บทที่ 580 เรื่องเล็กน้อย (2)
เขามีสัตว์เทพตัวหนึ่งเป็นสัตว์พาหนะ ชื่อว่าตี้ทิง สัตว์เทพตัวนี้สามารถฟังความคิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสามอาณาจักรและมีพลังเวทที่สามารถแยกแยะจริงเท็จได้ ซึ่งท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ใช้แผนภาพไท่จี๋เพื่อทำการหยั่งรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว”
“ตี้ทิงหรือ?” นักพรตเต๋าตั๋วเป่าพึมพำเบาๆ
จากนั้นใบหน้าที่อวบอิ่มเล็กน้อยของเขา ก็เผยท่าทีรำลึกได้ปรากฏขึ้นมา “ข้าเคยได้ยินเรื่องสัตว์ประหลาดเช่นนี้”
จ้าวกงหมิงยิ้มและกล่าวว่า “นี่ไม่ได้หมายความว่า เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้สามารถได้ยินเสียงที่น่าสนใจที่คู่บำเพ็ญเต๋าต่างๆ ทำขึ้นมาได้ด้วยหรอกหรือ?”
หวงหลงเจินเหรินพยักหน้าและกล่าวว่า “พลังเวทนี้น่าจะมีกฎห้ามบางอย่าง”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า “มีกฎห้ามอยู่ไม่น้อย หากฐานพลังของเจ้าไม่สูงพอ เจ้าก็เพียงแค่ต้องระมัดระวังความคิดของเจ้าเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสอดแนม”
จ้าวกงหมิงเดาะลิ้นพลางยิ้มและกล่าวว่า “คู่บำเพ็ญเต๋าที่มีระดับฐานพลังที่สูงกว่าส่วนใหญ่ล้วนมีความบริสุทธิ์และมีความปรารถนาน้อย ต่อให้ได้ยินไปก็ไม่สนุก”
ทันใดนั้น ทั้งปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ นักพรตเต๋าตั๋วเป่าและหวงหลงเจินเหรินต่างก็มองไปที่จ้าวกงหมิง…
จ้าวกงหมิงลูบเคราอย่างรู้สึกผิดขึ้นทันทีและถามว่า “เกิดอันใดขึ้น?”
“ศิษย์น้องกงหมิง ไฉนเจ้าถึงมักเอาแต่พูดเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้อยู่เสมอ?” หวงหลงเจินเหรินเตือนสติต่ออีกว่า “เราต้องมุ่งเน้นความสนใจไปที่เต๋า! ความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเกี่ยวอันใดกับความเป็นอมตะ?”
“นี่ก็เป็นเพราะว่าข้าอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ” จ้าวกงหมิงหน้าแดงแล้วจ้องมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว
ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะการเดินทางไปเยี่ยมเผ่าเวท หลี่ฉางโซ่วทำให้เขาเต็มไปด้วยหยินหยาง การเจริญพันธุ์ และการพบปะกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างชายหญิง!
นักพรตเต๋าตั๋วเป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าระวังตัวยิ่ง แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่กำจัดสัตว์เทพตี้ทิงตัวนี้เล่า? มันจะเป็นตัวหายนะได้ในที่สุด”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “แน่นอนว่า หากตี้จั้งปรากฏตัว เราก็จะกำจัดสัตว์ประหลาดตัวนี้”
จ้าวกงหมิงยิ้มและกล่าวว่า“ ข้าเกรงว่าเขาจะหวาดกลัวมากจนไม่กล้าเผยโฉมหน้าของเขาออกมาในช่วงเวลานี้
เฮ้ เรื่องนี้จบลงแล้ว พวกเรามาดื่มกัน แล้วปล่อยให้ฉางเกิงวางแผนอนาคตทีละขั้นตอนไปเถิด!”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออกทันที
พวกท่านจะเสียมันไปเปล่าๆ กันจริงๆ หรือ?
ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และนักพรตเต๋าตั๋วเป่าต่างก็ยกจอกขึ้นดื่มกัน
หวงหลงเจินเหรินยืนขึ้นพร้อมกับจอกสุราของเขาและมาขอบคุณหลี่ฉางโซ่วก่อนจะถอนหายใจออกมาและกล่าวว่า “ข้าเป็นหนี้เรื่องเผ่ามังกรมากนัก ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้สังเกตอะไรเลย แล้วจู่ๆ ข้าก็ได้รู้แจ้งบางอย่างแล้วเข้าปิดด่าน
เมื่อข้าลืมตาขึ้นอีกครั้ง เรื่องของเผ่ามังกรก็ผ่านไปแล้ว และข้าก็รู้ว่าข้าพลาดเรื่องนี้ไป เฮ้อ เผ่ามังกรกำลังมีปัญหา หากในวันนั้น ข้าอยู่ในทะเลบูรพา พวกเขาก็อาจมีโอกาสรอดชีวิตได้”
หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็จับประเด็นสำคัญได้อย่างดีเยี่ยม
เขาได้รับการรู้แจ้งทันทีหรือไม่?
หรืออาจจะเป็น…
ช่างมันเถิด ข้าคิดไม่ออก
“ชะตากรรมของเผ่ามังกรเป็นเช่นนั้น ภัยพิบัตินี้ควรจะเกิดขึ้น” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “แต่ในขณะนี้ เผ่ามังกรก็ได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อศาลสวรรค์แล้ว ข้าเชื่อว่าสถานการณ์ในอนาคตของพวกเขาจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างแน่นอน”
“เฮ้อ” หวงหลงเจินเหรินมีท่าทีละอายใจ เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องรู้สึกผิดไปอีกเป็นเวลาหลายร้อยปี
ทันใดนั้น นักพรตเต๋าตั๋วเป่าก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ และหันไปมองจ้าวกงหมิงพลางถามว่า “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เหตุใดศิษย์น้องจินกวงถึงไปได้รับบาดเจ็บอยู่บนภูเขาเอ๋อร์เหมยของเจ้า?”
จ้าวกงหมิงเกือบจะสำลักสุราในปากออกมากะทันหัน และรีบกล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้รายละเอียด ข้ายังไม่มีโอกาสถามว่าเป็นผู้ใดวางแผนทำร้ายศิษย์น้องหญิงจินกวง…”
ดวงตาของนักพรตเต๋าตั๋วเป่าสว่างวาบขึ้น บัดนี้เขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างและหันไปมองหลี่ฉางโซว แต่หลี่ฉางโซวก้มหน้ามองลงล่างและไม่คิดที่จะตอบ …
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน งานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ในถ้ำหลัวฝูก็จบลง
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กลับไปบำเพ็ญเพียรที่วังดุสิต จ้าวกงหมิงไปกับนักพรตเต๋าตั๋วเป่าที่เกาะเต่าทองในขณะที่หวงหลงเจินเหรินก็รีบไปที่วังมังกรทะเลบูรพาเพื่อดูว่ามีสิ่งใดที่เขาจะพอช่วยได้หรือไม่ …
ส่วนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่หลี่ฉางโซ่วเคยส่งไปที่ภูเขาวิญญาณนั้น ถูกเผาโดยตรงอยู่ในถ้ำหลัวฝู จากนั้น เขาก็เพ่งจิตสนใจกลับไปที่วิหารเทพทะเลในทะเลทักษิณอีกครั้ง และยังคงจัดการข้อมูลเกี่ยวกับบรรดาเซียนของสามสำนักที่เขาได้รับต่อไป…
เมื่อพิจารณาจากผลลัพธ์ต่างๆ นั้นแล้ว เขาก็พบว่า การแสดงงานการสยบภูเขาวิญญาณของทั้งสามสำนักในครั้งนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ
ประการแรก มันกลายเป็นการเตือนและได้ให้โอกาสแก่ผู้ที่อยู่บนภูเขาวิญญาณในการเปลี่ยนจากแสงสว่างเป็นความมืด ซึ่งจะเพิ่มความยากลำบากให้กับแผนการพัฒนาศาลสวรรค์ต่อไปในอนาคตอย่างมาก
ประการที่สอง ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ยั่วยุจอมปราชญ์อย่างหนัก
นั่นคือสิ่งที่หลี่ฉางโซ่วคาดว่าจะเกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะใช้สมบัติของเขาและสามารถเข้าสกัดกั้นเครื่องมือเวทของจอมปราชญ์ได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่คาดคิดว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ผู้ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับกรรมจะมารับบทศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าในเวลานั้น …
โดยปกติแล้ว เมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไปดูการปฏิบัติการเกี่ยวกับเรื่องเผ่ามังกร เขาจะมีความคิดว่า หากทำไม่ได้ ก็ไม่ควรทำ เขาจะไม่ทำอะไรเว้นแต่ว่าเขาจะถูกล้ำเส้นอย่างแท้จริง
ไม่เช่นนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะเพียงแค่จัดการให้เขา ผู้เป็นปรมาจารย์เต๋าน้อย เป็นคนไปทำงานเท่านั้น…
ทว่าคราวนี้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ลงมือเอง หลี่ฉางโซ่วจึงกังวลว่าเขาจะทิ้งความประทับใจที่ไม่น่าเชื่อถือเอาไว้กับบรรดาศิษย์ของทั้งสามสำนักในขณะที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ก้าวเข้ามาช่วย
จอมปราชญ์นั้นไม่มีอะไรมาก แม้จะไม่มีสมบัติล้ำค่า ทว่าพวกเขาก็สามารถต่อสู้กลับด้วยสมบัติวิญญาณได้
ใช่ เขากำลังพูดถึงบรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย!
ประการที่สาม สำนักบำเพ็ญประจิมคงจะระมัดระวังการกระทำของตนมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เกรงว่า บางที รูปแบบการสอนที่เย่อหยิ่งจองหองก่อนหน้านี้จะถูกเปลี่ยนไปเพราะเหตุการณ์นี้ ซึ่งแน่นอนว่า เขาย่อมต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อคิดวางแผนการในภายหน้า
ทว่าเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่อาจละเลยต่อข้อดีของสามสำนักที่สยบภูเขาวิญญาณไปได้เพียงเพราะมีข้อเสียเหล่านี้…
เรื่องนี้มีผลในเชิงบวกมากมายนับไม่ถ้วน สามารถบรรลุเป้าหมายทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยรวมแล้ว ศาลสวรรค์น่าจะพัฒนาไปได้อย่างมั่นคงและสงบสุขในอีกห้าร้อยปีข้างหน้า
เมื่อหลี่ฉางโซ่วดูข้อมูลเกี่ยวกับบรรดาเซียนของ “สามสำนัก” ที่รวบรวมและแยกแยะเอาไว้ในมือ ร่างต่างๆ ก็แวบเข้ามาในความคิดของหลี่ฉางโซ่วตัวแล้วตัวเล่า…
ในยุคก่อนเกิดมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ ดวงดาวของทั้งสามสำนักเปล่งแสงเจิดจ้า และดวงดาวของโลกบรรพกาลก็เต็มไปด้วยสุดยอดผู้แกร่งกล้าเกรียงไกร
เมื่อไปที่ภูเขาวิญญาณในคราวนี้ สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วประทับใจมากที่สุดนั้น ไม่ใช่เทพธิดาจินหลิงที่มีรูปโฉมงดงามและทรงพลัง หรือศิษย์พี่ใหญ่ทั้งสามที่เผยทักษะการแสดงเหนือสามัญออกมา ไม่ใช่ไท่อี่เจินเหรินผู้เต็มไปด้วยบุคลิกภาพแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญภาษาหยินหยางระดับสี่ แต่กลับเป็น…
………………………………………………………………..