บทที่ 689 กลับเมืองหลวง

บทที่ 689 กลับเมืองหลวง

เราไม่ได้แค่ดื่มชาที่บ้านจู้จื่อแต่ยังกินข้าวก่อนไปสถานีรถไฟด้วยความไม่เต็มใจของเจ้าของบ้าน ก่อนออกเดินทางเสี่ยวเถียนนำห่อเครื่องปรุงต่าง ๆ มาเตรียมไว้ให้ร้านจู้จื่อสำหรับสองเดือนข้างหน้าด้วย

รถไฟของสองสามีภรรยาเหล่าเอ้อร์เร็วกว่าทุกคนเล็กน้อย คนที่เหลือจึงเฝ้ามองพวกเขาออกเดินทาง แล้วไปตรวจตั๋วบ้าง ส่วนฝ่ายจู้จื่อก็กำลังมาส่งเราเช่นกัน มองดูขบวนรถที่แล่นจากไปไกลด้วยความไม่เต็มใจเท่าไร

“พบกันครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไรเนอะ” ฝ่ายภรรยาเอ่ย

เธอไม่มีแม่สามี คุณย่าซูจึงไม่ได้ต่างจากแม่สามีมากนัก หลายปีที่ผ่านมาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าชี้นำไปทางไหนก็ไปตามนั้น

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็พบกันใหม่ อีกสองปีเราจะมีชีวิตที่สุขสบายขึ้น และได้ไปเติบใหญ่ที่เมืองหลวงนะ!” จู้จื่อยิ้มแล้วจูงมือภรรยากลับบ้าน

เขาไม่กล้าลืมว่าถ้าไม่ได้คนตระกูลซู หลี่จู้จื่อคงไม่มีวันนี้ด้วยซ้ำ บางทีอาจจะเป็นชายโรคเกลื้อนที่ใครต่อใครในหมู่บ้านพากันรังเกียจ!

หลังจากเดินทางมาถึงเมืองหลวง เสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ ได้รับจดหมายเรียกรายงานตัว

เด็กสามคนเรียนคนละมหาลัยฯ!

เรื่องนี้คุณย่าซูบ่นอุบ เพราะอยากให้หลานชายอยู่ช่วยดูแลหลานสาว แต่ใครจะรู้เล่าว่า สองเด็กเหลือขอนั้นจะดันสมัครที่อื่นแต่เรื่องที่คุณย่าซูรักเสี่ยวเถียนมากเป็นเรื่องจริงนะ และก็ไม่อยากให้หลานสาวต้องคับข้องใจเพราะคนอื่นด้วย แค่พูดไม่กี่คำก็จบแล้ว!

ครั้งนี้เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วมีเป้าหมายเดียวกัน คือไม่สมัครเข้ามหาวิทยาลัยของเมืองหลวง ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ รอให้น้องทำเรื่องก่อน แล้วตนค่อยเลือกมหาวิทยาลัยเอง ไม่ใช่เพราะไม่รักน้องนะ แต่เราสองคนไม่เต็มใจโดนผลกระทบทางจิตใจอย่างที่เคยเจอ

เพื่อเลี่ยงเจอเสี่ยวเถียนนักเรียนชั้นแนวหน้า เสี่ยวปาเลือกเรียนที่หัวต้า ส่วนเสี่ยวจิ่วเลือกแพทย์แผนจีน

สองปีที่ผ่านมา เสี่ยวจิ่วได้เรียนความรู้ทางการแพทย์เยอะแยะมากมายจากน้องสาว ตนจึงเริ่มสนใจเรื่องนี้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยเลือกเรียนที่นี่

เรื่องเสี่ยวปาเรียนกฎหมายสร้างความตกใจให้ทุกคนเป็นอย่างมาก แต่เสี่ยวเถียนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ทว่าต้องยอมรับเลยว่าในยุคนนี้กฎหมายเป็นวงการที่ไม่ดังจริง ๆ แต่ด้วยนิสัยของคนบ้านซูคือ เด็กอยากเรียนอะไรก็เรียนอันนั้นซะ

แม้เสี่ยวปาจะเลือกเรียนวิชานอกเหนือความคาดหมาย แต่เราก็ดีใจที่เห็นเขาประสบความสำเร็จ

กลับกันเหลียงซิ่วรู้สึกอยู่คนเดียวว่า เส้นทางของลูกชายทั้งสองไม่น่าเชื่อถือเท่าไร

ไม่รู้อนาคตจะแย่ที่สุดหรือเปล่า

“เสี่ยวอู่เลือกของเขาไปแล้ว แถมยังมีหออีหมิงที่ฉันดูแลให้อยู่ อนาคตดีแน่นอน แต่เสี่ยวปาเนี่ยสิจะทำยังไง?”

เธอเป็นห่วงจริง ๆ

เรียนกฎหมายหรือ อะไรล่ะเนี่ย? อนาคตข้างหน้าจะมีข้าวให้กินไหม?

“เด็ก ๆ มีเส้นทางของตัวเอง ไม่ต้องห่วงไปหรอก ดูลูกบ้านเราแต่ละคนสิ เก่ง ๆ กันทั้งนั้น อนาคตไกลอยู่แล้ว” เหล่าซานไม่ได้คิดมาก แม้ว่าจะสงสัยว่าทำไมลูกถึงเลือกสิ่งนี้

เอาเถอะ ต่อให้ไม่เก่งมาก แต่เรื่องปากท้องเดี๋ยวก็หาทางได้

เหลียงซิ่วถอนหายใจ

“คุณพูดถูก ช่างเถอะ ฉันไม่คิดแล้วดีกว่ายังไงเขาก็เป็นถึงนักศึกษา ไม่มีทางแย่ไปกว่าเราแล้ว!”

ไม่รู้พูดปลอบใจสามีหรือบอกให้ยอมรับกันแน่

“คิดแบบนั้นก็ดีแล้ว ลูกหลานเราโชคดี ไม่ต้องห่วงหรอกนะ” เหล่าซานยิ้ม

ส่วนฉือเก๋อกลับประหลาดใจมาก

เด็กคนนี้คิดอะไรอยู่นะ? อยากเรียนกฎหมายหรือ?

ประเทศเราต้องการผู้มีความสามารถในด้านนี้อยู่ และเสี่ยวปาก็เก่งมากด้วย

“เสี่ยวปาเรียนดี ตั้งใจเรียนเข้าไว้ แล้วอนาคตจะได้เฉิดฉายอย่างแน่นอน!”

เหลียงซิ่วโล่งใจ

ฉือเก๋อเป็นใครกัน? คนสำคัญ มีความรู้ ถ้าว่าเขาดีมันก็ต้องดี!

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถึงวันรายงานตัวแล้ว

วันรายงานตัวของเสี่ยวเถียน ไม่ได้มีแค่พ่อแม่ แต่ยังรวมไปถึงปู่ย่าบุญธรรมและฉือเก๋อด้วย

สิ่งที่เสี่ยวเถียนต้องการคือไม่อยากให้ใครไปส่ง เธอไปเองได้ แต่พวกผู้ใหญ่ไม่วางใจ แล้วเด็กผู้หญิงไปตัวคนเดียวแล้วไม่ปลอดภัย

ซึ่งมันหมายถึงให้เสี่ยวเถียนไปคนเดียวไม่ปลอดภัย เด็กสาวต้องเอาสัมภาระไปด้วยที่บ้านเลยให้ซื่อเลี่ยงและซานกงเดินทางไปส่งโดยเฉพาะ

พี่ชายแสนขยันทั้งสองภาคภูมิใจมาก ถ้าโส่วเวินไม่ได้ไปฝึกงานอยู่ เราก็คงไม่ได้รับหน้าที่นี้มาหรอก

ปกติฉืออี้หย่วนไม่มีทางพลาดโอกาสอยู่แล้ว และเขาก็ยืนกรานที่จะตามมาด้วย ส่วนหตุผลไม่มีอะไรมาก ยังไงเราเป็นนักศึกษาต้องไปเรียนอยู่แล้ว จึงถือโอกาสไปส่งน้องพอดี

คนกลุ่มนี้เดินทางไปส่งเสี่ยวเถียนอย่างยิ่งใหญ่

เธอเดาได้เลยว่าจะต้องตกเป็นที่สนใจแน่นอน

เป็นไปได้ก็อยากไปคนเดียว

ถึงจะดูน่าสงสารไปหน่อย แต่ดูความเอิกเกริกนี่อีก!

เสี่ยวปาเสี่ยวจิ่วเศร้าใจมากที่เห็นทุกคนแย่งไปส่งน้อง

คนที่บ้านลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเราเองก็รายงานตัวในวันนี้ด้วยน่ะ?

อีกอย่างเราก็เป็นเด็กห้องพิเศษที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นะ แถมยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย

โชคดีที่ตอนเราสองคนกำลังขนของของตัวเอง พ่อสาม พี่สี่ พี่หก และพี่เจ็ดก็เข้ามาช่วย

พวกเราช่วยกันขนของให้เด็กทั้งสอง เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้ถูกใครลืมเลือนอีก เด็กหนุ่มทั้งสองพลันร่าเริงขึ้นมาและไม่สนใจเรื่องนั้นอีก และตัดสินใจที่จะทำในส่วนของตัวเอง

ยังไงก็มีคนมาส่งเราแล้ว ยังไงก็ดูไม่น่าสงสารแล้ว

“พี่สี่ พี่หก พี่เจ็ด วันนี้พี่ไม่ต้องไปรายงานตัวหรือครับ?” เสี่ยวปาถาม

“ไปส่งนายก่อนแล้วค่อยแยกไปน่ะ!” เสี่ยวซื่อตอบขณะแบกผ้านวมน้องขึ้น

“พี่สี่ เรารออีกครู่หนึ่งให้เสี่ยวเถียนไปก่อนนะ!” เสี่ยวปาไม่ได้รีบร้อนอะไร

ถึงคนเป็นพี่จะไม่รู้ว่าน้องชายอึดอัดใจเรื่องอะไร แต่ถ้าอยากได้แบบนั้นก็ทำตามนั้นแล้วกัน!

คนบ้านซูตั้งใจจะขึ้นรถบัสไป แต่ตอนออกมาก็เจอรถเล็กสองคันจอดที่หน้าประตู เหมือนจะมีการทะเลาะกันนิดหน่อยด้วย

เสี่ยวเถียนรู้จักทั้งสองฝ่าย

เด็กหญิงเกิดความสงสัยมาก สองคนนี้ไม่สนิทกันหรือ? ทำไมถึงทะเลาะกันขึ้นมาเนี่ย?

“พวกคุณเป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ? เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่หน้าบ้านหนูหรือ?”

วันนี้ไม่เห็นได้รับสายจากใครเลยว่าพวกเขาจะนัดเราเอาไว้

แต่พอสองคนนั้นหันมาเจอเสี่ยวเถียน ก็รีบรุดเข้ามาทันที