บทที่ 564 ความยุติธรรม

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 564 ความยุติธรรม

เว่ยกงกงแอบถอนหายใจ

ทว่าองค์หญิงหนิงอันที่ยืนแข็งทื่ออยู่นั้นคงไม่พอใจสักเท่าไร นางเหลือบตามองอย่างเย็นชา “เว่ยกงกง”

“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเก็บอาการ สวมบทเป็นสุนัขรับใช้แสนภักดีในทันที “องค์หญิงมีรับสั่งอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงหนิงอันรับสั่งเสียงเรียบ “ตามเสด็จแม่กลับมาให้ได้”

“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงขานตอบ ก่อนจะพาทหารรักษาพระองค์ทั้งกองรื้อค้นให้ทั่วทั้งตำหนักเหรินโซ่ว เหล่านางกำนัลอยู่พร้อมหน้า ขาดก็แต่จวงไทเฮาและฉินกงกง

“ถามนางกำนัลพวกนั้นสิ” องค์หญิงหนิงอันเอ่ย

“ถามแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีผู้ใดรู้เลย” เว่ยกงกงตอบ

องค์หญิงหนิงอันมองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก

เว่ยกงกงเลี่ยงสายตาเหล่าทหารรักษาพระองค์ก่อนจะเอ่ยกระซิบเตือน “องค์หญิง พวกเราจะสั่งลงโทษในตำหนักเหรินโซ่วไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยงเกินไป อีกอย่างทุกเรื่องในวังหลังมีฮองเฮาเป็นผู้ดูแล หากเข้าไปยุ่มย่ามก็ยิ่งจะดูมีพิรุธมากขึ้น”

องค์หญิงหนิงอันสูดหายใจลึก พยายามข่มอารมณ์เดือดดาล “เรียกหัวหน้าฟู่มาที่นี่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อหัวหน้าฝู่มาถึง องค์หญิงหนิงอันก็ตรัสถามเขา “พวกเจ้าเฝ้าเวรยามตำหนักเหรินโซ่วประสาอะไร จู่ๆ เสด็จแม่ก็หายไป แต่พวกเจ้ากลับไม่สังเกตเห็นเลยหรือ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเสด็จแม่บ้าง ไม่รู้ว่าคนสารเลวที่ไหนลักพาตัวนางไป”

“คือว่า…” หัวหน้าฝู่ไม่รู้จะตอบอย่างไร ว่ากันตามตรงเขานั้นไม่รู้เลยจริงๆ ตอนบ่ายเขายังเห็นจวงไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวนแท้ๆ เหตุใดพอฟ้ามืดก็หายตัวไปเสียแล้ว

“เจ้าเห็นเสด็จแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อใด” องค์หญิงหนิงอันถาม

หัวหน้าฝู่ตอบตามตรง “ตอนเย็นพ่ะย่ะค่ะ ประมาณยามโยว ห้าโมงเย็น ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน หลังจากนั้นนางก็กลับไปที่ตำหนักบรรทม ข้าน้อยมีหน้าที่เฝ้าเวรยามเท่านั้น ไม่อาจรบกวนนางได้”

แปลความได้อีกอย่างหนึ่งก็คือทหารรักษาพระองค์แค่ล้อมตำหนักเหรินโซ่วเอาไว้ แต่ไม่อาจจับตามมองไทเฮาทุกฝีก้าวได้

แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็เฝ้าเวรยามอย่างหนาแน่น ไท่เฮาหายออกไปอย่างไร้ร่องรอยได้เช่นไร

พายุลมกรรโชกยามเดือนดับ

เงาร่างหนึ่งสะท้อนอยู่บนหลังคาท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ก่อนจะทะยานตัวลงมาเดินไปตามแนวกำแพงในความมืดมิด

ไม่นาน เงาร่างนั้นก็หายเข้าไปในตรอกปี้สุ่ย เข้าไปในเรือนของกู้เจียวและเซียวลิ่วหลัง

ยามนี้ก็ไม่เช้าแล้ว แม่นางเหยาและเหล่าเด็กๆ ต่างพักผ่อนกันหมดแล้ว เหลือเพียงกู้เจียว เซียวเหิงและจี้จิ่วอาวุโสที่นั่งอยู่กลางห้อง

พอได้ยินความเคลื่อนไหวจากลานบ้าน กู้เจียวก็ลุกพรวดขึ้น เซียวเหิงนั้นไวกว่าไปก้าวหนึ่ง เดินเข้าไปเปิดประตูก่อน

กู้เฉิงเฟิงแบกใครคนหนึ่งพุ่งถลาเข้ามา หอบหายใจกระชั้น “เหนื่อยชะมัด เหนื่อยชะมัด! จากวังหลวงมาถึงที่นี่ไกลใช่เล่น!”

เซียวเหิงมองไปทางลานบ้าน ก่อนจะปิดประตูด้านหนังกู้เฉิงเฟิง

กู้เฉิงเฟิงวางร่างไทเฮาลงบนเก้าอี้อย่างเบามือ

“ระวังล่ะ” จี้จิ่วอาวุโสยื่นมือออกไปประคอง “หนาวแย่เลยสินะ”

จวงไทเฮาไม่สนใจเขา

เขาจ้องมองนิ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยน

กู้เฉิงเฟิงหมุนตัวกลับมา ยืดคอคลายความเมื่อยล้าไปพลาง เหลียวไปมองจวงไทเฮาที่ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนไปพลาง

เอ่อ… ไทเฮาหลับไปแล้วกระมัง ไม่ใช่สลบไปเพราะเขาหรอกนะ

เอาเถอะ เมื่อครู่เขาคงเร็วไปหน่อยจริงๆ นั้นแหละ

“จวงจิ่นเซ่อ จวงจิ่นเซ่อ จวงจิ่นเซ่อ!” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยเรียก ในใจก็พลันร้อนรนขึ้นมา “คงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง”

กู้เจียวโน้มตัวลงมาประชิดหญิงชราพลางเอ่ย “ท่านย่า อีกหนึ่งคนจะครบสามขา”

จวงไทเฮาได้สติขึ้นมาในทันใด ดวงตาเบิกกว้าง นั่งยืดตัวตรง “อยู่ไหนกันล่ะ”

หลังจากนั้นนางก็ออกไปเล่นไพ่กระจอกจริงๆ …

ทุกคนมองนางถลกแขนเสื้ออย่างอาจหาญ ราวกับมีเงาของผู้กล้าที่ออกรบมานับร้อยศึกทับซ้อน มุมปากยกยิ้ม

กู้เฉิงเฟิง “…นางคงไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาออกมาเพื่อเล่นไพ่หรอกใช่ไหม”

องค์หญิงหนิงอันพร้อมกับเว่ยกงกงเดินทางไปยังตำหนักคุนหนิง เพื่อประกาศราชโองการและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนักเหรินโซ่ว

เซียวฮองเฮาวางบัญชีที่ตรวจได้เพียงครึ่งในมือลง ก่อนจะเอ่ยกับองค์หญิงหนิงอันด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อน “วันหน้าหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทางที่ดีเจ้าควรแจ้งให้ข้าทราบโดยเร็ว”

องค์หญิงหนิงอันโค้งให้ “เพคะ พี่สะใภ้”

เว่ยกงกงปาดเหงื่อท่านเซียวฮองเฮา

เซียวฮองเฮาเรียกซูกงกง “เจ้าไปบอกหัวหน้าฟู่ ไม่ว่าไทเฮาจะออกไปเองหรือถูกลักพาตัวไปก็ต้องหาตัวไทเฮาให้พบ หาทั้งในวังแล้วก็นอกวังด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ” ซูกงกงขานตอบ

เซียวฮองเฮากวาดสายตามองทั้งสองด้วยความเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ย “องค์หญิงหนิงอันกลับไปก่อนเถิด เว่ยกงกงอยู่ที่นี่ก่อน”

“เช่นนั้นหนิงอันขอตัวลา” องค์หญิงหนิงอันคำนับ ก่อนจะถอยเท้าหันหลังกลับ เดินเฉียดบ่าของเว่ยกงกงไป

เว่ยกงกงมองตรงไม่หวั่นไหว ยังคงยืนนิ่งดังเดิม องค์หญิงหนิงอันไม่มีท่าทางผิดแปลกไปแม้แต่นิด ก่อนจะเดินออกจากตำหนักคุนหนิงไป

เซียวฮองเฮามองราชโองการในมือ ก่อนจะถามเว่ยกงกงเสียงขึงขัง “ข้าถามเจ้าตามตรง เมื่อครู่ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาจริงหรือ”

เว่ยกงกงตอบ “พ่ะย่ะค่ะ”

เซียวฮองเฮาถามอย่างสงสัย “ตอนฝ่าบาทมีราชโองการ เจ้าอยู่ด้วยตลอดหรือไม่”

เว่ยกงกงพยักหน้า “อยู่พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยเป็นผู้เตรียมพู่กันและหมึก หลังจากมีราชโองการแล้ว ฝ่าบาทก็หมดแรงหลับไปพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวฮองเฮาขมวดคิ้ว

หากเป็นคนอื่นนางคงสงสัย แต่เพราะเป็นเว่ยกงกง นางถึงได้เชื่อ

เซียวฮองเฮาทอดถอนใจ “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารักษาราชโองการไว้ให้ดี ดูแลฝ่าบาทอย่างใกล้ชิด คราวหน้าหากพระองค์ฟื้นขึ้นมา อย่าลืมให้คนมาแจ้งข้า”

“ข้าน้อยจะจำไว้พ่ะย่ะค่ะ”

เว่ยกงกงออกจากตำหนักคุนหนิง ก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักฮว๋าชิงทันที ทว่าเดินไปได้เพียงไม่มีกี่ก้าวก็เห็นแผ่นหลังของใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้

เขาสะดุ้งตัวโยน “องค์หญิงรึ”

องค์หญิงหนิงอันแสยะยิ้มพลางหันหน้ามา

เว่ยกงกงกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถวายความเคารพ “องค์หญิง เมื่อครู่ฮองเฮาถามว่า…”

“ไม่ต้องบอกข้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กล้าเปิดโปงข้าต่อหน้าฮองเฮาหรอก”

“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงยิ้มแหย “แล้วองค์หญิงมารอข้าน้อยอยู่ตรงนี้…”

“นี่” องค์หญิงหนิงอันยื่นขวดกระเบื้องให้เขา “ยาของวันพรุ่งนี้ ให้ฝ่าบาทกินหลังมื้อเช้า”

เว่ยกงกงแววตาไหววูบ “เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อยพ่ะย่ะ”

องค์หญิงหนิงอันหัวเราะเสียงเย็น “หากเจ้าไม่ทำละก็”

เว่ยกงกงส่ายหน้ารัว “มิบังอาจ มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ! ชีวิตของข้าน้อยอยู่ในกำมือขององค์หญิง องค์หญิงจะให้ข้าน้อยทำอะไร ข้าน้อยก็ทำทั้งนั้น”

องค์หญิงหนิงอันยกยิ้มมุมปาก “รู้ก็ดี เอาละ เจ้ารีบไปดูแลฝ่าบาทเถิด ยานี้อย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว หากตื่นขึ้นมาจริงๆ ละก็..”

เว่ยกงกงรีบเอ่ยในทันใด “ข้าน้อยจะไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าฝ่าบาทฟื้นข้ามาแล้วอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะแจ้งองค์หญิงทันทีพ่ะย่ะค่ะ”

“รู้แล้วก็ดี”

องค์หญิงหนิงอันว่าจบก็กลับไปยังตำหนักปี้สยา

เมื่อมั่นใจว่านางเดินออกไปไกลแล้ว เว่ยกงกงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะจ้ำกลับไปยังตำหนักฮว๋าชิง

นี่ก็นานมากแล้ว ไม่รู้ว่ากระเพาะปลาในปากของฝ่าบาทจะเป็นเช่นไร ไม่รู้ว่าจะดูดยาเอาไว้ไหม หรือว่าจะกลืนลงไปแล้ว

เว่ยกงกงหยุดอยู่ตรงหน้าเตียงมังกร สั่งให้ข้าหลวงทั้งหมดออกไป ก่อนจะง้างปากฮ่องเต้ให้อ้าออก แล้วคีบกระเพาะปลาออกมาอย่างเบามือ

ยายังคงอยู่ในนั้น

เว่ยกงกงแอบโล่งใจ

“ต้องรีบกำจัด…” เว่ยกงกงถือกระเพาะปลาเดินออกไป เขารู้สึกเหมือนตัวเองลืมอะไรไปบางอย่าง แต่กลับนึกไม่ออกเสียที

ฮ่องเต้ที่ขยับตัวไม่ได้ ‘ในกางเกงเรา มีอะไรไม่รู้อยู่ในกางเกงเรา’

บนโลกนี้ไม่มีความลับ เรื่องที่จวงไทเฮาสมคบติดกับเจ้ากรมสิงลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้นั้นแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ขุนนางบู๊บุ๋นและชาวเมืองหลวงต่างคิดไม่ถึงเลยว่าคนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นจวงไทเฮา

ทว่าหากไตร่ตรองถึงเรื่องไทเฮาที่กุมอำนาจราชสำนักมาตลอดหลายปี ข่มอำนาจและห้ำหั่นกับฮ่องเต้ ก็คงยอมรับความจริงที่นางคือคนร้ายตัวจริงได้อย่างง่ายดาย

เหล่าชาวเมืองเรียงร้องความยุติธรรมให้แก่จวงไทเฮา แต่ตระกูลจวงกลับไร้ความเคลื่อนไหวในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้

ราชครูจวงเองก็ไม่เข้าประชุมราชสำนักด้วยเหตุป่วย

นั่นยิ่งทำให้ชื่อเสียงของไทเฮาที่ไม่สู้ดีนักอยู่แล้ว แย่เข้าไปใหญ่

“ท่านปู่!”

อันจวิ้นอ๋องเดินจ้ำเข้ามาในเรือนของราชครูจวงด้วยความเดือดดาล องครักษ์ที่เฝ้าเวรยามอยู่ที่หน้าประตูยังรั้งไว้ไม่ไหว

ราชครูจวงคัดอักษรอยู่ในห้องหนังสือ เขาได้ยินเสียงของหลานชายตัวเอง แต่กลับไม่เงยหน้าขึ้นมามอง จุ่มปลายพู่กันลงในน้ำหมึกพลางเอ่ย “ยามนี้เจ้าควรอยู่กับคณะเสนาบดีไม่ใช่หรือ”

อันจวิ้นอ๋องไปยังคณะเสนาบดีแล้ว แต่พอได้ยินข่าวบางอย่างก็รีบกลับมา

ต้องขอบคุณยศตำแหน่งของเขา ในคณะเสนาบดีจึงไม่มีใครกล้าห้ามเขา

เขามาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือ มองดูราชครูจวงที่กำลังจดจ่ออยู่กับการคัดอักษร ดูก็รู้ว่าช่วงนี้ไม่ได้ป่วยแต่อย่างใด เพียงแค่จงใจไม่ร่วมประชุมราชสำนักก็เท่านั้น

“ท่านปู่ได้ยินเรื่องของท่านย่าเล็กหรือไม่” เขาถาม

ราชครูจวงไม่หันไปมองเขา จรดพู่กันเขียนอักษรภูเขา “นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล”

อันจวิ้นอ๋องมองราชครูจวงแววตาไหววูบ “ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องกังวล แล้วท่านปู่เล่า ท่านปู่เองก็ไม่กังวลเลยหรือ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้นกับไทเฮา ท่านปู่ก็ควรจะออกหน้าปกป้องชื่อเสียงของไทเฮา ไปยังศาลต้าหลี่และกรมยุติธรรมร้องว่าหลักฐานถูกปลอมแปลงขึ้นเพื่อใส่ร้ายไทเฮา”

พู่กันของราชครูจวงชะงักลง เขาเหลือบตามองอีกฝ่าย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าถูกปลอมแปลง”

อันจวิ้นอ๋องสีหน้าจริงจัง “ไทเฮาไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้น หากนางต้องการชีวิตของฮ่องเต้ คงไม่รอมาจนป่านนี้หรอก ท่านปู่ย่อมรู้ดีกว่าข้าแน่แล้วว่าหากเป็นไทเฮาจะลงมือเช่นไร”

ราชครูจวงเอ่ย “แล้วอย่างไรเล่า”

อันจวิ้นอ๋องมองจ้องลึกลงไปในแววตาของราชครูจวง

จวงไทเฮา “ท่านปู่… จะเพิกเฉยอย่างนั้นหรือ”

ราชครูจวงไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ “ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตระกูลทั้งนั้น”

อันจวิ้นอ๋องแค่นหัวเราะ “เพื่อตระกูลจวงอย่างนั้นหรือ หากไม่มีไทเฮาคอยปกป้อง ตระกูลจวงจะยังเป็นตระกูลได้เหมือนแต่ก่อนหรือขอรับ”

ราชครูจวงกระแทกพู่กันลงกับโต๊ะ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจวงไทเฮายังเป็นจวงไทเฮาคนเดิมหรือ นางขีดเส้นตีตัวออกจากตระกูลจวงอย่างชัดเจนตั้งนานแล้ว!”

อันจวิ้นอ๋องกำหมัดแน่น เอ่ยด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว “เพราะเหตุนั้นท่านปู่จึงได้เพิกเฉยอย่างนั้นหรือ นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านนะขอรับ! ขณะที่นางถูกพ่อแท้ๆ ของตัวเองขายเพื่อแลกกับเกียรติยศศักดิ์ศรี ถูกส่งตัวไปยังวังหลังอันโหดร้าย ขณะที่นางต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของนาง ขณะที่นางเองก็เจ็บปวดแต่ก็ต้องคอยปกป้องตระกูลจวงมานานหลายปี แต่ท่านปู่กลับทอดทิ้งนางเช่นนี้หรือ! ท่านปู่จำได้เพียงแค่ว่านางขีดเส้นแบ่งแยกกับตระกูลจวงเมื่อไม่กี่ปีนี้ แต่กลับลืมไปแล้วว่าตระกูลจวงสูบเลือดสูบเนื้อนางมากี่สิบปี!”

ราชครูจวงเดือดดาล “พอได้แล้ว!”

อันจวิ้นอ๋องนั้นไม่สะทกสะท้านกับโทสะของราชครูเลยสักนิด เขามองราชครูจวงที่ตนเองเทิดทูนมาตลอดหลายปีอย่างผิดหวัง “ท่านปู่ ตอนข้าอายุได้แปดปี ท่านส่งข้าไปเป็นเชลยที่แคว้นเฉิน ไทเฮาค้านหัวชนฝา นางบอกว่าตระกูลจวงมีแค่นางก็พอแล้ว อย่าได้ต้องเสียสละชีวิตใครไปมากกว่านี้เลย ท่านปู่บอกข้าว่าอย่างไรน่ะหรือ ท่านปู่บอกข้าว่า ไทเฮาน่าสงสารนักที่ต้องประคับประคองตระกูลจวงแต่เพียงผู้เดียว… เพราะอย่างนั้นข้าจึงต้องไป! หลายปีที่อยู่อาศัยในแคว้นเฉิน ข้าได้พบเจอกับคำดูถูกเหยียดหยามนับไม่ถ้วน แต่ข้าไม่เคยคิดเสียใจ! ทว่ายามนี้ข้าชักจะเสียใจแล้วสิ เพราะท่านปู่ไม่ได้ทำเพื่อไทเฮาแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ทำเพื่อตระกูลจวงด้วย แต่ท่านนั้นทำเพื่อตัวเอง”

คำพูดนั้นช่างล้ำลึกจนอยากจะอธิบาย แต่กระนั้นราชครูก็เลยวัยที่จะมาต่อปากต่อคำกับคนหนุ่มแล้ว เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรช้าๆ “เหิงเอ๋อร์ เจ้าคือหลานที่ฉลาดที่สุดของข้า คือผู้สืบทอดตระกูลจวงใ นวันหน้า ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้ตัวว่าตนเองเป็นใคร”

“หึ ข้าเป็นใครอย่างนั้นรึ”

อันจวิ้นอ๋องหัวเราะเยาะตัวเอง ไม่ต่อคำกับราชครูจวงต่อ เพราะเขาเข้าใจท่านปู่อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ต่อให้พูดอะไรไปมากว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ สู้เก็บแรงเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ

ราชครูจวงเอ่ยรั้งเขา “เจ้าจะไปไหน”

อันจวิ้นอ๋องเหลียวกลับไป เอ่ยเสียงเย็น “หากท่านปู่ไม่ช่วยไทเฮา เช่นนั้นข้าคงต้องช่วยไทเฮาเอง ข้าจะพลิกคดีนี้เอง”

ราชครูจวงขู่เขา “หากเจ้ากล้าก้าวออกจากตระกูลจวง ก็ไม่ต้องกลับมาอีก”

อันจวิ้นอ๋องกำหมัด ก้าวข้ามธรณีประตูไป

ราชครูจวงเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าพูดจริงทำจริง จวงอวี้เหิง ชาติกำเนิดของเจ้าข้าเป็นผู้มอบให้ อำนาจและยศถาของเจ้า ข้าเป็นผู้มอบให้ หากไม่มีข้า ก็ไม่มีหลานชายคนโตของตระกูลจวง ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงรู้จักจวงอวี้เหิง เจ้าคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องยากหากเจ้าจะเดินออกจากจวนตอนนี้ แต่วันหน้าหากจะกลับมาก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย!”

อันจวิ้นอ๋องได้ยินดังนั้น ก็ถอยเท้าที่จะจรดพื้นกลับมา

ราชครูจวงเลิกคิ้วด้วยความพอใจ “ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปหาคณะเสนาบดีเลย อยู่ที่เรือน…”

คำสองพยางค์ว่าพักฟื้นยังไม่ทันออกจากปาก ก็เห็นอันจวิ้นอ๋องรวบชายชุดก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น

สองมือของเขายันกับพื้น ก่อนจะโขกศีรษะลงอย่างแรง เพียงครั้งเดียวหน้าผากของเขาก็แดงฉาน “คำนับหนึ่ง ขอบพระคุณท่านปู่ที่เลี้ยงดูข้ามา”

ราชครูจวงชะงักไป

อันจวิ้นอ๋องขอบตาแดงก่ำ ก่อนจะโขกหัวครั้งที่สอง “คำนับสอง ขอบพระคุณท่านที่คอยอุ้มชู”

หยดเลือดไหลไปตามหน้าผากของเขา หยาดน้ำตาสะท้อนในแววตา

สีหน้าของราชครูจวงพลันเปลี่ยน ตวาดเสียงดังลั่น “จวงอวี้เหิง!”

อันจวิ้นอ๋องยังไม่หยุด โขกหัวกับพื้นเป็นครั้งที่สาม เสียงหยาดน้ำตาร้อนผ่าวหยดลงบนพื้นไม้เย็นเฉียบดังขึ้น “คำนับสาม ขอบพระคุณความรักของท่านปู่! อวี้เหิงผู้นี้อกตัญญูเอง!”

เขาว่าจบก็ประคองหน้าผากที่อาบชุ่มไปด้วยเลือด พยุงตัวลุกยืนขึ้น สะอึกสะอื้นก่อนจะหันหลังกลับ วิ่งออกไปท่างกลางความมืด ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา