บทที่ 686 โดนด่า

บทที่ 686 โดนด่า

“หนูเตือนแล้วนะคะว่าถ้าคิดจะสร้างเรื่องก็อย่าคิดว่าหลังจากนี้จะได้เงินอีกเลย!”

เสียงนั้นจะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่เสี่ยวเถียน! เด็กหญิงไม่ลังเลสักนิด เธอจะทำให้คนน่ารังเกียจพวกนี้ไม่ได้เงินแม้แต่เหมาเดียวจากกระเป๋าเลย!

พ่อเฒ่าเหลียงจ้องเขม็งอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ในหัวผุดความคิดว่าอยากจะตบยัยเด็กสารเลวนี้สักฉาด ทำตัวน่ารำคาญเหมือนแม่มันเลย ทำไมไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุกมันทำตัวมากเรื่องนัก

เสี่ยวเถียนไม่ได้กลัวผู้เป็นตาสักนิด ทั้งยังตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยาะ “อยากด่าหนูใช่ไหมล่ะ? ก็ลองดูเลยค่ะ หนูสัญญาเลยว่าแค่คุณปริปากพูดแม้แต่นิดเดียวจะไม่ได้เงินสักหยวนเดียว!”

พ่อเฒ่าอยากจะบอกเหลือเกิน คิดว่าตัวเองเป็นใคร? คิดว่าตัวเองเก่งขนาดนั้นเลยหรือไง

ทว่าคิด ๆ ดูอีกที กลับรู้สึกว่าเธอคงไม่ได้พูดขึ้นมาลอย ๆ แน่ ยัยโง่นี่อาจจะเก่งจริง ๆ ก็ได้ ไม่รู้คนบ้านซูมันเสียสติไปแล้วหรือเปล่า ไม่เห็นค่าลูกชายแต่ยกย่อลูกสาวราวกับสมบัติล้ำค่า

แต่พอนึกถึงหัวหน้าเหลียงที่มีใบหน้าอย่างกับคนท้องผูก เขาก็ทำได้แค่อดทนเพื่อเงินเท่านั้น

เสี่ยวเถียนยอมละมือไปอย่างสบายใจ

งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป กลิ่นอาหาร กลิ่นเนื้อ ซาลาเปาสีขาว และสุราปะปนกัน ไม่ต้องบอกเลยว่ามันล้ำค่าขนาดไหน

คนบ้านเหลียงกลืนน้ำลาย

สุดท้ายหลานชายก็ทนไม่ไหวแล้วเริ่มสร้างเรื่องขึ้น

“ปู่ ย่า ผมอยากกินเนื้อ!”

หลานชายบ้านเหลียงเป็นลูกชายคนเล็กของเหลียงเหล่าซานและหลี่ชุ่ยฮวา เขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจแต่เด็ก ถึงอายุจะสิบกว่าปีแล้ว แต่ยังทำตัวเหมือนเด็ก ๆ แบกรับความคับข้องใจไม่ได้เลย

“เด็กดี ถ้าย่าได้เงินมาจะซื้อเนื้อให้กินนะ!”

ถึงจะปวดใจแทนหลานชาย แต่ก็ยังคิดว่าเงินแค่นี้ยังซื้อเนื้อไม่ได้หรอก ไม่คุ้มเลย

เหลียงเสี่ยวเป้าที่กำลังหิวโหยไม่สนอะไรสักนิด เขาเอาแต่โอดครวญขอกินเนื้อ

แม่เฒ่าเหลียงปวดใจที่เห็นเช่นนี้เหลือเกิน เธอปลอบหลานไปด้วย และเหลือบมองคนที่กำลังกินอาหารในลานบ้านอย่างชั่วร้าย ไอ้คนพวกนี้มันไม่เห็นหรือไงว่าเสี่ยวเป้าของเขากำลังหิวน่ะ? เด็กเพิ่งจะตัวแค่นี้ ทำไมไม่เห็นมีใครชวนให้เขากินอะไรสักหน่อยล่ะ?

“สะใภ้สามพาลูกกลับไปก่อนเถอะ ระหว่างทางให้เอาเนื้อให้เขาเคี้ยว ๆ สักหน่อย”

พ่อเฒ่าเองก็ปวดใจ คนพวกนั้นมันให้เงินเราแค่เดือนละห้าหยวนเอง รู้ไหมว่าเงินแค่นั้นเนื้อมันหายไปตั้งห้าจินแล้ว ทำไมเขาต้องให้กำเนิดเจ้าตัวอกตัญญูแบบนี้ออกมาด้วย บาปกรรมเหลือเกิน!

เหลียงเสี่ยวเป้าได้ยินแบบนั้นก็ตอบตกลงทันที

แต่แม่ของเขาไม่คิดเช่นนั้น เพราะคิดจะเอาเงินพ่อแม่สามีมาไว้เป็นของตัวเอง ถ้ากลับไปแบบนี้จะไม่เสียเปรียบเอาหรือ?”

ที่บ้านยังรออีกตั้งสองคน แม้ไม่อยากไปแต่ก็ห้ามพ่อสามีให้หยุดพูดไม่ได้เช่นกัน เพราะงั้นจึงโดนเขาด่าอีกชุดซ้ำ ๆ

คนบ้านเหลียงไม่มีกฏว่าห้ามสามีดุด่าหรือทุบตีภรรรยา

หลี่ชุ่ยฮวาไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็พาลูกกลับไป หลานคนอื่น ๆ เองก็ทนไม่ได้เหมือนกันที่กินอาหารในงานเลี้ยงวันนี้ไม่ได้

แค่ได้กลิ่นน้ำลายก็ไหลแล้ว ที่บ้านเรามีเนื้อก็จริงแต่ปกติก็ไม่ได้ให้แค่เสี่ยวเป้าคนเดียว ในไม่ช้าก็เหลือสองสามีภรรยาและลูกชายทั้งสามเท่านั้น

เสี่ยวเถียนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น

คนบ้านเหลียงกลืนน้ำลาย และในที่สุดงานเลี้ยงก็จบลงเสียที

อันที่จริงมันใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง แต่คนที่รอนั้นยาวนานเหลือเกิน และตอนนี้ก็โล่งใจได้เสียที

จากนั้นก็เห็นงานเลี้ยงรอบที่สองเริ่มขึ้น

งานเลี้ยงที่ชนบทก็แบบนี้ล่ะ มีหลายรอบ รอบละห้าหกโต๊ะ และต้องใช้เวลาสามสี่รอบถึงจะจบลง โชคดีที่หัวหน้าเหลียงกินเสร็จแล้ว คนบ้านซูเลยพาเขาไปยังห้องเหล่าซาน

เราจัดงานในโถงหลัก จึงไม่สะดวกคุยเรื่องอื่น ๆ ในบริเวณนี้

หัวหน้าเหลียงเกรงใจมาก อีกอย่างเรื่องวันนี้ก็เป็นฝีมือของพวกโง่สองคนที่ไร้สมองนึกคิด บ้านสามีลูกดีขนาดนี้ แถมยังสนิทกับลูกสาวด้วย จะกลัวลำบากไปทำไม?

แล้วดูไอ้พวกไร้ค่านี่สิ มันทำอะไรลงไป?

บังคับให้ลูกสาวเลี้ยงตัวเอง แต่ดีที่ลูกยอมให้เงินหน่อยนึงเพื่อจบเรื่อง ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหลอกให้ลูกสาวดีใจจนอยากได้อะไรก็ให้ แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ?

หัวหน้าเหลียงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว และตกลงว่าจะให้เงินเดือนละ 5 หยวนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี

ตอนที่นั่งคุยกับคนในหมู่บ้านหนานหลิ่งก็ได้รู้มาเรื่องหนึ่งว่าคนบ้านซูกำลังไปได้สวย

ควรเรียกสองสามีภรรยาเหลียงว่าอะไรดี?

ยกหินทับเท้าตัวเอง*[1]หรือว่าไม่ก็ขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังเสียข้าวเปลือกไปอีก*[2]ดีนะ!

“เรื่องก็เป็นแบบนี้ล่ะหัวหน้าเหลียง!” ขณะที่หัวหน้าเหลียงกำลังบ่นสองสามีภรรยาเหลียง ซูฉางจิ่วก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน

“ที่ตระกูลซูต้องการคือ ไม่อยากจัดการกันเงียบ ๆ จึงอยากให้พวกเราหัวหน้ามาเป็นพยานน่ะ”

“ต่างฝ่ายต่างก็มีลูกชาย แถมยังไม่มีเหตุผลให้ลูกสาวเลี้ยงพ่อแม่ด้วย แต่ตระกูลซูใจกว้างมาก ๆ ที่เห็นด้วยกับเรื่องเหลียงซิ่วเลี้ยงพ่อแม่ ถือว่าเป็นการตอบรับเป้าหมายของประเทศแล้วกัน ฉันชื่นชมเหลือเกิน!” หัวหน้าเหลียงว่าพร้อมประจบประแจง

คนบ้านซูตอบรับอย่างสุภาพ ทัศนคติดีมาก

พ่อเฒ่าเหลียงโกรธจัดทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

นี่มาช่วยเราหรือมาเพื่อช่วยคนบ้านซู?

“หัวหน้า ฉันคิดว่าเงินห้าหยวนที่ใช้เลี้ยงดูมันน้อยไปหรือเปล่า เราสองคนห้าหยวนมันไม่เท่าไรเองนะ!”

พ่อเฒ่าคิดว่าถ้าอนาคตฉวยโอกาสจากลูกไม่ได้ งั้นขอเพิ่มอีกหน่อยคงดีกว่า

“พี่สิบเก้า ผมไม่ชอบที่พี่พูดเลยนะ แล้วลูกชายอีกสามคนล่ะ ทำไมถึงให้ลูกสาวเลี้ยงอยู่คนเดียว? ห้าหยวนก็ถือว่าเหลียงซิ่วเห็นใจแล้วนะ!”

“อีกอย่าง ถ้าทั้งลูกชายลูกสาวให้ตามกำหนดนี้ ชีวิตพี่ทั้งสองราบรื่นกว่านี้อีกนะ”

หัวหน้าเหลียงเห็นพ่อเฒ่ายังรั้น ก็ไม่อยากคุยด้วยอีก

คนแบบนี้สมควรโดนแล้ว!

ถึงจะไม่รื่นหูแต่ก็ต้องยอมรับว่าคือเรื่องจริง

“หัวหน้าเหลียง ลูกชายสามคนชีวิตลำบากน่ะ พอเห็นว่าซิ่วเอ๋อร์ดีขึ้นหน่อยก็เลยอยากให้เธอมารับผิดชอบบ้าง!”

พ่อเฒ่าลูบท้องว่าง ๆ และยังค้านหัวชนฝา

“แล้วคิดจะแบ่งมรดกให้ลูกเท่าไร?” หัวหน้าเหลียงถามเสียงเย็น

“ลูกสาวที่แต่งงานไปแล้วเหมือนน้ำที่กระฉอกออกมา มีบ้านไหนมันแบ่งมรดกให้ลูกสาวบ้างล่ะ?”

เหลียงเหล่าซานตะคอก

เรามาขอเงิน ไม่ได้มาแจกเงินให้ใครเสียหน่อย แล้วไอ้ตัวนั่นกลับมาขอแบ่งมรดกอีก ใครจะยอมให้กันเล่า

“งั้นก็นั่งลงไปเหมือนเดิมนั่นล่ะ อย่ามาทำตัวเรื่องมาก ไม่ให้มรดกไม่พอยังอยากให้เขาเลี้ยงดูอีก บนโลกนี้มันมีเรื่องแบบนี้ที่ไหน? พวกคุณสามเลี้ยงพ่อแม่ก็ไม่รอด แล้วยังให้น้องเลี้ยงแทนอีก ไม่อายหรือไง?”

หัวหน้าเหลียงพูดจาไร้ปรานีมาก!

[1] คิดร้ายต่อคนอื่น แต่ดันวกเข้าหาตัวเอง

[2] ฉวยโอกาสไม่สำเร็จยังขาดทุนอีกต่างหาก