บทที่ 565 ค่ำคืนอันอบอุ่น

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 565 ค่ำคืนอันอบอุ่น

อันจวิ้นอ๋องออกมาเดินเตร็ดเตร่ ก็พลันรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดยิ่งกว่าเดิม

อากาศหนาวปานนี้ ถนนหนทางก็มืดสนิท เขาควรจะพกเงินติดตัวและเสื้อผ้าหนาๆ มาสักนิดก่อนจะหนีออกจากบ้าน

ยามนี้จะทำอย่างไรได้เล่า ไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว รถม้าก็ไม่มี แม้แต่องครักษ์คนสนิทอย่างอู่หยางก็ถูกท่านปู่ริบคืนทั้งหมด

อู่หยางคือคนที่เดินทางไปแคว้นเฉินกับเขาในตอนนั้น อายุมากกว่าเขาสิบเจ็ดปี เป็นทั้งองครักษ์ลับทั้งยังเป็นเพื่อนเล่นของเขา

เขาคิดมาตลอดว่าหลังจากผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมาย อู่หยางคือคนที่จงรักภักดีกับเขามากที่สุด ยามนี้เขาจึงสะเทือนใจไม่น้อย

ไม่ทันได้รู้ตัว เขาก็เดินลอยล่องอยู่ในเมืองหลวงมาหลายชั่วยามแล้ว ล้มลุกคุกคลานไม่รู้กี่หน ผู้คนบนถนนยังคงเดินขวักไขว่ ทว่านี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าต่อให้ครื้นเครงสักเท่าไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา

เขาเดินทะลุตรอกซอกซอยอันคึกคัก มาถึงยังเรือนเล็กที่เขาเคยอาศัยอยู่

เขาหมายจะเข้าไปแต่กลับถูกบ่าวด้านในขวางเอาไว้

บ่าวหนุ่มเอ่ยอย่างลำบากใจ “จวิ้นอ๋อง ข้าน้อยเพิ่งได้รับคำสั่งจากตระกูลจวง ห้ามมิให้ท่านเข้ามาในเรือน”

ยอดเยี่ยมนัก

ยอดเยี่ยมจริงๆ

แม้แต่เรือนเล็กก็ไม่ให้อยู่

ในเมื่ออยู่ที่นี่ไม่ได้ ก็ไปอยู่ที่อื่นก็แล้วกัน

อันจวิ้นอ๋องไปยังคฤหาสน์ของตระกูลจวงอีกสามแห่ง แต่ไม่มีที่ไหนที่ไม่ถูกขวางไว้หน้าประตู

แม้แต่โรงเหล้าโรงเตี๊ยมที่อันจวิ้นอ๋องเคยเป็นแขกชั้นสูงก็ยังเข้าไม่ได้ ประการแรกเป็นเพราะเขาไม่มีเงิน แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะแต่ก่อนแม้เขาไม่มีเงินก็สามารถเดินว่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวงได้ มีแต่คนแย่งกันจะให้เงินเขาด้วยซ้ำไป

ประการที่สองที่สำคัญก็คือ ราชครูจวงสั่งให้คนส่งข่าวไปทั่วทุกโรงเหล้าโรงเตี๊ยมที่เขาเคยไปทั้งหมดต่างหาก

ราชครูจวงรู้ว่าเขาเคยไปไหนมาไหนได้อย่างไรน่ะหรือ

ก็คงต้องขอบคุณอู่หยาง

หลังจากถูกปฏิเสธไม่รู้กี่หน อันจวิ้นอ๋องทอดสายมองของฟ้าอันเงียบสงบ ก่อนหัวเราะจนหัวไหล่สั่นไหว

ท่านปู่พูดไว้ไม่มีผิด หากไม่มีตำแหน่งหลานชายคนโตของตระกูลจวง เขาก็ไม่มีอะไรเลย

ราชครูจวงคงคิดจะใช้วิธีนี้บีบอันจวิ้นอ๋องให้กลับไป อันจวิ้นอ๋องเป็นเด็กว่าง่ายตั้งแต่เล็กจนโต เคยลำบาก เคยต้องทุกข์ทรมาน แต่เขาไม่ได้ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นเพียงลำพัง

ข้างกายของเขามีอู่หยาง มียอดฝีมือมากมาย มีไทเฮาและราชครูอยู่เบื้องหลัง มีทั้งตระกูลจวงคอยเกื้อหนุน

ยามนี้เขาไม่มีอะไรเลย

เขาไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปไว้ที่ไหนเสียด้วยซ้ำ

น่าสงสารแต่ก็น่าขัน

มีเรื่องหนึ่งที่เขาโชคดี นั่นก็คือกู้เจียวช่วยรักษาดวงตาให้เขาแล้ว ดวงตาของเขาไม่มืดบอดยามกลางคืนอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วอย่าได้หวังว่าเขาจะมาสามารถเดินบนถนนยามค่ำคืนเช่นนี้

ลมหนาวโหมกระหน่ำ ราวคมมีดกรีดใบหน้าของเขา ตอนแรกเขายังรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง จากนั้นเริ่มชาดิกมากขึ้นเรื่อยๆ

เดินต่อไปได้ครู่หนึ่ง แม้แต่หัวสมองเขาก็ไม่มีความรู้สึกใด แทบไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปถึงที่ไหน พอเขารู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน หัวใจก็พลันเต้นถี่รัวขึ้นมา เขารีบหันหลังกลับ

แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป

หัวเห็ดน้อยชะโงกออกมาจากซอกประตู “ท่านมา…หาผู้ใดหรือ”

“ข้า…” อันจวิ้นอ๋องอ้าปากพะงาบ

ประตูเรือนถูกเจ้าเด็กน้อยผลักเปิด แสงในเรือนสะท้อนออกมา เจ้าเด็กน้อยเห็นใบหน้าเขาชัดแล้วก็ร้องออกมา “ท่านคือพี่ชายที่เคยมาบ้านข้านี่! พวกข้าเคยเจอท่านที่ชนบท ท่านพี่จำข้าได้หรือไม่”

อันจวิ้นอ๋องไม่รู้จะตอบเช่นไร

ยามที่ครอบครัวของกู้เจียวยังอยู่ที่ชนบท เขาเคยไปที่เรือนของนาง ทั้งยั้งพบกับไทเฮาที่นั่น เขาเคยไปมากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ

แต่…แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว เหตุใดเจ้าหนูนี่ถึงยังจำเขาได้

จากนั้น อันจวิ้นอ๋องยังไม่ได้แก้ต่างว่าข้าแค่ผ่านทางมา เจ้าเด็กน้อยก็วิ่งเข้าไปในเรือนร้องตะโกน “พี่เขย! มีแขกมาที่เรือน!”

อันจวิ้นอ๋องชะงักไป “ข้า…คือว่า…เอ่อ…”

เซียวเหิงเดินออกมา ก่อนจะเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง “เจ้าอยากออกไปเที่ยวข้างนอกอีกแล้วใช่หรือไม่”

เสี่ยวจิ้งคงกะพริบตาปริบๆ เพราะแทงใจดำ “ข้าเปล่าเสียหน่อย!”

ว่าจบก็วิ่งหนีไป

เซียวเหิงมองไปทางอันจวิ้นอ๋องที่ยืนอยู่นอกประตู แม้เขาพยายามสงบสตินิ่งแต่กระนั้นก็ยังดูลุกลี้ลุกลน แววตานั้นยากจะอธิบายความรู้สึก

อันจวิ้นอ๋องเองก็ละอายใจ

แม้เขาจะยังไม่ได้แต่งงาน ตามธรรมเนียมของแคว้นเจาเขานั้นยังไม่นับว่าเป็นบุรุษเต็มตัว แต่ไม่นานเขาก็จะเข้าพิธีแต่งงานยิ่งใหญ่ ทั้งพิธียังเลื่อนเข้ามาใกล้อีกด้วย

ไม่นานเขาก็จะเป็นชายเต็มตัวอย่างแท้จริงแล้ว

บุรุษนั้นต่างหยิ่งในศักดิ์ศรี โดยเฉพาะยามอยู่ต่อหน้าศัตรูหัวใจหรือคู่แข่งแล้ว ยิ่งห้ามเผยความอ่อนแอเด็ดขาด

อันจวิ้นอ๋องพยายามไม่ให้เซียวเหิงเห็นว่าตัวเองคือหมาจนตรอก เขาเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง เอ่ยด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย “ข้าแค่ผ่านมาน่ะ ไม่ได้มาเป็นแขก ข้าขอตัวก่อนล่ะ”

เซียวเหิงจ้องลึกเข้าไปในแววตาของเขาพลางเอ่ย “เข้ามานั่งก่อนเถิด”

อันจวิ้นอ๋องชะงักไป

พวกเขาสองสนิทกันขนาดนั้นเชียวหรือ

เขาแค่ผ่านมาเฉยๆ แต่เซียวลิ่วหลังกลับเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างนั้นหรือ

นั่งก็นั่งสิ!

ใครกลัวกัน!

อันจวิ้นอ๋องขานรับหน้านิ่ง เดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับเซียวเหิงหน้าตาเฉย

ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่บรรดาเด็กชายในเรือนกำลังวิ่งซนไปทั่วบ้าน ประตูห้องโถงหน้าหลังเปิดอ้า แต่ไม่ได้จุดตะเกียง

เซียวเหิงเชิญอันจวิ้นอ๋องนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะรินชาร้อนให้อันจวิ้นอ๋องแก้วหนึ่ง

อันจวิ้นอ๋องเดินไปบนถนนอย่างไร้จุดหมายตั้งแต่ช่วงบ่ายจรดค่อนคืน ทั้งหนาวทั้งกระหาย เขารับแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างอ้อยอิ่ง ความอุ่นซ่านพลันแผ่ไปทั่วช่องท้อง

เซียวเหิงนั่งอยู่ตรงข้ามเขา “ยังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่”

“ข้ากินมาแล้ว” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยวางมาด

โครก~

ท้องดันส่งเสียงร้องขึ้นมา

อันจวิ้นอ๋องหน้าแดงแจ๋

เซียวเหิงเรียกอวี้หยาร์ ให้นางเข้าครัวต้มบะหมี่มาหนึ่งชาม

อวี้หยาร์เหลียวกลับมามองอันจวิ้นอ๋องแวบหนึ่ง

อันจวิ้นอ๋องนึกในใจ ถึงข้าจะเกิดมาหล่อ แต่ก็ไม่ต้องจ้องกันขนาดนั้นก็ได้กระมัง เซียวลิ่วหลัง สาวใช้บ้านเจ้านี่ช่างไม่รู้จักกฎเกณฑ์เอาเสียเลย…

ท่านย่าไปเล่นไพ่นกกระจอกที่เรือนท่านป้าหลิว ส่วนจี้จิ่วอาวุโสไปตามคอยดูแลเรื่องน้ำเรื่องท่าและจัดเก็บเงิน ไม่มีใครอยู่ที่เรือนเลย

แม่นางเหยาก็อุ้มกู้เสียวเป่าไปดูหญิงชราเล่นไพ่ กู้เสี่ยวเป่าเห็นไพ่ก็พลันอารมณ์ดี แม่นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไม

อันจวิ้นอ๋องดื่มชาพลางมองไปรอบทิศ

“เจียวเจียวไม่อยู่” เซียวเหิงเอ่ยทำลายความเงียบ

กู้เจียวไปโรงหมอแล้ว ไม่อยู่จริงๆ

อันจวิ้นอ๋องดื่มชาแก้เก้อ

อวี้หยาร์ต้มบะหมี่เนื้อรมควันมาให้หนึ่งชาม พร้อมกับผักดองเป็นเครื่องเคียง

อันจวิ้นอ๋องเป็นถึงหลานชายคนโตแห่งตระกูลจวง อาหารการกินล้วนแต่เลิศรส แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกว่านี่คือบะหมี่ที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา

บะหมี่หนึ่งชามลงท้องไป อันจวิ้นอ๋องรู้สึกว่าร่างทั้งร่างผ่อนคลาย แม้แต่หัวแม่เท้าที่แข็งทื่อก็พลันอบอุ่นขึ้นมา

เขาไม่เหลือน้ำแกงแม้แต่หยดเดียว แม้แต่ผักดองก็ยังหมดเกลี้ยง

ชาก็ดื่มแล้ว บะหมี่ก็กินแล้ว อันจวิ้นอ๋องละอายใจหากจะอยู่ต่อ

จังหวะที่เขากำลังจะเอ่ยขอตัวลา เสียงร้องเอะอะของเสี่ยวจิ้งคงดังลอยมา

เสียงแบบนี้จะดังขึ้นก็ต่อเมื่อกู้เจียวออกไปข้างนอก ยามกู้เจียวอยู่ที่เรือนนั้นเขาว่าง่ายอย่างกับอะไรดี

“เจ้านั่งอยู่นี่ก่อนเถิด ข้าออกไปดูสักครู่” เซียวเหิงลุกขึ้นเดินไปทางห้องฝั่งตะวันตก

เสี่ยวจิ้งคงหาของไม่เจออีกแล้ว เขาค้นหีบสมบัติของตัวเองจนกระจุยกระจาย บนพื้นมีแต่ของเล่นของเขาเกลื่อนกลาด

“เจ้าหาอะไรอยู่รึ” เซียวเหิงถาม

เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอวกระทืบเท้า “เจ้าทองน้อย! เจ้าทองน้อยของข้าหายไปอีกแล้ว! ซนอีกแล้วสินะ!”

เซียวเหิงหมอบลงก้มดูใต้เตียงก็หาเจ้าลูกคิดทองคำพบในทันที จากนั้นก็จูงมือเสี่ยวจิ้งคง เก็บของที่เกลื่อนบนพื้นกลับเข้าที่

อันจวิ้นอ๋องไม่ได้ตั้งใจแอบดู แต่เขาหันหน้าเข้าหาห้องฝั่งตะวันตกพอดี ไม่อยากมองก็เห็นอยู่ดี

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าพอกลับบ้านมา ขุนนางราชสำนักก็ต้องทำเรื่องที่บ่าวรับใช้ควรเป็นคนทำ

มีสาวใช้ไม่ใช่หรือไร

“นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าควรอาบน้ำได้แล้ว”

“ข้าไม่อยากอาบน้ำ!”

ก็อย่างที่ว่าละนะ พอกู้เจียวไม่อยู่ เขาก็กลายเป็นเด็กน้อยงอแงที่ไม่ชอบอาบน้ำ

เซียวเหิงไม่ตามใจเขาหรอกนะ

เซียวเหิงออกมาตักน้ำ ถือโอกาสชี้ทางไปห้องหนังสือให้อันจวิ้นอ๋อง เขาเอ่ย “ข้าอาบน้ำให้จิ้งคงก่อน เจ้าไปนั่งในห้องหนังสือก่อนก็ได้ ในห้องนั้นอุ่นกว่า”

“เอ่อ…คือ…”

ช่างเถิด ในเมื่อเชื้อเชิญกันขนาดนี้ ใครจะปฏิเสธลง เขานั่งสักพักก็พอ ประเดี๋ยวเซียวลิ่วหลังง่วนเสร็จแล้ว เขาก็จะกลับไปตามทางของตัวเอง

พอคิดได้ดังนั้น อันจวิ้นอ๋องก็เข้าไปในห้องหนังสือของเซียวเหิง

ก่อนหน้าที่อันจวิ้นอ๋องจะมาถึง เซียวเหิงก็อยู่ในห้องหนังสือตลอด เพราะอย่างนั้นจึงจุดกระถางไฟเอาไว้ ยามนี้กำลังลุกโชติช่วงเลยทีเดียว

เซียวเหิงเข้าไปตักน้ำร้อนในครัว เทียวไปเทียวมาอยู่หลายหน ก็แวะมาผ่าฟืนโยนใส่เข้าไปในเตาครัว

อันจวิ้นอ๋องแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้เห็น

ตอนกลางวันทำงานที่สองกรม กลับบ้านมาก็ยังต้องทำงาน เหตุใดถึงไม่จ้างบ่าวมาเพิ่มสักคนสองคนเล่า

เขาหาเงินเก่งออกจะตายไปไม่ใช่หรือ ยามอยู่ที่กั๋วจื่อเจียนรับจ้างแต่งกาพย์กลอน คิดราคาแพงหูฉี่

ไม่นานอันจวิ้นอ๋องก็ได้พบว่าสิ่งที่เซียวเหิงทำไม่ได้มีเพียงเท่านั้น

บนโต๊ะมีสมุดการบ้านวางอยู่หลายเล่ม ครึ่งหนึ่งเป็นของเสี่ยวจิ้งคง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของเด็กน้อยที่ชื่อกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น

แปลว่าเซียวลิ่วหลังต้องสอนการบ้านให้กับน้องชายภรรยาอีกสามคนอย่างนั้นหรือ

นอกจากนั้นข้างกองสมุดการบ้านยังมีกระดาษอีกปึกหนึ่ง สองสามแผ่นบนสุดน้ำหมึกยังไม่ทันแห้งด้วยซ้ำ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งเขียนเมื่อคืนนี้

อันจวิ้นอ๋องกวาดตามอง ก่อนจะต้องตกใจเพราะเขาไม่รู้จักอักษรเหล่านั้นเลย

ถึงเขาจะไม่ได้ถ่องแท้ในภาษาทั้งหกแคว้น แต่ก็พอจะมีความรู้บ้าง นี่ไม่ใช่อักษรของสามแคว้นใหญ่ แล้วก็ไม่ใช่อักษรของสามแคว้นเล็กด้วย

“หรือว่าจะเป็นภาษาสันสกฤต” อันจวิ้นอ๋องไม่รู้ภาษาสันกฤต แต่เขาเคยเห็นอักษรสันสกฤตในพระไตรปิฎก ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หน้าตาเช่นนี้

ท่ามกลางเสียงร้องกระจองอแงของเจ้าปีศาจน้อย ในที่สุดเซียวเหิงก็จับเด็กน้อยอาบน้ำเสร็จจนได้ พอสวมเสื้อผ้าแล้วเสี่ยวจิ้งคงก็สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มทันที

เซียวลิ่วหลังยกน้ำที่อาบเสร็จแล้วออกมา เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วก็กลับห้องหนังสือไป

อันจวิ้นอ๋องมองกระดาษในมือ ก่อนจะเอ่ยเสียงอึกอัก “ข้าแค่ดูไปเรื่อยน่ะ”

“ไม่เป็นไร เจ้าดูเถิด” เซียวเหิงเข้ามาในห้อง

อันจวิ้นอ๋องชี้ไปที่ห้องข้างๆ “เขา…เป็นเช่นนี้ทุกวันเลยหรือ”

เซียวเหิงตอบอืม “เจียวเจียวไม่อยู่เขาก็จะเป็นเช่นนี้” อาบน้ำสักทีอย่างกับออกรบ

อันจวิ้นอ๋องนึกภาพหากตัวเองเป็นคนที่ต้องต่อกรเจ้าหนูข้างห้อง เขาจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเซียวลิ่วหลังผ่านพ้นแต่ละวันไปได้อย่างไร

พอคิดได้ดังนั้น เซียวลิ่วหลังก็ลำบากไม่น้อยเลยสินะ

“ว่าแต่ พวกนี้คืออะไรหรือ” อันจวิ้นอ๋องมองไปยังกองกระดาษบนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม

“สมการน่ะ” เซียวเหิงเอ่ย

“สม…การ” อันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

เซียวเหิงมองกระดาษในมือเขา “แผ่นที่เจ้าอ่านอยู่คือวิธีคำนวณรัศมี”

สีหน้าของอันจวิ้นอ๋องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม “คำนวณรัศมีมิได้ใช่วิธีตีเส้นแบ่งวงกลมหรือ”

วิธีตีเส้นแบ่งเขายังพอรู้จัก แต่นี่ไม่ใช่เลยสักนิด

เซียวเหิงอธิบาย “เป็นวิธีคำนวณอีกแบบหนึ่งน่ะ”

อันจวิ้นอ๋องยังคงมึนงง “ใช้รูปภาพแปลกประหลาดพวกนี้น่ะหรือ”

เซียวเหิงครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง “เอาเข้าจริง เจ้าสิ่งนี้นับว่าเป็นอีกภาษาก็ได้”

อันจวิ้นอ๋อง “อีกภาษาอย่างนั้นหรือ นอกเหนือจากจากภาษาของทั้งหกแคว้น ภาษาทูเจวี๋ยรึ”

เซียวเหิง “ไม่ใช่ ชาวทูเจวี๋ยใช้อักษรแคว้นจิ้น มีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็คล้ายกัน”

ที่มาที่ไปต้องเล่าจากก่อนกำเนิดทูเจวี๋ยและแคว้นจิ้น ตอนนั้นยังไม่เรียกว่าแคว้นจิ้นด้วยซ้ำ แต่เป็นราชวงศ์ก่อนหน้าแคว้นจิ้นไปอีก ภาษาที่ใช้สื่อสารกันส่วนหนึ่งคือภาษาทูเจวี๋ย หลังจากนั้นชนเผ่าก็แยกตัวเป็นอิสระ

แต่ก็มีคนบอกว่าแต่ก่อนเผ่าทูเจวี๋ยเป็นส่วนหนึ่งเขาแคว้นจิ้นในราชวงศ์ก่อนๆ ทฤษฎีนี้ถูกจารึกไว้ในจดหมายเหตุ แต่ถึงกระนั้นมีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่เป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าขุนนางอาลักษณ์ของแคว้นจิ้นในราชวงศ์ก่อนหน้าจะไม่เคยแก้ไขจดหมายเหตุเหล่านั้นเลย

อันจวิ้นอ๋องพลันสนอกสนใจขึ้นมา ละทิ้งอัตตาแล้วขอเรียนรู้จากเซียวเหิง

หากเป็นแต่ก่อน เขาคงหน้าหงิกปากคว่ำไปแล้ว

ทว่าคืนนี้…ไม่รู้ว่าคืนนี้เขาเป็นอะไรไป

เซียวเหิงไม่เคยหวงวิชามาแต่ไหนแต่ไร หากมีคนมาขอให้เขาช่วยสอนด้วยความจริงใจ เขาก็จะสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้

เขาเริ่มจากสอนตัวเลขง่ายๆ ก่อนจะเริ่มอธิบายสูตรพื้นฐาน

อันจวิ้นอ๋องไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการคำนวณนั้นจะสนุกเพียงนี้ เขาเหมือนเปิดประตูก้าวสู่โลกใบใหม่ ก้าวเท้าเดินท่องไป

นอกจากนั้นเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเหล่าบัณฑิตกั๋วจื่อเจียน แล้วเหล่าจิ้นซือที่สำนักฮั่นหลินต่างแห่กันมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เขา เซียวลิ่วหลังไม่เคยสอนหนังสือด้วยการอ่านตำราให้ฟัง แต่อธิบายด้วยภาษาที่ทุกคนเข้าใจ

จนกระทั่งเขาได้พบเจอกับตัวเองที่นี่ เขาถึงได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังมีทุกวันนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเส้นสายแต่อย่างใด เขาได้ทุกอย่างมาครอบครองด้วยความสามารถของตัวเขาเอง

“เจ้ายิ้มอะไร” เซียวเหิงถาม

อันจวิ้นอ๋องหัวเราะ “ตอนที่เจ้าเพิ่งได้เป็นจอหงวน ข้าไม่เคยคิดนับถือเจ้าจากใจจริงเลย”

เซียวเหิงเหลียวไปมองเขา “เช่นนั้นตอนนี้เจ้านับถือข้าจากใจจริงแล้วหรือ”

อันจวิ้นอ๋องอ้าปากอึกอักก่อนจะพยักหน้า “จะว่าเช่นนั้นก็ได้”

เซียวเหิงวางกระดาษในมือลง เขามองสถานการณ์ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยเข้าประเด็น “จะค้างคืนก็ได้ หนึ่งคืนสองตำลึง”

อันจวิ้นอ๋องนิ่งอึ้ง “นี่ เงินตราทำลายมิตรภาพนะ”

เซียวเหิงเอ่ยเสียงเรียบ “ลงบัญชี ดอกเบี้ยสามส่วน”

ยังมีดอกเบี้ยอีกหรือ

เดี๋ยวก่อนนะ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะลงบัญชี

อันจวิ้นอ๋องกระแอม “นอน…นอนห้องไหนรึ”

เซียวเหิงยกนิ้วชี้ออกไป “เรือนข้างๆ ”

อันจวิ้นอ๋องหน้าถมึงทึงขึ้นมา

เขาจะเสียหน้าต่อหน้าเซียวลิ่วหลังไม่ได้

“บอกไว้ก่อนล่ะ ข้าไม่ได้ไม่มีบ้านให้กลับ แต่เจ้าเชิญแล้วข้าก็ไม่อยากปฏิเสธ ข้าแค่ค้างสักคืนไม่ให้เจ้าเสียน้ำใจก็เท่านั้น”

ว่าจบก็เดินชูคอราวกับนกยูง มุ่งหน้าไปยังเรือนของจี้จิ่วอาวุโส

ห้องใหญ่มีคนนอนเต็มแล้ว เหลือเพียงห้องเล็กหนึ่งห้อง

เขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ยังคงมาดสูงศักดิ์และหยิ่งทนงที่จวิ้นอ๋องคนหนึ่งพึงมีเอาไว้

จนกระทั่งเซียวเหิงเดินออกไปแล้วปิดประตูห้องของเขาลง เขาพุ่งตัวเข้าไปส่องกระจกทองแดงตามสัญชาตญาณ

เสียงร้องโหยหวนราวกับหมูโดนเชือดดังขึ้นกลางค่ำคืน

โว้ยยย!

เจ้าคนที่ผมเผ้าหยุ่งเหยิง บนหัวมีเศษไม้ใบหญ้าปักอยู่ บนหน้ามีคราบเลือดเกรอะกรัง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย แถมแขนเสื้อก็ขาดตั้งสามรู เจ้าขอทานคนนี้ไม่ใช่เขา!!!