บทที่ 566 เอาคืน (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 566 เอาคืน (1)

อันจวิ้นอ๋องยืนนิ่งเหมือนร่างไร้วิญญาณได้สามวินาที เซียวเหิงก็ให้อวี้หยาร์นำยาทาแผลมาให้เขาขวดหนึ่ง

อันจวิ้นอ๋องอยากตายเสียยิ่งกว่าเดิม…

หลังจากกู้เจียวตรวจดูอาการบาดเจ็บของม่อเชียนเสวี่ยและฮวาซีเหยาที่โรงหมอเสร็จเรียบร้อย นางก็เก็บกล่องยาแล้วกลับมายังตรอกปี้สุ่ย

เดิมทีฮวาซีเหยาอยู่ห้องถัดจากม่อเชียนเสวี่ย แต่เพื่อจะได้จับตามองฮวาซีเหยาได้สะดวก ม่อเชียนเสวี่ยจึงบอกให้กู้เจียวรวมนางทั้งสองคนไว้ในห้องเดียวกัน

ในห้องที่ไม่ใช่ห้องของกู้เจียว

ม่อเชียนเสวี่ยไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาในห้องของกู้เจียว

ฮวาซีเหยานอนอยู่บนเตียงเล็ก ใส่เฝือกดามทั้งตัว ร่างทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงใช้แววตาเย็นชาจ้องมองม่อเชียนเสวี่ยที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ “ม่อเชียนเสวี่ย เจ้ามันคนทรยศ!”

ม่อเชียนเสวี่ยไม่ได้เอ่ยอะไร นางนั่งพิงหัวเตียง เอนหลังบนหมอนนุ่ม ถักเชือกแดงตามที่เสี่ยวเจียงหลีสอนอย่างเงียบสงบ

ฮวาซีเหยาแค่นหัวเราะ “ทำไม เจ้ากล้ายอมรับหรือไม่ นายท่านไม่น่าเชื่อใจเจ้าเลย! นายท่านเป็นคนเก็บเจ้ามา! แต่สุดท้ายเจ้ากลับหักหลังนายน้อย!”

ม่อเชียนเสวี่ยหยุดถักด้ายแดงในมือ ก่อนจะเหลือบตามองนางพลางเอ่ย “ฮวาซีเหยา เจ้าไปรู้อะไรมาอีก”

ฮวาซีเหยาเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าลองว่ามาสิ มีอะไรที่ข้าไม่รู้บ้าง หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไป”

ม่อเชียนเสวี่ยชะงักไป “เจ้าไม่ได้พูดผิดเลย ใช่ ข้าทรยศนายน้อยเอง”

เรื่องบางเรื่องยอมรับแล้วกลับรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม หากเป็นแต่ก่อนนางคงไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองหักหลังนายน้อย แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว นางไม่มีอะไรจะแก้ตัวจริงๆ

นางขัดคำสั่งนายน้อย ในสายตาของทุกคนนางคือคนที่หักหลังนายน้อย

แต่กลับไม่มีใครคิดเลยว่า อันที่จริงแล้วนางสามารถหาหลักฐานชี้ตัวนายน้อยได้ แต่นางไม่ทำเช่นนั้น นางไม่อาจฆ่ากู้เจียวได้ลงคอ นางเลือกที่จะเป็นฝ่ายที่ยอมสละชีวิตเสียดีกว่า แต่นางก็ไม่อาจผลักนายน้อยขึ้นแท่นประหารได้ เพราะนั่นคือเจ้านายของนาง

ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮวาซีเหยาเจ้ารู้หรือไม่ คืนวันนั้นข้าเกือบตายไปแล้ว เพื่อซื้อใจกู้เจียว นายน้อยส่งคนมาจัดการอย่างเหี้ยมโหด เขาเกือบตายไปแล้วจริงๆ ”

ฮวาซีเหยาหัวเราะเย้ย “ตอนนี้เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ นายน้อยยังยอมให้เมี่ยวโส่วถังรักษาเจ้า”

ม่อเชียนเสวี่ยส่ายหน้า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก หากไม่ใช่เพราะนางถ่ายเลือดของนางมาให้ข้า ต่อให้ฝีมือการแพทย์ของนางจะเก่งกาจเพียงใดก็คงยื้อชีวิตไว้ไม่ได้”

ฮวาซีเหยาเอ่ยอย่างไม่แยแส “ก็แค่เลือดไม่กี่หยด!”

ฮวาซีเหยาไม่ใช่หมอ ไม่รู้ว่าการถ่ายเลือดให้กันใช่ว่าจะทำได้ทุกหมู่โลหิต และแน่นอนว่านายน้อยของหอเซียนเล่อเองก็ไม่รู้เช่นกัน เพราะอย่างนั้นตอนแรกนายน้อยจึงไม่สนว่ากู้เจียวจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร

ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าคร้านจะพูดกับเจ้าแล้ว”

หญิงสาวก็เป็นเช่นนี้แหละหนา หากได้ทะเลาะกันสักยกให้สมใจอยากแล้ว ก็เลิกแล้วต่อกัน แต่นี่ทะเลาะกันยังไม่ทันจบก็เหมือนออกหมัดชกปุยนุ่น ไม่สาแก่ใจ

ฮวาซีเหยาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เหอะ ชีวิตของพวกเราล้วนแต่เป็นของนายน้อย ต่อให้ต้องตายเพื่อนายร้อยแล้วอย่างไรเล่า เจ้ามันรักตัวกลัวตาย”

ม่อเชียนเสวี่ยสูดหายใจลึก สะบัดความคิดวุ่นวายในหัว ก่อนจะถักเชือกแดงในมือต่อ

กู้เจียวรู้ว่านางคือพยานคนสำคัญ แต่กู้เจียวไม่เคยบังคับให้นางชี้ตัวนายน้อย ไม่เคยแม้แต่ร้องขอเรื่องใดด้วยซ้ำ

กลับกันหากนายน้อยรู้ว่านางมีโอกาสเป็นพยานชี้ตัวว่ากู้เจียวคือคนผิด นายน้อยจะคงไม่สนใจว่านางยินยอมหรือไม่ ทุกข์ใจบ้างหรือเปล่า

ไม่มีทางแน่นอน

นางในอดีตและฮวาซีเหยาเคยคิดว่าตนเองมีชีวิตอยู่เพื่อเสียสละให้แก่นายท่าน นางไม่ใช่เจ้าของตัวนาง แต่นางเป็นเพียงวัตถุของนายท่านเท่านั้น

จนกระทั่งได้พบกับกู้เจียว

คนอย่างฮวาซีเหยาจะไปรู้อะไร นางไม่เคยได้รับสิ่งใด จึงหวังว่าคนอื่นจะไม่ได้รับเช่นกัน แล้วก็ไม่เชื่อว่าคนอื่นจะได้รับด้วย

จากนั้นมาไม่ว่าฮวาซีเหยาจะโกรธเคืองม่อเชียนเสวี่ยสักแค่ไหน ม่อเชียนเสวี่ยก็จะทำหูทวนลม เล่นเอาฮวาซีเหยาโมโหจนแทบลมจับ

ช่วงนี้ในเมืองหลวงมีคดีเกิดขึ้นมากมาย ทว่าเรื่องราวก็พลิกผันอีกครั้ง อย่างแรกคือหอเซียนเล่อเกี่ยวพันกับราชสำนัก กลับกลายเป็นถูกเปิดโปงว่าคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังคือไทเฮา ต่อให้ฮ่องเต้อำนาจล้นฟ้าก็ต้องปลดตำแหน่งไทเฮา แต่ใครจะไปรู้กันว่าไทเฮาจะหายตัวไป

เจ้ากรมสิงที่เป็นนกต่อของไทเฮาจึงถูกขังไว้ที่ศาลต้าหลี่ ผู้ช่วยหลี่ที่เป็นคนร้องก็ได้รับรางวัลอย่างงาม รักษาการแทนเจ้ากรมสิงเป็นการชั่วคราว ชั่วคราวเท่านั้น หากจะเป็นใต้เท้าเจ้ากรมได้ก็ต้องรอให้ฮ่องเต้ออกหน้าปิดคดี มีราชโองการ แล้วก็อีกหลายขั้นตอนยาวเป็นหางว่าว

ราชสำนักสั่นคลอน ชาวเมืองย่อมร้อนใจ

ราชครูจวงยังมาป่วยอีก

ฎีกาที่ส่งมายังราชสำนักกองเป็นพะเนิน แรงกดดันที่มีต่อคณะเสนาบดีก็เทลงมาที่ราชเลขาหยวนแต่เพียงผู้เดียว

รองราชเลขาอีกสองคนล้วนแต่เป็นคนใกล้ตัวของราชครูจวง พอเกิดเรื่องคราวนี้ ท่าทีพวกเขาทั้งสองคนค่อนข้างเพิกเฉย โชคดีที่วิธีของราชเลขาหยวนยังพอรับมือได้

พอรับมือได้ก็จริงแต่ก็เหนื่อยเอาการ นี่เป็นครั้งแรกที่ราชเลขาหยวนมีความคิดจะแต่งตั้งผู้ช่วยราชเลขา

ในยามปกติ คณะเสนาบดีไม่ยอมให้แต่งตั้งผู้ช่วยราชเลขา หลังจากราชเลขาหมดวาระ ก็จะเลือกหนึ่งในสองของรองราชเลขาเพื่อรับตำแหน่งราชเลขาคนใหม่

หากเกิดเหตุว่ารองราชเลขาสองคนก็ยังไม่พอถึงจะเพิ่มตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขาขึ้นมา

ทว่าผลประโยชน์ของผู้ช่วยราชเลขาและผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหลังรองราชเลขานั้นมีความขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนั้นจึงมีแรงต่อต้านจากคณะเสนาบดีเสมอ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ถึงขั้นถูกต้องข้อหาว่าล้มล้างการปกครอง แถมยังได้รับการคุ้มครองจากฮ่องเต้อีกด้วย

เหล่าขุนนางต่อรองผลประโยชน์ สุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์ที่พอใจทั้งสองฝ่าย กล่าวคือยินยอมให้แต่งตั้งผู้ช่วยราชเลขา ทว่าตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขานี้มีข้อจำกัดมากมาย ประการแรกต้องอายุไม่เกินยี่สิบปี ประการที่สองต้องเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อที่ติดอันดับในการสอบทั้งสองครั้ง ประการที่สาม ต้องเป็นขุนนางผู้อุทิศตนให้แก่ราชสำนัก หรืออย่างน้อยต้องมีประการณ์ทำงานในสำนักฮั่นหลินสองปี

คุณสมบัติเหล่านี้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่มีคนตรงตามคุณสมบัติเสียที

ไม่สิ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียทีเดียว

จวงอวี้เหิงแห่งตระกูลจวง อายุยี่สิบปี เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อที่ติดอันดับทั้งสองครั้ง เป็นปั้งเหยี่ยนของการสอบขุนนาง เคยไปเป็นเชลยศึก ณ แคว้นเฉินแทนรัชทายาท คุณูปการมากล้น

เพียงแต่เขาเป็นคนตระกูลจวง และราชเลขาหยวนนั้นมีคนที่เลือกแล้วอยู่ในใจ

“น่าเสียดายที่ไม่ครบคุณสมบัติ” ราชเลขาหยวนถอดหายใจด้วยความเสียดาย

ช่วงนี้เซียวฮองเฮาปวดหัวอยู่สองเรื่องก็คืออาการป่วยของฮ่องเต้ และความเป็นอยู่ของไทเฮา

ฮ่องเต้ถูกทุบหัวบาดเจ็บ หมอหลวงก็บอกได้ไม่แน่ชัดว่าจะฮ่องเต้จะตื่นขึ้นมาเมื่อใด ส่วนจวงไทเฮาอยู่ที่ไหนนั้นก็ไม่มีเบาะแสคืบหน้าเลย

ประตูเมืองมีระบบตรวจบัตร กำแพงเมืองสูงแค่ไหน กำแพงของตำหนักเหรินโซ่วก็สูงเท่านั้น เซียวฮองเฮาไม่เชื่อว่าจวงไทเฮาจะสามารถใช้วิชาตัวเบาลอยหนีออกไป เพราะอย่างนั้นจวงไทเฮาต้องยังอยู่ในเมืองหลวงแน่นอน

เซียวฮองเฮาสั่งให้หัวหน้าฟู่ค้นหาสุดกำลัง

หลายวันมานี้เว้นเสียแต่เฝ้าอาการฮ่องเต้ที่ตำหนักฮว๋าชิง องค์หญิงหนิงอันก็ไปถวายพระพรเซียวฮองเฮาที่ตำหนักคุนหนิง

การกระทำของนางอาจไม่ได้แปลกในสายตาของคนอื่น สองที่พึ่งพิงของนางในวังหลวงหายไปทั้งคน ฮ่องเต้ที่ยังอยู่ก็หลับใหลไม่ได้สติ หากนางไม่ผูกมิตรกับเซียวฮองเฮาแล้ววันหน้าจะอยู่ในวังหลวงเช่นไร

แถมหลายวันมานี้ หวงฝู่เสียนลูกชายของนางก็ไม่ออกอาละวาดแต่อย่างใด

ช่างรู้จักเวล่ำเวลาเสียจริง

ตกบ่าย องค์หญิงหนิงอันไปเยี่ยมเซียวฮองเฮาที่ตำหนักคุนหนิง

เซียวฮองเฮากำลังตรวจการบ้านฉินฉู่อวี้อยู่ในหออุ่นที่มีเตาผิง ฉินฉู่อวี้ท่องกลอนกระท่อนกระแท่น จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เซียวฮองเฮาถึงกับปวดหัว

“เจ้าช่วยตั้งใจหน่อยได้หรือไม่”

“ข้าอยากไปหาเสด็จพ่อ…” ฉินฉู่อวี้เอ่ยอย่างน่าสงสาร

“ไม่ใช่ว่าเคยพาเจ้าไปแล้วรึ”

ฉินฉู่อวี้เป็นลูกชายแท้ๆ ของฮ่องเต้ เซียวฮองเฮาจะไม่พาเขาไปเยี่ยมฮ่องเต้ได้อย่างไร แม้แต่ไท่จื่อนางยังพาไป ไท่จื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อให้เศร้าใจเพียงใดก็ต้องแอบปาดน้ำตา แต่เจ้าตัวน้อยฉินฉู่อวี้กลับโผเขาไปกอดร้องไห้ฟูมฟาย ไม่รู้ว่าคิดว่าเสด็จพ่อสวรรคตแล้วหรือว่ากำลังไว้อาลัยให้เสด็จพ่อของตัวเองกันแน่

เซียวฮองเฮาไม่กล้าพาเขาไปอีกแล้ว