ตอนที่ 581 เรื่องเล็กน้อย (3)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 581 เรื่องเล็กน้อย (3)

อี้ติ่งเจินเหรินแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน

ชั่วเวลาหนึ่ง เมื่ออี้ติ่งเจินเหรินเริ่มจะยืนขึ้น หลี่ฉางโซ่วก็จับอักขระลึกลับได้

หลี่ฉางโซ่วคุ้นเคยกับอักขระเต๋านั้นมาก มันแตกต่างจากเวทสงบลมปราณเต่าของเขา แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันมาก!

สิบสองเซียนจิแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานได้ซ่อนระดับฐานพลังส่วนหนึ่งเอาไว้!

ยิ่งไปกว่านั้น หม้อหยกที่อี้ติ่งเจินเหรินวางไว้บนศีรษะของเขาในวันนี้นั้น ก็ไม่ใช่เครื่องมือเวทของเขา ดูเหมือนว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาจากพลังเวท และยังดูเหมือนว่าจะเป็นการแสดงลักษณะให้เห็นอย่างเด่นชัดของเต๋าใหญ่

หากมีผู้ใดสัมผัสมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่ามันจะเป็นผู้ดำรงอยู่ลึกลับระหว่างสมบัติวิญญาณเซียนเทียนที่เชื่อมโยงกันกับสมบัติวิญญาณโฮ่วเทียน!

ตั้งแต่ต้นจนจบ อี้ติ่งเจินเหรินจะนิ่งเงียบและไม่ปริปากออกมาแม้แต่คำเดียว ส่วนมากเขาจะเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าเท่านั้น…

เขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดา วางตัวเรียบง่ายไม่โดดเด่นสะดุด และมั่นใจในการเผชิญหน้ากับสำนักบำเพ็ญประจิมในช่วงเวลาคับขัน เขามีหม้อหยกลึกลับ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ศิษย์ที่ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น

เทพเอ้อร์หลาง หยางเจี้ยน[1]!

เป็นไปได้มากกว่าแปดส่วนที่อี้ติ่งเจินเหรินผู้นี้น่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกปิดตัวตนอยู่!

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็วาดวงกลมลงบนชื่อของ อี้ติ่งเจินเหริน

ภายหลังจากนี้ หลี่ฉางโซ่วก็สามารถเริ่มตีสนิท คบหาเป็นสหายกับเขา และดูว่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง ว่ากันว่ามันเป็นเวทปาจิ่วเสวียนกง ซึ่งเป็นศาสตร์แรกแห่งการฝึกฝนร่างกาย

แน่นอนว่า เขาไม่ได้สนใจเวทปาจิ่วเสวียนกง ระดับฐานพลังของเขาไม่ต่ำ และเขาก็ได้มาถึงขั้นเริ่มต้นของเต๋าใหญ่แล้ว สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปก็คือ การก้าวไปสู่เต๋าใหญ่นี้ทีละขั้นๆ เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงวิธีการได้ง่ายๆ

ทว่าเวทปาจิ่วเสวียนกงนั้นก็สามารถฝึกฝนในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว หากใช้เพื่อฝึกฝนสงหลิงลี่ หัวหน้ากลุ่มรักษาความปลอดภัยของยอดเขาหยกน้อย หรือเหล่าทูตเทวะของสำนักเทพทะเลได้…

มันคงจะยอดเยี่ยมมาก

หลี่ฉางโซ่วกลั่นกรองเนื้อหาของยันต์หยกอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เขานั่งอยู่ในห้องโถงด้านหลังและครุ่นคิดเป็นเวลานาน

จากนั้น เขาก็ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายและให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กลับไปที่คลังเก็บตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในห้องใต้ดิน

ยามนี้เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว มีดวงดาวเจิดจรัสบนแผ่นฟ้าไม่มากนัก

บนยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ โบกพัดผูซ่านช้าๆ และมองไปที่ศิษย์น้องหญิงซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่บนเบาะนั่งสมาธิข้างๆ เขา

บัดนี้นางได้เข้าสู่สภาวะเข้าฌานอย่างลึกซึ้ง

ในเวลานั้น เขาแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปสำรวจตรวจจับส่วนต่างๆ ของสำนัก เขาได้เห็นว่าอาจารย์อาจิ่วจิ่ว กำลังเทศนากับอาจารย์อาจิ๋วอวี่ซือในขณะที่ท่านอาจารย์ของเขาที่กำลังฟังอยู่ด้านข้าง ดูมีความสุขมากทีเดียว เขาเผยสีหน้าเบิกบานใจอย่างยิ่งออกมาบนใบหน้า ราวกับว่าเขากำลังเข้าชั้นเรียน

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ยืนขึ้นและขี่เมฆไปที่ยอดเขาตันติ่งเพื่อเยี่ยมเยียนปรมาจารย์อาวุโสว่านหลินหยุนที่เพิ่งได้รับความก้าวหน้าและออกมาจากการปิดด่าน เขาอยากไปให้กำลังใจผู้อาวุโสพิษ

หลังจากเสียเวลาอยู่ที่ยอดเขาตันติ่งไปครึ่งชั่วยาม หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็บินไปยังยอดเขาพิชิตสวรรค์…

กังวลด้วยเหตุใดกัน

ไม่จำเป็นต้องพูด แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้… ตู้เอ้อร์เจินเหริน ผู้ก่อตั้งสำนักตู้เซียนได้กลายเป็นส่วนสำคัญของข่าวลืออีกครั้ง!

เมื่อมาถึงโถงตู้เซียน ผู้อาวุโสสองคนที่เฝ้าห้องโถงก็ถามหลี่ฉางโซ่วว่าเหตุใดเขาถึงมาที่นี่ แล้วก็ได้ยินเสียงกระแอมไอของท่านเจ้าสำนักดังมาจากห้องโถง

“ข้าขอให้ฉางโช่วมาเอง”

ในขณะนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองก็ไม่กล้าหยุดเขา หลี่ฉางโซ่วจึงโค้งคำนับให้และเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับก้มศีรษะลงขณะที่รีบเดินไปที่ห้องโถงเล็กของท่านเจ้าสำนัก

หลังจากโค้งคำนับให้เจ้าสำนักแล้วเจ้าสำนักก็ได้เชิญให้หลี่ฉางโซ่วนั่งลง และในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ใช้ข่ายอาคมกั้นเพื่อปิดห้องโถงด้านข้าง

จี้อู๋โหย่วยิ้มและกล่าวว่า “ฉางโช่ว หากเจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดก็พูดมาเถิด เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ายังลังเลอยู่? แค่กๆ แค่กๆ! อย่าถือว่าข้าเป็นคนนอกเลย”

“อืม…” หลี่ฉางโช่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านโปรดช่วยเตือนท่านเจินเหรินผู้ก่อตั้งสำนักได้หรือไม่ขอรับ?”

เจ้าสำนัก รีบถามว่า “เกิดอันใดหรือ?”

“ศิษย์ไม่เชื่อข่าวลือและข้าก็จะไม่เผยแพร่มันออกไป” หลี่ฉางโช่วถอนหายใจและกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้เชิญ ‘อนุสาวรีย์ความเที่ยงธรรมของจักรพรรดิแห่งสวรรค์’ เพื่อตรวจสอบข่าวลือ ก่อนหน้านี้ บรรดาเซียนของทั้งสามสำนักได้มารวมตัวกันและศิษย์ก็ได้เห็นท่านตู้เอ้อร์เจินเหรินเดินแวบวาบผ่านไปในชั่วพริบตา เขากลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของข่าวลืออีกครั้ง…”

“หือ?!”

จี้อู๋โหย่วลุกขึ้นยืนพลางขมวดคิ้วและถามว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ กำลังตำหนิข้าหรือไม่”

“ไม่ขอรับ ทุกคนล้วนเข้าใจกันเป็นอย่างดี และแสร้งทำเป็นว่าพวกเราไม่เห็นแล้วกัน” ถอนหายใจและกล่าวต่อว่า “ทว่าเราก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ขอรับ”

“ได้!” จี้อู๋โหย่วกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “ข้าจะไปพบท่านอาจารย์ที่ภูเขาคุนหลุนเดี๋ยวนี้ ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเขาอย่างแน่นอน! ข้าจะบอกว่าท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ส่งคนมาเตือนเขา!”

หลี่ฉางโช่วรู้สึกโล่งใจทันที

ขณะที่เขากำลังจะอำลาจากไป เขาก็ไปหาองค์เง็กเซียนเพื่อหารือว่า อนุสาวรีย์ความเที่ยงธรรมของจักรพรรดิแห่งสวรรค์นั้นถูกจัดวางเอาไว้ที่ใด และเขาก็อยากหารือเรื่องเกี่ยวกับเผ่าเวทแห่งดินแดนเทวะอุดร

ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะขณะที่ถามออกไปว่า “ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์เห็นศิษย์น้องหญิงโหย่วฉินวิ่งออกไปก่อนหน้านี้ ศิษย์ขอถามถึงสาเหตุได้หรือไม่ขอรับ?”

“โอ้ มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” จี้อู๋โหย่วยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ มีปีศาจนกยูงได้ปรากฏตัวขึ้นในอาณาจักรโหย่วฉิน มันเชี่ยวชาญในการทำร้ายชีวิตผู้คนและกินมนุษย์

อาณาจักรโหย่วฉินนั้น ไม่เพียงแต่เป็นบ้านเกิดของเสวียนหย่าเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งสักการะที่สำคัญของสำนักเราอีกด้วย หลังจากที่เหล่าผู้อาวุโสได้พูดคุยกัน พวกเขาก็ส่งเสวียนหย่าและเหล่าผู้อาวุโสในสำนักไปจัดการเรื่องนี้”

หลี่ฉางโช่วพยักหน้าช้าๆ มันเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์ก็จะขอกลับไปฝึกบำเพ็ญ ต้องขออภัยที่รบกวนท่านเจ้าสำนักขอรับ”

“ข้าจะเขียนจดหมายตอนนี้ หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็มาหาข้าได้”

จากนั้นทั้งสองก็ยืนขึ้นและทำการคารวะเต๋าให้กัน แล้วหลี่ฉางโช่วก็หันหลังกลับ เดินออกไปจากประตูเล็กๆ และมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ของห้องโถง

ทว่าหลังจากเดินออกไปได้เพียงสองก้าว จู่ๆ หลี่ฉางโช่วก็หยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติขึ้นมากะทันหัน…

นกยูง… ปีศาจ?!

………………………………………………………………..

[1] เทพนักรบสามตา “เอ้อหลางเสิ่น” หรือหยางเจี้ยนต้าตี้ ทรงเป็นแม่ทัพสวรรค์แห่งทิศประจิม ว่ากันว่า ทรงเป็นหนึ่งในหาของแม่ทัพสวรรค์ผู้คุมประตูห้าทิศห้าธาตุ และยังด้วยมีแซ่หยาง จึงได้รับการนับถือเป็นเทพตระกูลหยาง นอกจากนี้ในวรรณกรรมไซอิ๋ว ได้ทรงปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อปราบฉีเทียนต้าเชิ่งหรือไซอิ๋วที่ไม่มีใครปราบได้แล้วนอกจากพระยูไล โดยเอาชนะด้วยการแปลงร่างเจ็ดสิบสองร่าง เทพเอ้อหลางจึงได้รับการยอมรับในเวลานั้นว่ามีฝีมือปราบปีศาจ เก่งกาจที่สุดบนสวรรค์หลังจากศึกที่ฉีเทียนต้าเซิ่งบุกสวรรค์จบลง