หลิงตวนฟื้นขึ้นมาจากอาการหมดสติก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างเจ็บปวดยิ่งจนต้องครวญครางออกมาอย่างห้ามมิได้ การหลบหนีหลายวันที่ผ่านมาผลาญเรี่ยวแรงและพลังใจของเขาไปจนหมดสิ้น เมื่อมองเห็นร้านตรงชายป่าร้านนั้น หลิงตวนพลันรู้สึกว่าความยากลำบากทั้งมวลบังเกิดผล เพิ่งก้าวเข้ามาในประตูร้านก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป สลบฟุบลงกับพื้น
เวลานี้เมื่อสัมผัสได้ว่าตนรอดชีวิตมาแล้ว หัวใจของหลิงตวนก็ดีใจเจียนคลั่ง เขาขยับตัว ทันใดนั้นด้านข้างก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น “อย่าเกียจคร้าน ลุกขึ้นมา ข้าจะช่วยเจ้าโคจรลมปราณ”
หลังจากนั้นยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งก็ถูกยัดเข้ามาในปาก พริบตาก็กลายเป็นกระแสเย็นเฉียบขมปร่า หลิงตวนตกใจ แต่เมื่อมือข้างหนึ่งแนบลงบนแผ่นหลังของเขา ลมปราณของเขาก็เริ่มโคจรโดยที่เขาควบคุมไม่ได้
หลิงตวนสงบจิตใจ คาดว่าคนผู้นี้คงเป็นมิตรมิใช่ศัตรูจึงตั้งใจโคจรลมปราณ เริ่มแรกคนผู้นั้นปล่อยให้หลิงตวนโคจรลมปราณด้วยตนเอง แต่เมื่อผ่านไปสองสามรอบ จู่ๆ คนผู้นั้นก็ใช้ลมปราณบังคับให้หลิงตวนเปลี่ยนเส้นทางโคจรลมปราณ หลิงตวนใจอยากจะฝืนต่อต้าน แต่กลับบังคับพลังภายในไม่ได้ เส้นทางการโคจรลมปราณใหม่นั่นประหนึ่งเป็นเส้นทางที่ลมปราณสมควรเคลื่อนไปตั้งแต่แรก หลิงตวนค่อยๆ เข้าสู่สภาวะหลงลืมตัวตน มิทราบผ่านไปนานเท่าใด หลิงตวนจึงฟื้นสติขึ้นมาช้าๆ รู้สึกว่าสี่แขนขาร้อยกระดูกลมปราณไหลคล่อง เขาหยุดโคจรลมปราณ จากนั้นก็เห็นบุรุษสวมอาภรณ์ธรรมดาคนหนึ่งกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก
หลิงตวนก้าวเข้าไปคุกเข่าคารวะเอ่ยว่า “ศิษย์คารวะผู้อาวุโส ผู้อาวุโสคงจะเป็นยอดฝีมือแห่งพรรคมาร”
คนผู้นั้นมิได้หันกลับมา เพียงถามเสียงนิ่งว่า “เจ้ารู้หรือว่าข้าเป็นคนของพรรคมาร”
หลิงตวนตอบอย่างระมัดระวัง “ศิษย์เคยได้ยินท่านแม่ทัพเล่าว่าท่านร่ำเรียนวรยุทธ์จากพรรคมาร ผู้อาวุโสรู้จักเคล็ดวิชาพลังภายในของศิษย์เป็นอย่างดี ดังนั้นศิษย์จึงบังอาจคาดเดา หากผิดพลาด ขอผู้อาวุโสโปรดอย่าได้ถือโทษ”
คนผู้นั้นหัวเราะ “ช่างฉลาดนักนะ ข้าคือชิวอวี้เฟย ศิษย์สายตรงของประมุขพรรคมาร ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะจำข้าได้” กล่าวจบ คนผู้นั้นก็หันกายกลับมา หลิงตวนตะลึงงัน
“คุณชายเกา ท่าน ท่าน เป็นไปได้อย่างไร…” กล่าวยังไม่ทันจบ หลิงตวนก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุในเรื่องนี้ เขาถามอย่างตกตะลึง “ผู้อาวุโสสังหารเจียงเจ๋อแล้วหรือ”
ชิวอวี้เฟยถอนหายใจ “อย่ากล่าวถึงเลย รอดกลับมาได้ก็โชคดีแล้ว เจ้าหนีกลับมายังเป่ยฮั่นได้คงมิง่าย หลังจากวันนี้มีแผนการเช่นไร”
หลิงตวนเผยสีหน้าเสียดายออกมา แต่แล้วเขาก็มองชิวอวี้เฟยอย่างระมัดระวังอีกครั้ง กังวลว่าเขาจะเข้าใจผิดว่าตนเจตนาจะเยาะหยัน เมื่อเห็นสีหน้าของชิวอวี้เฟยไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใดจึงกล่าวว่า “ศิษย์ก็มิทราบ เดิมทีศิษย์สมควรกลับไปยังค่ายทัพ แต่ในใจศิษย์ทุกข์ทนนัก เรื่องที่กองทัพของแม่ทัพถานตายตกทั้งกองทัพครั้งนี้ ศิษย์แคลงใจว่ามีคนเป่ยฮั่นคอยช่วยเหลือ ดังนั้นศิษย์คิดจะลอบตรวจสอบให้กระจ่าง
ยิ่งไปกว่านั้น จากคนนับหมื่นมีศิษย์รอดกลับมาได้เพียงลำพัง ศิษย์กังวงลใจอยู่ว่าจะถูกผู้คนสงสัย ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นนี้ ศิษย์ไม่ต้องการตายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก” กล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เจือสะอื้น คิดถึงหลี่หู่ที่ถูกสังหารอย่างไร้สาเหตุ เขาก็โศกเศร้าขึ้นในจิต
ชิวอวี้เฟยตบไหล่หลิงตวนแผ่วเบา เขาเข้าใจความวิตกของหลิงตวน แล้วก็ทราบว่าภายในกองทัพเป่ยฮั่นมีเรื่องน่ากังวลซ่อนอยู่ แต่ชิวอวี้เฟยเดิมทีเป็นคนแปลกแยกในพรรคมาร ตัวเขามีทั้งเคล็ดวิชาของนิกายสุริยาและนิกายจันทรา แต่กลับมิชอบสงครามและการฆ่าฟัน อีกทั้งไม่ชอบเล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย นอกจากดนตรีแล้ว เขาก็มิชมชอบสิ่งอื่นอีก เขาจึงไม่ต้องการข้องเกี่ยวในเรื่องนี้มากนัก
เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด ตามข้ากลับไปพบศิษย์พี่ใหญ่ของข้า หากเจ้ามีโชควาสนามากพอ ศิษย์พี่อาจรับเจ้าเป็นศิษย์ ต่อให้ศิษย์พี่คิดว่าพรสวรรค์ของเจ้าไม่เพียงพอ เห็นแก่หน้าข้า จะกลายเป็นศิษย์แต่ในนามสักคนก็มิใช่ปัญหา ถึงเวลาผู้ใดยังจะกล้ากล่าวโทษเจ้าอีก”
หลิงตวนยินดียิ่งนัก ก้มคารวะอีกครั้ง “ศิษย์โขกศีรษะขอบคุณพระคุณของผู้อาวุโส หากเป็นเช่นนี้ได้ ศิษย์ก็โชคดียิ่งนัก”
ชิวอวี้เฟยยิ้มละไม เอ่ยว่า “เอาละ เจ้าไปกินอะไรสักหน่อย พักอีกสักวัน วันพรุ่งนี้ออกเดินทางพร้อมกับข้า มีเรื่องบางอย่างต้องอธิบายให้แม่ทัพหลงเข้าใจ ข้าทราบมาไม่มาก รู้สึกเพียงว่าต้ายงเหมือนกำลังดำเนินแผนลับบางอย่าง เรื่องเหล่านี้พวกศิษย์พี่เซียวจะชำนาญมากกว่า ข้าคร้านจะเข้าไปยุ่ง อีกอย่างหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโส ข้าเป็นลำดับสี่ในหมู่ศิษย์ของอาจารย์ เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายสี่ หรือท่านสี่ก็พอ”
หลิงตวนหวาดหวั่นในใจ เขาทราบว่าเซียวถงรับผิดชอบการสอดแนมข่าวให้กองทัพ และความจริงยังรับผิดชอบจับตาดูแม่ทัพและนายทหารในกองทัพด้วย ยามปกติเห็นเซียวถงแต่ไกลเขาก็จะหลบเลี่ยง แต่ครั้งนี้ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ในหัวใจจึงหวาดกลัวขึ้นมาอย่างห้ามมิได้
ชิวอวี้เฟยกลับมิได้สนใจจุดนี้ สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน ความรุ่งเรืองร่วงโรยของเป่ยฮั่นเกี่ยวพันกับเกียรติยศและความล่มจมของพรรคมาร แม้เขาไม่ยินดีข้องเกี่ยวกับการศึกและการเมือง แต่จะไม่ห่วงเภทภัยที่กล้ำกรายรังนอนได้อย่างไร
วันต่อมา ชิวอวี้เฟยพาหลิงตวนลงจากเขาตามหาจุดเฝ้าสังเกตการณ์จนพบ แล้วขอยืมอาชาเร่งรีบเดินทางไปยังชิ่นโจว ระหว่างทางอาชาควบทะยานไม่หยุดพัก สองวันต่อมา ทั้งสองคนก็มาถึงชิ่นโจวในที่สุด ยังเหลือระยะทางอีกยี่สิบลี้ ชิวอวี้เฟยเห็นหลิงตวนเหนื่อยล้าเล็กน้อยจึงเรียกให้เขาลงจากม้าเข้าไปพักที่ร้านเล็กๆ ริมทางแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนต่างมีเรื่องกลัดกลุ้มใจจึงกินอาหารอย่างเชื่องช้า มิเอ่ยวาจากันสักคำ
ทันใดนั้น ด้านนอกพลันมีเสียงอาชาห้อตะบึงกับเสียงล้อรถม้าดังกุกกัก ชิวอวี้เฟยไม่สนใจ แต่หลิงตวนฟังออกว่าเป็นเสียงเคลื่อนทัพของทหารม้าที่ฝึกฝนมาอย่างดี จึงอดเดินออกไปมองนอกประตูร้านมิได้ แล้วเขาก็เห็นทหารม้ากองหนึ่งคุมรถม้าขังนักโทษคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล ด้านในกรงขังมีบุรุษวัยกลางคนหน้าตาสุขุม ใบหน้าเรียวยาวนั่งอยู่คนหนึ่ง แม้บนร่างจะใส่เครื่องจองจำ แต่สีหน้าท่าทางกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ทันทีที่หลิงตวนเห็นก็ตกใจมิใช่น้อย เขาหันหลังกลับกระโจนไปตรงหน้าชิวอวี้เฟย “ท่านสี่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดแม่ทัพต้วนจึงถูกคนจองจำอยู่ในรถขนนักโทษได้”
ชิวอวี้เฟยขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัย “แม่ทัพต้วน เจ้าหมายถึงแม่ทัพต้วนที่ข้ารู้จักผู้นั้นหรือ”
หลิงตวนพยักหน้า “ถูกแล้ว แม่ทัพต้วนอู๋ตี๋ เขาทำผิดกฎกองทัพหรือ มิเช่นนั้นเหตุใดจึงถูกคุมตัวได้ ข้าเห็นว่าผู้ที่คุมตัวแม่ทัพต้วนคือสือจวิน รองแม่ทัพของแม่ทัพสือ ท่านสี่ แม่ทัพต้วนเป็นที่เคารพรักของพวกเรามาตลอด นิสัยก็เป็นคนเคร่งครัดยิ่งนัก เหตุใดทำผิดกฎกองทัพได้เล่า อีกประการ ต่อให้แม่ทัพต้วนทำผิดกฎประการใด แม่ทัพหลงคงมิหยามหมิ่นเขาเช่นนี้กระมัง”
ชิวอวี้เฟยก็นึกสงสัยอยู่เช่นกัน แต่ตามกฎของพรรคมาร พวกเขามิมีหน้าที่ในกองทัพและมิอาจเข้าไปยุ่งกับกิจของกองทัพโดยตรงได้ แต่ความสงสัยในหัวใจก็ยากจะระงับ จึงคิดในใจว่า หากข้าแอบถามสักหน่อยก็คงมิเป็นอันใดกระมัง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชิวอวี้เฟยก็ออกจากร้าน ยามนี้ทหารม้ากองนั้นเดินทางมาใกล้แล้ว ชิวอวี้เฟยจึงขวางทางของพวกเขาแล้วถามเสียงเย็นชา “ผู้ใดเป็นคนรับผิดชอบ ออกมาสนทนากันสักหน่อย”
ทหารม้าเหล่านั้นรั้งอาชาศึกให้หยุด จากนั้นคุ้มกันรถขนนักโทษไว้ตรงกลาง แม่ทัพไว้หนวดเคราคนหนึ่งผละออกมาจากขบวน สายตากวาดมองบนร่างชิวอวี้เฟยจนรอบก็นึกไม่ออกว่าคนผู้นี้คือผู้ใด จึงเอ่ยเสียงดังว่า “เจ้าเป็นคุณชายสำอางจากที่ใด กล้ามาขวางภารกิจกองทัพของข้า หากไม่รีบหลบไปอีก ข้าจะจับเจ้าข้อหาคิดฉกชิงนักโทษ”
สีหน้าชิวอวี้เฟยเย็นยะเยือก ร่างกายขยับวูบหนึ่ง แม่ทัพผู้นั้นพลันรู้สึกตาลาย จากนั้นก็ถูกตบบ้องหูอย่างหนักหน่วงสองหน เขาอับอายและโกรธเกรี้ยว “พี่น้องทั้งหลาย บุก สับศพเขาให้เป็นหมื่นท่อน”
ดวงตาของชิวอวี้เฟยเผยจิตสังหาร เอ่ยอย่างเย็นชา “พวกเจ้ากล้าลงมือหรือ”
แม่ทัพผู้นั้นหัวเราะลั่น “ข้าสือจวินกล่าวแล้วมิคืนคำ ในเมื่อข้ามิรู้จักเจ้า แล้วเจ้ายังกล้ามาขวางทาง แปดเก้าในสิบส่วนก็คงเป็นคนรู้จักของต้วนอู๋ตี๋ หากเจ้าคิดปล้นนักโทษก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง พิสูจน์ได้พอดีว่าต้วนผู๋ตี๋มีความผิด”
ชิวอวี้เฟยสีหน้าเย็นยะเยือกมากกว่าเดิม การสังหารพลทหารไม่กี่นาย สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าขณะที่เขากำลังจะลงมือ บุรุษวัยกลางคนในกรงขังก็ตะเบ็งเสียงเอ่ยว่า “สือจวินหยุดมือ เจ้ามิเห็นหรือว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด คุณชายสี่ ข้าถูกพันธนาการเป็นนักโทษ มิอาจคารวะ ขอคุณชายโปรดอภัยด้วย”
ชิวอวี้เฟยมองบุรุษวัยกลางคนแล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉย “แม่ทัพต้วน มิพบหน้าสองปี ท่านซูบผอมลงมาก”
บุรุษวัยกลางคนยิ้มขมขื่น “คุณชายสี่ ข้าเหน็ดเหนื่อยตรากตรำอยู่ทุกวัน จะมิซูบผอมได้อย่างไร วันนี้ข้ามีภัยมาถึงตัว หากคุณชายช่วยขอความเมตตาจากแม่ทัพใหญ่แทนข้า อู๋ตี๋จะซาบซึ้งยิ่งนัก”
ชิวอวี้เฟยอยู่เจ๋อโจวมาหลายวัน ยามเขาเห็นท่าทีผ่อนคลายมั่นอกมั่นใจกับท่าทางฮึกเหิมประหนึ่งรบศึกใดมิมีวันแพ้ของกองทัพต้ายง ในใจก็รู้สึกอยู่เลือนรางว่าแม้กองทัพเป่ยฮั่นจะมีกำลังมิด้อยกว่า แต่กลับขาดความฮึกเหิมอยู่บ้าง สิ่งที่มีอยู่มากกลับเป็นความโศกเศร้าคับแค้น
คิดไม่ถึงเพิ่งกลับมาถึงชิ่นโจว กลับได้เห็นแม่ทัพคนดังอันดับต้นๆ ของกองทัพเป่ยฮั่นถูกหยามเหยียดเช่นนี้ เพลิงโทสะของเขาลุกโชติช่วงขณะที่ความทดท้อหดหู่เข้ามาแทรก เขาทอดสายตามองท้องนภายามตะวันใกล้พลบ หัวใจพลันเกิดลางสังหรณ์ร้าย หรือว่าสถานการณ์จะมิอาจกอบกู้กลับคืนมาได้แล้วจริงๆ