เปลวเทียนสีแดงส่ายไหว นอกกระโจมหิมะโปรยปรายทั่วท้องฟ้า ภายในกระโจมกลับอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ข้าห่มเสื้อตัวยาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะ มองดูแผนที่บนนั้น ในใจลังเลยากจะตัดสินใจด้วยมิทราบว่าหลิงตวนกับชิวอวี้เฟยจะกลับไปถึงเป่ยฮั่นได้หรือไม่ แม้ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นผู้ทรหดอดทน อีกทั้งข้าก็เจตนาปล่อยไป แต่เรื่องราวบนโลกล้วนเป็นอนิจจัง หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งกลับไปมิถึง ข้าก็เปลืองแรงคิดเสียเปล่าแล้ว
ไส้โคมลุกไหม้ส่องสว่าง ปลุกข้าให้ตื่นจากห้วงภวังค์ ข้าหลุดยิ้มออกมาทันใด แผนการฝั่งนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งนัก ต่อให้ชิวอวี้เฟยกับหลิงตวนไม่รอดกลับไป อย่างมากที่สุดผลลัพธ์ก็ด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น สิบกว่าวันก่อนข้าออกคำสั่งให้สายลับของต้ายงในเป่ยฮั่นปลุกปั่นให้สืออิงกับต้วนอู๋ตี๋มิลงรอยกัน ตอนนี้คาดว่าสืออิงคงฟ้องความผิดของต้วนอู๋ตี๋กับหลงถิงเฟยแล้วกระมัง
ข้าอ่านรายงานเกี่ยวกับสืออิงมาแล้ว นอกจากการทำศึก ความจริงเขาเป็นผู้ไม่เข้าใจโลกอย่างยิ่งคนหนึ่ง หากมิใช่เพราะหลงถิงเฟยให้ความสำคัญและคอยปกป้อง เกรงว่าเขาไม่ตายนอกสนามรบ ก็คงถูกผู้อื่นทอดทิ้งไว้บนสนามรบ มีแต่เขาเท่านั้นที่จะทะเลาะกับต้วนอู๋ตี๋ แม่ทัพคนสนิทอีกคนของหลงถิงเฟยอย่างง่ายดายเช่นนี้
ทันใดนั้นข้าก็เกิดความคิดประหลาด หากเรื่องราวไม่ดำเนินไปตามแผนการของข้า หลงถิงเฟยเชื่อใจสืออิงมากเกินไป ส่วนชิวอวี้เฟยกับหลิงตวนก็นำข่าวที่ไม่ส่งผลดีต่อสืออิงกลับไปไม่สำเร็จ ต้วนอู๋ตี๋ผู้สุขุมหนักแน่นที่สุดในหมู่แม่ทัพใต้บัญชาของหลงถิงเฟยจะกลายเป็นเครื่องสังเวยหรือไม่
หากเป็นไปดังนั้นย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด แต่ข้ามิกล้าเพ้อฝันเช่นนั้น ต้วนอู๋ตี๋ทำศึกอย่างรอบคอบเคร่งครัดแทบมิเคยผิดพลาด คนเช่นนี้ยากนักจะใส่ร้ายเขาให้ถึงโทษตาย ข้ามิละโมบ อีกประการหนึ่ งหากเหลือต้วนอู๋ตี๋ไว้ก็มีข้อดีอยู่ ข้ามิต้องการให้กองทัพเป่ยฮั่นสูญเสียขวัญกำลังใจ มีแม่ทัพผู้นำทัพป้องกันได้โดดเด่นเช่นนี้คนหนึ่งอยู่ ย่อมเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งให้กองทัพเป่ยฮั่นกล้ารบอย่างห้าวหาญ
ความเป็นไปได้ที่อาจผิดจากการคาดการณ์ของข้ามากที่สุดก็คือสืออิงหนีพ้นคราวเคราะห์ แต่ช่วงเวลาเท่านี้เพียงพอจะสร้างความบาดหมางระหว่างแม่ทัพกับเขย่าขวัญกำลังใจทหารให้สั่นคลอนแล้ว หากให้กล่าวจากใจจริงสักประโยค อาศัยเพียงข้อได้เปรียบด้านกำลังทหาร แผนการของข้าก็เป็นเพียงการลดทอนความเสียหายของกองทัพฝั่งเราให้น้อยที่สุดเท่านั้น
ด้วยทักษะการบัญชาทหารของฉีอ๋องกับสถานการณ์ที่เสียเปรียบกว่าของกองทัพเป่ยฮั่น การจะรบชนะเป่ยฮั่นก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น เพียงแต่ว่าหากเสียหายหนักหนาเกินไป การรุกคืบรวบรวมใต้หล้าของต้ายงก็จะช้าลงมาก สิ่งสำคัญกว่าก็คือหากสงครามครั้งนี้ยาวนานหลายปี ข้าจะได้กลับบ้านเมื่อใดกันเล่า
ข้ารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย จึงยืดกายบิดขี้เกียจ เตรียมจะล้มตัวบนเตียงพักผ่อน เวลานี้เอง ฮูเหยียนโซ่วก็รายงานดังมาจากด้านนอก “ใต้เท้า มีคนส่งสารเดินทางมาจากเมืองหลวง องค์หญิงเป็นผู้ส่งมา ใต้เท้าจะพบหรือไม่”
ข้านึกประหลาดใจ เหตุใดฉางเล่อจึงส่งคนส่งสารมาเล่า จดหมายของนางล้วนส่งผ่านมากับศาลาพักม้า ต่อให้มีเรื่องที่ค่อนข้างเป็นความลับบางอย่างก็มักจะใช้ช่องทางส่งข่าวของกองทัพส่งมา หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดทำให้ฉางเล่อต้องส่งคนส่งสารมา
น่าจะไม่กระมัง แม้หนานฉู่จะเคลื่อนไหวผิดปกติ ตงชวนก็ไม่มั่นคง แต่ในราชสำนักมีคนมากความสามารถมากมาย แม้ชิ่งอ๋องจะไม่เชื่อง แต่ก็น่าจะไม่ต่อต้านนครหลวงต้ายงอย่างโจ่งแจ้งในเวลานี้ ข้าจึงมิได้เก็บเรื่องราวเหล่านั้นมาใส่ใจ ถึงอย่างไรศัตรูที่ข้าเผชิญหน้าอยู่ในยามนี้ก็คือเป่ยฮั่น หากจักรพรรดิคุมการสถานการณ์เพียงเท่านี้มิอยู่ก็ถูกเรียกขานว่าจักรพรรดิผู้ปรีชาเสียเปล่าแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรข้าก็รีบเรียกคนส่งสารเข้ามา ประตูกระโจมเปิดออก ลมหนาวลอดเข้ามา ข้าตัวสั่น ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวกระจ่างเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ต่งเชวียเป็นผู้มาด้วยตนเอง ในใจข้ายิ่งกังวล ต่งเชวียเป็นผู้ช่วยมากฝีมือที่ข้าทิ้งไว้ข้างกายฉางเล่อ ฉางเล่อสูงศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง ยามนี้อาศัยอยู่ในจวนด้านนอก หากไม่มีคนเช่นต่งเชวียคอยทำตามคำสั่งย่อมมีข้อไม่สะดวกหลายประการ เขาเดินทางมาด้วยตนเองถึงที่แห่งนี้ ย่อมต้องเกิดเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำอาจเป็นเรื่องของพวกเราเอง
ต่งเชวียก้าวเข้ามาคำนับ ข้ามองฮูเหยียนโซ่วที่อยู่ด้านหลังไวๆ ครั้งหนึ่ง ฮูเหยียนโซ่วพลันถอยออกไปอย่างรู้จักสถานการณ์ แม้เขารับผิดชอบหน้าที่เฝ้าจับตาดู แต่ก็ทราบว่ามีบางเรื่องดีที่สุดอย่าเข้าไปสอดส่อง ขณะที่เขากำลังจะถอยออกจากกระโจม ข้าก็เอ่ยอย่างเหนื่อยล้าว่า “เจ้าไปเรียกเสี่ยวซุ่นจื่อมาที” ฮูเหยียนโซ่วรีบขานรับ แต่สีหน้ากังวลเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศประหลาดของเรื่องนี้
ต่งเชวียเห็นฮูเหยียนโซ่วออกไปแล้วจึงก้มลงคำนับ กล่าวว่า “ผู้น้อยได้รับข่าวลับจากทางตงชวน เรื่องด่วนสำคัญ มิอาจไม่มาแจ้งคุณชาย”
ข้าโบกมือกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี รอเสี่ยวซุ่นจื่อมาแล้วค่อยพูด เจ้าจะได้มิต้องพูดสองรอบ องค์หญิงทราบเรื่องนี้หรือไม่”
ต่งเชวียตอบว่า “องค์หญิงมิได้ถามไถ่ แต่สั่งให้ผู้น้อยนำจดหมายของที่บ้านมาด้วย” กล่าวพลางส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้
ข้าฉวยโอกาสที่เสี่ยวซุ่นจื่อยังมาไม่ถึงคลี่จดหมายออก ฉางเล่อไม่ทราบเรื่องหอกลไกสวรรค์กับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วและไม่เคยถามถึงบุคคลลึกลับเหล่านี้ข้างกายข้า ดังนั้นในจดหมายจึงไม่มีเรื่องพิเศษอื่นใด เพียงเล่าว่าฮั่วฉงการเรียนก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งนัก โหรวหลันก็เรียนหนังสือกับเขาด้วย ไม่รักเล่นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว เซิ่นเอ๋อร์ร่าเริงน่ารัก ที่บ้านไม่มีปัญหาประการใด แต่ข้าสัมผัสได้ถึงความกังวลจางๆ ที่แฝงอยู่ในถ้อยคำ ถึงอย่างไรเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี แม้บางเรื่องมิได้พูด แต่การที่ต้องให้ต่งเชวียมาพบข้าด้วยตนเอง องค์หญิงเองก็คงทราบว่าเกิดเรื่องไม่ค่อยดีขึ้น
ข้าอ่านจดหมายจบ หัวใจก็สงบลง มิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น กังวลไปก็มิมีประโยชน์อันใด ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวซุ่นจื่อก็เปิดม่านเข้ามา แม้ข้าจะเจตนาปล่อยให้การลอบสังหารของชิวอวี้เฟยเมื่อหลายวันก่อน เกิดขึ้น แต่เสี่ยวซุ่นจื่อก็ยังไม่พอใจการรับมือของยอดฝีมือชั้นเลิศของราชองครักษ์หู่จีอย่างมาก ดังนั้นหลายวันนี้เมื่อมีเวลาว่างเขาจึงคอยประมือกับองครักษ์หู่จีในพื้นที่ค่ายของพวกเขา แม้แต่ยามดึกก็มักจะฝึกพิเศษให้คนบางกลุ่มอยู่บ่อยครั้ง
ข้าเห็นองครักษ์ข้างกายมักจะจมูกเขียวหน้าบวมก็เห็นใจอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดได้ว่าชิวอวี้เฟยเป็นเพียงศิษย์คนเล็กของประมุขพรรคมาร เหนือจากเขายังมียอดฝีมืออยู่อีก ข้าก็มิพูดอันใดแล้ว เพียงส่งยารักษาอาการบาดเจ็บชั้นดีให้พวกเขา เสี่ยวซุ่นจื่อเดินมาถึงข้างกายข้าก็เหลือบสายตามองต่งเชวียแล้วถามเสียงเย็นชา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ต่งเชวียตอบว่า “ผู้น้อยได้รับสารจากท่านเฉิน ชิ่งอ๋องกำจัดคนที่มิใช่พวกของตนในตงชวนแล้ว นอกจากขุนนางบุ๋นบู๊ที่เอนเอียงเข้าราชสำนัก สายลับของกรมวินิจการณ์ที่อยู่ข้างกายชิ่งอ๋องต่างถูกเปิดโปงตัวตน สิบสี่คนถูกสังหาร สองคนเปลี่ยนฝ่าย มีเพียงคนเดียวที่หนีรอด
ชิ่งอ๋องอ้างว่าตามจับสายลับหนานฉู่ ออกค้นครั้งใหญ่ในตงชวน คนผู้นั้นได้ท่านเฉินช่วยเอาไว้ แต่พวกเรามิเคยทำงานร่วมกับกรมวินิจการณ์ อีกทั้งชิ่งอ๋องปิดกั้นดินแดนเข้มงวดยิ่งนัก ท่านเฉินไม่อยากเสี่ยง จึงได้แต่คุมตัวคนผู้นั้นเอาไว้ คนผู้นั้นไม่ทราบตัวตนของพวกเราจึงมิยอมฝากพวกเราช่วยส่งข่าวแจ้งนครหลวงต้ายง
ยิ่งไปกว่านั้น ระยะนี้ชิ่งอ๋องเข้าหาขุนนางเก่าของแคว้นสู่กับกลุ่มอำนาจที่ต่อต้านมากกว่าเดิม แล้วยังส่งตัวแทนมาเจรจากับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ขอให้พวกเราสวามิภักดิ์ เขารับปากว่าจะสนับสนุนทายาทของสู่อ๋องให้ขึ้นเป็นเจ้าแคว้น ก่อตั้งแคว้นสู่ขึ้นอีกหน”
ข้าขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ครอบครัวของสู่อ๋องมิได้อยู่ที่นครหลวงต้ายงหรือ”
ต่งเชวียส่ายหน้า “คนส่งสารของชิ่งอ๋องแจ้งว่ายามนั้นก่อนเจ้าแคว้นสู่จะยอมสวามิภักดิ์ ฮูหยินจินเหลียนให้นางกำนัลที่ตั้งครรภ์สองคนพกของแทนตัวหนีออกไป หวังจะเหลือสายเลือดของเจ้าแคว้นสู่ไว้ นางกำนัลคนหนึ่งในนั้นต่อมาให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ได้ยินว่าตกมาอยู่ในมือของชิ่งอ๋อง ผู้ส่งสารของชิ่งอ๋องอ้างว่าพวกเขาถือครองของแสดงตัวตนของเจ้าแคว้นสู่อยู่ พิสูจน์ตัวตนของเด็กชายผู้นั้นได้ ผู้ส่งสารของชิ่งอ๋องสัญญาว่าชิ่งอ๋องจะสาบานด้วยโลหิต มิจับจ้องตำแหน่งเจ้าแคว้นสู่เด็ดขาด”
ข้ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แม้ข้าดูแคลนชิ่งอ๋องว่าจิตใจคับแคบ แต่การที่เขาคิดก่อกบฏจริงๆ ก็ทำให้ข้าคิดไม่ถึง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชายแห่งต้ายง ฐานะสูงศักดิ์ ต่อให้คิดก่อกบฏก็สมควรแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งต้ายง คิดไม่ถึงว่าเขากลับหมายไปเป็นขุนนางทรงอำนาจของแคว้นสู่ แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ข้าก็นับถือความแน่วแน่ของเขา เขาคงคิดจะใช้เจ้าแคว้นสู่เป็นหุ่นเชิด หลังจากนั้นร่วมกับหนานฉู่ เป่ยฮั่นโจมตีต้ายงแล้วแบ่งผืนแผ่นดินกัน คนผู้นี้ถึงขนาดยอมตัดใจจากแผ่นดินภาคกลางอันงดงามได้ลง
ข้าถอนหายใจ ในสมองนึกทบทวนข่าวสารเกี่ยวกับชิ่งอ๋องอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเริ่มปรากฏเค้าโครงความเป็นมาเลือนราง ดูท่าชิ่งอ๋องจะมีความคิดนี้มาหลายปีแล้ว เขาเก็บงำได้ดีทีเดียว ก่อนหน้านี้แสร้งทำท่าขอมิอยู่ร่วมฟ้าเดียวกับสำนักเฟิงอี้ หยิบยืมความเห็นใจของอดีตจักรพรรดิกับองค์จักรพรรดิยึดครองตงชวน กุมกำลังทหาร ยามนี้ก็ฉวยโอกาสที่กำลังทั้งหมดของต้ายงบุกโจมตีเป่ยฮั่นลอบก่อกบฏ
ดูท่าสำหรับเขาแล้ว เป็นชินอ๋องของต้ายงจะสู้เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่งมิได้ ความเคียดแค้นที่เขามีต่อต้ายงไม่เพียงไม่เป็นรองสำนักเฟิงอี้ แต่น่ากลัวว่าราชวงศ์ของต้ายงต่างหากที่เป็นศัตรูซึ่งหัวใจเขาเคียดแค้น ในยามนั้นสิ่งที่หลี่หยวนคิดว่าคือการชดเชยให้เขา สำหรับเขากลับเป็นเพียงการหยามหมิ่น เขาจดจำมิมีวันลืมเลือนว่าเชื้อพระวงศ์ต้ายงลงโทษและทอดทิ้งเขาเพื่อสำนักเฟิงอี้
หลายปีที่ผ่านมา เขาปกครองตงชวนเป็นอย่างดี จงใจผูกมิตรกับอดีตขุนนางแคว้นสู่เพื่อวันนี้จะได้ยืมกำลังของคนแคว้นสู่ก่อกบฏ แม้ดูแล้วยามนี้ปีกของเขายังไม่แข็งแรงนัก คงมิก่อกบฏอย่างเปิดเผย แต่หากมีช่องโหว่แม้เพียงนิด เขาคงบุกโจมตีส่วนสำคัญของต้ายงอย่างสายฟ้าแลบ ตำแหน่งที่ตั้งของตงชวนสำคัญเกินไป
ตอนนี้เมื่อคิดดูอีกหน การกระทำอันเหิมเกริมของซือหม่าซิวย่วนในพระราชวังก็น่าจะเกิดจากคำยุยงของเขา เขาใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ซือหม่าซิวย่วนถูกโบยจนตายจุดความไม่พอใจให้ตระกูลใหญ่แห่งแคว้นสู่ เพื่อไว้หน้าชิ่งอ๋อง ยามนี้ฝ่าบาทจึงไม่ประกาศความผิดของซือหม่าซิวย่วนแก่ใต้หล้า เมื่อชิ่งอ๋องยุแยง ความตายของซือหม่าซิวย่วนจึงเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าราชสำนักต้ายงกีดกันคนแคว้นสู่ ชาวแคว้นสู่ผู้สูญเสียขุมกำลังในการต่อต้านไปจึงหันมาพึ่งชิ่งอ๋อง
เมื่อขบคิดเรื่องราวทั้งหมดจนกระจ่างแล้ว ข้าก็อดรู้สึกโชคดีมิได้ที่ยามนั้นให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วตัดความสัมพันธ์กับต้ายง ยามนี้ไม่มีผู้ใดมิทราบว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิวเป็นกองกำลังต่อต้านอันลึกลับของชาวแคว้นสู่ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจงใจให้เฉินเจิ่นรับคนที่มีใจมุ่งมั่นจะฟื้นคืนแว่นแคว้นเหล่านั้นเข้ามาในกลุ่ม ใช้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิวควบคุมพวกเขา อย่างไรก็ย่อมเสียหายน้อยกว่าปล่อยให้พวกเขาเคลื่อนไหวกันเองมากนัก
ข้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “สายลับของกรมวินิจการณ์ในตงชวนถูกชิ่งอ๋องควบคุมไว้หมดแล้วหรือ หากเป็นเช่นนี้ เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็ออกจะไร้ความสามารถเกินไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้น่าจะเหลือไพ่ลับบางอย่างไว้ เขามิใช่ผู้ที่จะเดิมพันหมดหน้าตักกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ชิ่งอ๋องปิดกั้นข่าวสารแน่นหนานัก หากมิใช่ว่ากองกำลังที่กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วควบคุมอยู่เป็นของชาวแคว้นสู่เอง ข่าวนี้คงส่งออกมามิได้แน่ ตอนนี้ราชสำนักก็น่าจะยังมิทราบเรื่องการวางแผนกบฏของชิ่งอ๋องกระมัง”
ต่งเชวียกล่าวว่า “เรื่องนี้พวกเราเองก็มิกระจ่าง พวกเรามิยุ่งเกี่ยวกับกรมวินิจการณ์ แต่ชิ่งอ๋องวางแผนได้ชาญฉลาดจริงแท้ เป็นดั่งเช่นคุณชายกล่าว เขาตัดขาดการติดต่อระหว่างตงชวนกับกวนจง ต่อให้กรมวินิจการณ์ยังมีคนอยู่ก็ส่งข่าวสารกลับไปไม่ได้
พวกเราใช้ช่องทางจากสู่จง ผ่านมาทางหอกลไกสวรรค์ที่หนานฉู่ แล้วจึงส่งข่าวมาถึงนครหลวงของต้ายง นอกจากนี้ ท่านเฉินคาดว่าชิ่งอ๋องน่าจะให้สายลับที่เปลี่ยนฝ่ายส่งข่าวปลอมกลับไปต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่านครหลวงต้ายงยามนี้จะยังมิทราบสถานการณ์ฝั่งตงชวน”
ข้าลุกขึ้นยืน ส่งสัญญาณให้เสี่ยวซุ่นจื่อนำแผนที่ตงชวนออกมา ครุ่นคิดอยู่หลายตลบก็เอ่ยว่า “ชิ่งอ๋องวางแผนก่อกบฏ แต่ตอนนี้ยังมิใช่เวลา ข้าคิดว่าวสันต์ปีหน้ายามพวกเราทำศึกครั้งใหญ่กับเป่ยฮั่นจึงจะเป็นโอกาสดีที่เขาจะโจมตี เรื่องนี้มิอาจแก้ไขได้แล้ว ต่อให้ตอนนี้ราชสำนักทราบก็ไม่มีทางเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้
ต่งเชวีย เจ้าไปพบท่านเฉินด้วยตนเองทันที บอกให้เขาตกลงยอมสวามิภักดิ์ต่อชิ่งอ๋อง ก่อนชิ่งอ๋องก่อกบฏ ข้าอยากให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วกลายเป็นกำลังสนับสนุนกลุ่มใหญ่ที่สุดของชิ่งอ๋อง ในเมื่อสถานการณ์มิอาจเปลี่ยนได้แล้ว พวกเราก็ต้องทำไปตามสถานการณ์ บอกท่านเฉิน แคว้นสู่ล่มสลายลงแล้ว มิอาจให้เกิดใหม่ในมือชิ่งอ๋องได้อีก ข้ามิสนใจว่าเขาจะทำเช่นไร ขอเพียงยามคำสั่งของข้าไปถึง เขาทำให้พรรคพวกของชิ่งอ๋องย่อยยับในคราเดียวได้เป็นพอ”