระมัง

เว่ยกงกงยิ้มเจื่อนพลางเอ่ย “เพราะข้าน้อยคือผู้ดูแลฝ่าบาท หากฝ่าบาทมีรับสั่งอันใดย่อมส่งสาส์นผ่านข้าน้อย ข้าน้อยยังพอมีประโยชน์สำหรับองค์หญิงบ้าง”

องค์หญิงหนิงอันหัวเราะเสียงเย็น “ฉลาดไม่เบานี่”

เว่ยกงกงเอ่ย “ใช่แล้วองค์หญิง วันหน้าท่านมาตำหนักฮว๋าชิงให้น้อยลงหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากฮองเฮารู้เรื่องเข้า…”

องค์หญิงหนิงอันตรัสอย่างไม่ยี่หระ “ถึงรู้ก็บอกไปว่าข้ามาเยี่ยมเสด็จพี่ สายใยพี่น้องของข้ากับเสด็จพี่ลึกซึ้งปานนั้น ฮองเฮาจะสงสัยหรือ”

เว่ยกงกงเอ่ยจริงจัง “เช่นนั้นท่านก็มาอย่างเปิดเผย ฮองเฮาคงจะไม่สงสัย แต่ท่านมักจะลอบมาเช่นนี้… หากฮองเฮาจับได้… ฮองเฮามิใช่คนโง่นะพ่ะย่ะค่ะ”

ที่องค์หญิงหนิงอันแอบเสด็จมา ก็เพราะต้องการหลบเลี่ยงยามคนพลุกพล่านไม่ใช่หรือ ยามนี้คนน้อยนัก

พอคิดได้ดังนั้น องค์หญิงหนิงอันถึงได้สังเกตเห็นว่าคืนนี้ไม่มีข้าหลวงอยู่เลยสักคน

“เอ๊ะ พวกเขาไปไหนกันเสียหมด” นางถามอย่างสงสัย

ข้าทำเรื่องชั่วก็เลยไล่พวกเขาออกไปหมดน่ะสิ

เว่ยกงกงเหงื่อเย็นผุดซึมทั่วร่าง ทว่ายังเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าคาดว่าองค์หญิงคงเสด็จมาเวลานี้ จึงไล่พวกเขาออกไปก่อน”

องค์หญิงหนิงอันมองเว่ยกงกงท่าทางลุกลี้ลุกลน ก่อนจะหัวเราะออกมา “มิน่าล่ะ ฮ่องเต้ถึงได้โปรดปรานเจ้าเพียงนี้ เว่ยกงกง เจ้าช่างละเอียดรอบคอบดีแท้!”

เว่ยกงกงตอบอย่างซื่อตรง “แบ่งเบาภาระของพระองค์เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้ว ข้าน้อยอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ย่อมต้องแสดงความสามารถให้องค์หญิงเห็น”

องค์หญิงหนิงอันยิ้ม “ดี รอให้สำเร็จแล้ว เจ้าจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ ก็ดูว่าเจ้าซื้อใจข้าได้มากเพียงใด”

เว่ยกงกงเอ่ย “ข้าน้อยจะทำเพื่อองค์หญิงเท่าที่ปัญญาของข้ามี!”

องค์หญิงยกยิ้มอย่างเยือกเย็น “เอาละ เจ้าออกไปรอข้านอกเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับฝ่าบาท จำไว้ล่ะ อย่าให้ผู้ใดเข้ามาเด็ดขาด”

“…พ่ะย่ะค่ะ!”

“อืม ว่าแต่”

“องค์หญิงมีรับสั่งอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

“ตราหยกของเสด็จพี่อยู่ที่ใด”

เว่ยกงกงตัวแข็งทื่อ

องค์หญิงหนิงอันมองเขาแล้วแสยะยิ้ม “เมื่อครู่เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าจะทำเพื่อข้าเท่าที่ปัญญาของเจ้าจะมี ตอนนี้ข้าสั่งให้เจ้านำตราหยกมา เจ้ากลับไม่พอใจอย่างนั้นรึ”

เว่ยกงกงกัดฟันเดินเข้าไปในห้องหนังสือเล็กของตำหนักบรรทม ก่อนจะเปิดลิ้นชักลับแล้วใช้สองมือประคองตราหยกมอบให้องค์หญิงหนิงอัน

องค์หญิงหนิงอันยิ้มอย่างลำพองใจ “ออกไปได้แล้ว”

เว่ยกงกงเหลียวกลับไปมองฮ่องเต้ที่ยังนอนไม่ได้สติ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากตำหนักบรรทมไป

องค์หญิงหนิงอันถือตราหยกแล้วนั่งลงข้างกายฮ่องเต้ มืออีกข้างหนึ่งของนางล้วงกระดาษราชโองการสีเหลืองอร่ามออกมาจากแขนเสื้อกว้าง

ในแคว้นเจาแห่งนี้ ราชโองการของฮ่องเต้ส่วนใหญ่มาจากพระโอวาทของฮ่องเต้ ขุนนางฮั่นหลินจะเป็นผู้จดบันทึก พร้อมทั้งปรับถ้อยคำให้เป็นภาษาเขียน สุดท้ายจึงลงตราประทับของฮ่องเต้

แต่ก็มีกรณียกเว้น เช่นราชโองการที่ฮ่องเต้เป็นผู้เขียนเอง หรือมอบหมายให้คนใกล้ชิดเขียน

“เสด็จพี่ ท่านพี่คงอยากรู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เช่นนั้นแล้วน้องจะเล่าให้ท่านฟังเอง”

“คดีที่ซุนผิงลอบปลงพระชนม์เสด็จพี่นั้นคืบหน้าแล้วนะเพคะ ท่านคงคิดไม่ถึงว่าคนที่บงการซุนผิงอยู่เบื้องหลังคือใคร คือเสด็จแม่อย่างไรเล่าเพคะ”

“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เสด็จแม่รักท่านปานนั้น เหตุใดถึงสั่งให้คนมาฆ่าท่านได้ แต่เพราะมีทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล เสด็จแม่คงหนีไม่พ้นแล้ว”

“คนที่สืบสวนคือใครน่ะหรือ คือขุนนางศาลต้าหลี่กับฮองเฮาน่ะสิเพคะ”

“นิสัยของพี่สะใภ้เป็นเช่นไรเสด็จพี่ก็รู้ดี พอรู้ว่าเสด็จแม่ทำเรื่องไม่อายฟ้าดินเช่นนี้ พี่สะใภ้ก็จัดการในทันใด สั่งให้ทหารรักษาพระองค์คุมขังเสด็จแม่อยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่ว”

“พี่สะใภ้ยังให้ข้ามาถามเสด็จพี่อีกว่า จะให้จัดการกับเสด็จแม่อย่างไร ว่าอย่างไรนะเพคะ เสด็จพี่จะฆ่าเสด็จแม่อย่างนั้นหรือเพคะ”

“เช่นนี้ไม่ถูกต้องกระมังเพคะ เสด็จแม่เลี้ยงดูเสด็จพี่มาตั้งแต่เล็ก เสด็จพี่ทำเรื่องโหดร้ายกับเสด็จแม่ได้ลงคอหรือ อ๋อ หม่อมฉันลืมไป เสด็จพี่เคยทำมาแล้วสินะเพคะ เสด็จพี่เคยสั่งให้เสด็จแม่จิ้งปลิดชีพตนเองแล้วมิใช่หรือ จะว่าไปครั้งแรกก็คงไม่ชิน ครั้งที่สองก็เชี่ยวชาญแล้ว ฆ่าแม่อีกสักคน… แค่พริบตาเดียวก็เสร็จแล้วใช่ไหมคะ”

รอยยิ้มขององค์หญิงหนิงอันชวนขนหัวลุก ราวกับคนถูกปีศาจครอบงำ ทว่าเพียงเสี้ยววินาที รอยยิ้มของนางก็หุบลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเลือดเย็น “เสด็จแม่จิ้งตายเพราะพวกท่านรวมหัวกัน พวกท่านยังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือว่าข้าแค้นเคืองหรือไม่”

“เสด็จพี่ เช่นนั้นก็ให้ข้าฆ่าเสด็จแม่เสียก่อน แล้วค่อยมาถามท่านว่าแค้นเคืองหรือเปล่า ดีหรือไม่เพคะ!”

ร่างของฮ่องเต้ที่กำลังหลับใหลก็พลันสั่นสะท้าน สองมือและลูกตาภายใต้เปลือกตานั้นราวกับกำลังตะเกียกตะกายแสนทุรนทุราย

เขาเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังกระเสือกกระสนให้หลุดพ้นจากกรงพันธนาการ แม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อก็ตาม

“หึ!” องค์หญิงหนิงอันใช้มือกดร่างของเขาลง นางเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ฆ่านางให้ตายคงจะง่ายเกินไป บังคับให้นางออกบวชดีไหมเพคะ นางจะได้ลิ้มรสชาติความทุกข์ทรมานของเสด็จแม่จิ้ง! ให้นางได้เห็นลูกของตัวตายอย่างทุรนทุรายตายหน้าตัวเอง ให้นางเห็นแผ่นดินที่ตัวเองคอยปกปักรักษาตกอยู่ในมือของผู้อื่น! รสชาตินี้ขมขื่นเสียยิ่งความตายอีกกระมังเพคะ!”

ร่างของฮ่องเต้สั่นอย่างรุนแรง!

องค์หญิงหนิงอันไร้ซึ่งความเมตตา นางชักมือที่กดร่างของฮ่องเต้อยู่กลับคืนมา ก่อนจะลุกยืนขึ้นแล้วถือราชโองการออกจากห้องบรรทมไป

นางโยนยาอีกขวดให้เว่ยกงกง “กลางคืนป้อนอีกครั้ง”

เว่ยกงกงมองราชโองการในมือของนาง ดวงตาทั้งสองหรี่ลง ไม่กล้าเอ่ยถาม ก้มหน้าก้มตาก่อนจะรับมาด้วยสองมือ “พ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงหนิงอันเชิดหน้าขึ้นพลางเอ่ย “เมื่อครู่ฝ่าบาทตื่นขึ้นมา นี่คือราชโองการที่พระองค์สั่งให้ข้าเป็นคนเขียนแทน… จวงไทเฮาลอบปลงพระชนม์ หมายก่อกบฏ ตั้งตนเป็นปรปักษ์ ก่อนตะวันขึ้นของวันพรุ่ง ให้ครองสมณเพศยังสำนักชีไท่ผิง หากไม่มีราชโองการ ห้ามมิให้กลับวัง เว่ยกงกง ตอนนี้เจ้าจงตามข้าไปประกาศราชโองการที่ตำหนักเหรินโซ่ว”

สีหน้าของเว่ยกงกงพลันเปลี่ยน “องค์หญิง…”

องค์หญิงมองเขาอย่างเลือดเย็น “จะไปหรือว่าจะตาย”

มืออันสั่นเทาของเว่ยกงกงรับราชโองการมา

เขาไม่เชื่อว่าฮ่องเต้จะลงมือกับจวงไทเฮาเช่นนี้ ความคับข้องหมองใจระหว่างสองแม่ลูกได้คลี่คลายแล้ว ฝ่าบาทนั้นยอมตายยังจะดีเสียกว่าต้องทำร้ายจวงไทเฮา!

นี่มัน…นี่มัน….

องค์หญิงหนิงอันเอ่ยเสียเย็น “อย่าได้ทดสอบความอดทนของข้านะ! หากเจ้าไม่ไป ข้าจะหาคนอื่นไปแทน!”

ในอกของเว่ยกงกงเต้นระส่ำ

ข้าจะตายไม่ได้ ข้าจะตายไม่ได้ หากข้าตายไป นางก็หาคนมาแทนที่เขา ฝ่าบาทก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตราย…

เว่ยกงกงขอบตาแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือ “พ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อย…ข้าน้อย…จะไปประกาศราชโองการที่ตำหนักเหรินโซ่วพ่ะย่ะค่ะ”

เว่ยกงกงตามองค์หญิงหนิงอันไปยังตำหนักเหรินโซ่ว

เซียวฮองเฮามีรับสั่ง ห้ามมิให้ผู้เข้าเยี่ยมไทเฮาในตำหนักเหรินโซ่วเป็นอันขาด

ทว่าการมาถึงของราชโองการนั้นเทียบเท่ากับการเสด็จมาถึงของฝ่าบาท ด้วยเหตุนั้นเว่ยกงกงและองค์หญิงหนิงอันจึงไม่ถูกขวาง

“มีราชโองการ…”

เว่ยกงกงเอ่ยเสียงดังก้อง

ตำหนักเหรินโซ่วหาได้มีความเคลื่อนไหวใด

เว่ยกงกงตะเบ็งเสียงอีกครั้ง “ราชโองการ…”

มีเพียงเหล่านางกำนัลที่เดินออกมา

องค์หญิงหนิงอันมองเข้าไปในห้องบรรทมที่ปิดสนิท “เสด็จแม่ ฝ่าบาทมีราชโองการเพคะ”

เหมือนว่าจวงไทเฮาจะไม่ยี่หระแต่อย่างใด

ก็จริง ตั้งแต่โบราณกาลไม่เคยมีฮ่องเต้พระองค์ใดประกาศราชโองการเช่นนี้กับไทเฮา นี่เป็นครั้งแรกที่จริงๆ

หากจวงไทเฮาจะไม่ใส่ใจก็ไม่แปลก

เว่ยกงกงประกาศราชโองการอีกครั้ง

องค์หญิงหนิงอันขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนเดินเข้าไปผลักประตูลายฉลุสีแดง

ทว่ากลับพบเพียงห้องบรรทมอันว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของจวงไทเฮา