บทที่ 750 อินซวี
บทที่ 750 อินซวี
แม่ชียุงเสนอแนวคิดอื่น “ใช้เลือดของเจ้า!”
นางท่องไปทั่วโลกมาหลายปีแล้ว และนางรู้ว่าสมบัติบางอย่างอาจจะต้องใช้เลือดเพื่อทำปฏิกิริยา
นางไม่กังวลว่าแผ่นศิลานี้จะถือว่าซูอันเป็นเจ้าของหลังจากที่หยดเลือดใส่เข้าไปหรือไม่ นางมีผู้หญิงหน้าอกใหญ่คนนี้เป็นตัวประกัน และนางมั่นใจว่าตัวเองสามารถเอาชนะซูอันได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เนื่องจากช่องว่างของระดับการบ่มเพาะ
แม้จะเป็นเรื่องยากมากในการถ่ายโอนความเป็นเจ้าของของสมบัติที่จดจำนายของมันผ่านหยดเลือด แต่มันจะเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปเมื่อเจ้าของเดิมตายลง
นางจะกำจัดเขาเมื่อได้รับวิชาวัฏจักรหงส์อมตะอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่แตกต่างอะไรเลยหากจะให้ซูอันได้ครอบครองแผ่นศิลานี้สักระยะเวลาหนึ่ง
ซูอันไม่ได้ปฏิเสธคำขอของนาง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เขาสะบัดเลือดหยดหนึ่งไปที่แผ่นศิลา เลือดหายไปหลังจากสัมผัสกับม่านพลังโปร่งใส แต่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
“น้อยเกินไป” แม่ชียุงเอ่ยขึ้น “ใช้เลือดมากกว่านี้!”
“ข้าเหลือเลือดไม่มากแล้ว แต่ก็ขอบใจที่เตือน!” ซูอันประชดด้วยความโกรธ ก่อนจะใช้ฝ่ามือของตนเองลูบไล้ไปตามร่างกายจนทั้งมือเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นเขาเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อสัมผัสม่านพลัง
ม่านพลังดูเหมือนจะสามารถชำระล้างตัวเองได้ แม้มือของเขาจะทิ้งรอยเลือดสีแดงไว้ แต่เลือดสีแดงฉานก็หายไปอย่างรวดเร็ว และม่านพลังก็กลับไปโปร่งใสดังเดิม
“มันดูดซับหรือไม่…?” แม่ชียุงสับสน นางผลักเพ่ยเหมียนหมานไปข้างหน้า “เจ้าลองไปจับมันบ้าง!”
เพ่ยเหมียนหมานกังวล เมื่อนางเดินไปถึงด้านข้างของซูอันนางพูดผ่านกระแสพลังชี่ว่า “อาซูเราจะทำยังไงกันดี?”
สีหน้าของซูอันเปลี่ยนเป็นมีเลศนัย “อย่าแตกตื่นไป ข้าคิดว่าโชคของเรากำลังจะเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยน?” เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกสับสน นางมองไม่เห็นว่าสิ่งต่าง ๆ จะดีขึ้นได้อย่างไร นี่ซูอันกำลังฝากความหวังทั้งหมดไว้กับคนอื่น ๆ ให้มาทันเวลางั้นเหรอ?
“พวกเจ้าสองคนกำลังบ่นพึมพำอะไรกันอยู่? เร็วเข้าลองดู!” แม่ชียุงตะโกน นางไม่กล้ายืนใกล้เกินไปเพราะกลัวว่าแผ่นศิลาจะมีกลไกป้องกันอย่างอื่นอีก อย่างไรก็ตาม นางยังคงอยู่ใกล้พอที่จะโต้ตอบได้ทันเวลาหากมีอะไรเกิดขึ้น
เพ่ยเหมียนหมานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำในสิ่งที่ซูอันทำก่อนหน้านี้ ในตอนแรกม่านพลังยังคงไม่บุบสลาย และไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางเช็ดเลือดจากบาดแผลของนางและพยายามเป็นครั้งสุดท้าย แผ่นศิลานั้นก็สั่นสะท้าน อักขระทั้งสองบนแผ่นศิลาสีดำสนิทสว่างไสวด้วยแสงสีทอง คล้ายว่าขณะนี้อักขระทั้งสองถูกปลุกให้กลับมามีชีวิตขึ้น!
เมื่อเห็นดังนั้น แม่ชียุงจึงรีบเร่งเข้ามาดู น่าเสียดายที่นอกเหนือจากแสงสีทองที่หลั่งไหลออกมาจากอักขระทั้งสองแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ม่านพลังยังคงอยู่ที่นั่น และพวกเขาก็ยังแตะต้องแผ่นศิลาไม่ได้
“ดูเหมือนว่ากุญแจจะขึ้นอยู่กับอักขระทั้งสองนี้” แม่ชียุงกล่าว “พวกเจ้าสองคนรู้จักมันไหม?”
ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานต่างก็ส่ายหัว “ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
แม่ชียุงแค่ลองถาม แม้แต่นางผู้มีประสบการณ์เคยเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมายยังไม่เคยพบอักขระแบบนี้มาก่อน มันก็ไม่มีทางเลยที่เด็กเหล่านี้จะเคยเห็นได้
นางตกอยู่ในห้วงความคิดลึก ๆ “ผนึกนี้น่าจะต้องการเลือดของผู้หญิงเพื่อกระตุ้นหรือต้องใช้เลือดของทั้งชายและหญิงเพื่อเปิดใช้งานร่วมกัน…?”
ขณะที่นางยังคงไตร่ตรองปัญหานี้ ซูอันก็คว้าเพ่ยเหมียนหมานให้มองดูอักชระแปลก ๆ ทั้งสองบนแผ่นศิลาแล้วพูดว่า “อิน…ซวี!”
อันที่จริงซูอันรู้จักอักขระแปลก ๆ นี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพราะมันคือตัวอักษรจีนโบราณจากโลกที่แล้วของเขา!
และไอ้แผ่นศิลานี้มันคือแผ่นศิลาจารึก!
ภาษาเขียนมีอยู่แล้วในสมัยราชวงศ์ซางซึ่งเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน อักขระเหล่านี้มักถูกแกะสลักไว้บนกระดองเต่าและกระดูก เพื่อนำไปใช้ในการบูชายัญ นี่คือเหตุผลที่พวกมันถูกเรียกว่าแผ่นศิลาจารึก
แม้ว่าประเทศจีนสมัยใหม่จะถอดรหัสอักขระเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้แล้ว แต่อักขระเหล่านี้ก็ใช่ว่าคนทั่วไปจะรู้จักมัน พูดง่าย ๆ ก็คือคนส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้จักอักขระเหล่านี้
ซูอันจำได้เพราะเขาเคยดูสารคดีเกี่ยวกับโบราณคดีเมื่อชีวิตที่แล้ว ชื่อเรื่องของสารคดีนั้นคือ ‘อินซวี ซากปรักหักพังแห่งอินซาง’
ราชวงศ์ซางได้ย้ายเมืองหลวงหลายครั้ง เมืองหลวงแห่งนี้ถูกขุดขึ้นในเวลาต่อมา แต่หลังจากการกัดเซาะนับพันปี เมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในอดีตก็ถูกลดขนาดลงเหลือเพียงซากปรักหักพังที่ถูกฝังไว้
นั่นคือเหตุผลที่ซากเหล่านั้นถูกเรียกว่า อินซวี
ซูอันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเห็นตัวอักษรจีนเก่าแก่ในโลกที่แปลกประหลาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นผ่านบทพยากรณ์ของราชวงศ์ซาง
‘อินซวี’ ควรจะเป็นคำที่คนรุ่นหลังใช้เมื่อพูดถึงราชวงศ์ซาง ไม่น่าจะมีเหตุผลใดที่คนในราชวงศ์ซางจะใช้คำนี้
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องทั้งหมดนี้ เมื่อเขาได้ยินแม่ชียุงบอกว่ากุญแจของความลึกลับแห่งแผ่นศิลาจารึกอยู่ในอักขระสองตัวนี้ และเห็นว่าผนึกถูกกระตุ้นอย่างชัดเจนก่อนหน้านี้อย่างไร เขาต้องลองมันดู
แผ่นศิลาสีดำสั่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเขา อักขระทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหว และจากนั้นพวกมันก็เริ่มหมุนวนไปรอบ ๆ และจู่ ๆ แผ่นศิลาก็กลายเป็นประตูมิติขนาดเท่าความสูงของมนุษย์โดยเฉลี่ย ขอบเป็นสีทอง ส่วนด้านในเป็นสีดำ
ซูอันไม่รู้สึกแปลกกับประตูมิตินี้ที่บังเกิดขึ้น เขาเคยเห็นอะไรที่คล้ายกันในหนังแนวไซไฟของโลกที่ผ่านมาของเขา และทางเข้ามิติลับหยกจรัส ก็เป็นประตูมิติที่คล้ายกัน แม้ว่าประตูมิตินี้จะมีขนาดเล็กกว่ามาก
เขาจับมือเพ่ยเหมียนหมานแน่นแล้วกระโดดตรงเข้าไปโดยไม่ลังเล
“ไอ้หนู!” แม่ชียุงกำลังครุ่นคิด ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ทัน ศิลาได้รับการปกป้องจากม่านพลังเมื่อไม่นานนี้ และประตูมิติก็ก่อตัวขึ้นเกือบจะในทันที ดังนั้นนางจึงไม่มีโอกาสที่จะหยุดทุกอย่างได้ทันเวลา
นางเอื้อมมือออกไปหาทั้งสองคน แต่ก็คว้าได้เพียงแค่ขากางเกงของซูอัน แต่ซูอันนั้นเตรียมพร้อมอยู่แล้ว กระบี่ยาวของเขาตัดขากางเกงส่วนนั้นออกในทันที
แม่ชียุงถูกทิ้งให้ถือผ้าชิ้นหนึ่ง และเมื่อร่างของซูอันและเพ่ยเหมียนหมานผ่านประตูมิติเข้าไป ประตูมิติก็หดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่าชาม ป้องกันไม่ให้ใครคนอื่น ๆ เข้าไปอีก
นางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น นางเคยเห็นมิติลับมาก่อน แต่นางไม่เคยเห็นมิติลับที่เปิดให้เข้าแค่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้
ไม่มีทางที่นางจะยืนเฉย ๆ ให้โอกาสอันดีงามนี้เล็ดลอดผ่านอุ้งมือของนางไปได้ มันไม่ใช่หลังจากที่นางยอมทุ่มเทหลายอย่างไปมากมาย นางไม่มีวันยอมรับได้!
นางเปลี่ยนร่างกลายเป็นยุงสีดำและตามพวกเขาเข้าไปทันทีก่อนที่ประตูมิติจะปิดลง!