บทที่ 756 สยดสยองยิ่งกว่าเดิม

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 756 สยดสยองยิ่งกว่าเดิม

บทที่ 756 สยดสยองยิ่งกว่าเดิม

ความคิดของซูอันแล่นปราดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ข้าจำได้แล้ว! มันคือลวดลายของเทาเที่ย!”

ในพิพิธภัณฑ์และสารคดีเกี่ยวกับโลกในอดีตของเขา พวกวัตถุทองสัมฤทธิ์จำนวนมากที่ขุดขึ้นมาจากสุสานราชวงศ์ซางและโจวนั้นมีอักขระแบบนี้ถูกสลักไว้อยู่ด้วย บางคนเรียกพวกมันว่าลวดลายเทาเที่ยในขณะที่คนอื่นเรียกว่าลวดลายอสูร

“ขยับมือของเจ้าออกไปก่อนได้ไหม?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องล่างของเขา

ซูอันก้มศีรษะลงและเห็นว่าตัวเองกำลังบีบหน้าอกเพ่ยเหมียนหมาน เพราะเขาตกลงมาจากเบื้องบน จึงคว้าสิ่งที่อยู่ข้างใต้ตามสัญชาตญาณ

นุ่มมาก!

นี่เป็นความคิดแรกของเขา

ใหญ่มาก!

นี่เป็นความคิดที่สองของซูอัน อย่างไรก็ตามชายหนุ่มก็รีบตั้งสติและดึงมือออก “เอ่อ เจ้าจะเชื่อข้าไหมถ้าข้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ?”

“ข้ารู้อยู่แล้วน่า!” ใบหน้าของเพ่ยเหมียนหมานแดงก่ำ นางลุกขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือของเขา

ทว่าซูอันตกตะลึง นางไม่ได้โกรธ? เขาจำได้ว่าในอดีตมีคนแกล้งทำเป็นชนเข้ากับหลังของนางที่สถาบันจันทร์กระจ่างโดยบังเอิญ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาคือ นางไล่ตามผู้ชายคนนั้นด้วยเปลวไฟสีดำของนาง จนกระทั่งอาจารย์เข้ามาห้ามและช่วยชีวิตเด็กที่โชคร้ายคนนั้นเอาไว้

“ทำไมถึงมีผนึกข้างบนนั่น?” เพ่ยเหมียนหมานทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางแหงนหน้าขึ้นมองและพูดว่า “เราตกลงมาจากตรงนั้นแน่ ๆ”

ขณะที่พวกเขาพูดกัน ม่านแสงสีน้ำเงินที่ริบหรี่ก็ค่อย ๆ จางไปจนท้ายที่สุดมันก็หายไปราวกับว่าไม่เคยมีผนึกอยู่เลย อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งคู่รู้ว่ามันยังคงอยู่ที่นั่น และเมื่อพวกเขากระโดดเข้าไปใกล้มันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งแน่นอน

“ดูเหมือนว่าเราจะมองหาทางออกได้เพียงจากด้านล่างนี้เท่านั้น” ซูอันสามารถบอกได้ว่าผนึกที่อยู่เหนือพวกเขานั้นคล้ายกับม่านพลังที่คอยปกป้องแผ่นศิลาสีดำที่พาพวกเขามาที่นี่ มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำลายได้จากความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเขา

เพ่ยเหมียนหมานพยักหน้า แต่จู่ ๆ นางก็พูดเสียงสั่น “บ…เบ้าตาของโครงกระดูก…มันส่องแสง…”

“ส่องแสง?” ซูอันงุนงง เขารีบหันไปตามสายตาของนาง ทันใดนั้น แสงสีน้ำเงินก็ลุกโชนขึ้นในเบ้าตาของกะโหลก ราวกับว่าโครงกระดูกลืมตาขึ้น!

ซูอันก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและพูดว่า “โลกของเจ้านี่มีผีหรือเปล่า?”

เพ่ยเหมียนหมานอยู่ในภาวะตื่นตระหนก มันก็น่ากลัวพอแล้วที่หลุมขนาดใหญ่นี้เต็มไปด้วยโครงกระดูก ดังนั้นแสงประหลาดที่ส่องอยู่ภายในกะโหลกนี้จึงยิ่งทำให้นางหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก นางไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเขาพูดว่า ‘โลกของเจ้า’

“ผี? เจ้ากำลังพูดถึงวิญญาณของผู้ตายใช่ไหม? มีบันทึกโบราณหลายเล่มที่บันทึกเอาไว้ว่าเหล่าผู้บ่มเพาะหลายคนพยายามค้นหาเส้นทางการบ่มเพาะที่แปลกใหม่และเริ่มศึกษาเกี่ยวกับการควบคุมศพรวมไปถึงดวงวิญญาณของคนตาย…”

ซูอันนึกย้อนไปถึงเหล่ากองทัพผีดิบที่เขาเคยเผชิญในมิติหยกจรัสรวมไปถึงจางฮั่น ตัวตนเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นผีดิบอย่างไม่ต้องสงสัย

ว่าแต่พี่หญิงใหญ่ของเขาจัดเป็นตัวอะไรกันแน่…?

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ เขามองไปที่โครงกระดูก ดวงตาของพวกมันยังคงลุกโชนด้วยแสงสีฟ้า “ข้าไม่คิดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ข้าเคยเจอพวกผีดิบมาก่อน ไอ้ตัวพวกนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงเลย”

ย้อนกลับไปในสุสานในมิติลับหยกจรัส แม้ว่าผีดิบเหล่านั้นจะค่อนข้างอ่อนแอ ซูอันก็ยังสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังชี่รูปแบบหนึ่งจากร่างของพวกมัน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผันผวนของพลังชี่เลยจากโครงกระดูกเหล่านี้เลย

“แล้วโครงกระดูกนี้มันคืออะไรกัน?” เพ่ยเหมียนหมานยังคงกลัว นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางอ่อนแอจากอาการบาดเจ็บ หรือเป็นเพราะนางมีซูอันอยู่ข้าง ๆ แต่นางกลับรู้สึกว่าตัวเองจิตใจไม่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน

“มันอาจจะเป็นเพียงปฏิกิริยาเรืองแสงจากสารฟอสฟอรัส ปรากฏการณ์เช่นนี้มักจะเกิดขึ้นในสุสาน ฟอสฟอรัสนั้นเป็นสสารที่ค่อนข้างติดไฟได้ง่าย และเมื่อมันติดไฟมันจะบังเกิดเป็นเปลวไฟสีน้ำเงิน หลายคนที่ไม่รู้เรื่องนี้มักจะเข้าใจไปว่าเปลวไฟพวกนี้เป็นดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ”

ซูอันอธิบายโดยให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์แก่นาง

“ฟอสฟอรัส? มันคล้ายกับไอ้ออกซิไดซ์ที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้หรือเปล่า?”

เพ่ยเหมียนหมานถามด้วยความงุนงง นางคิดว่าตัวเองอ่านตำรามามากมาย แต่นางไม่เคยอ่านอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาก่อนเลย

“พวกมันเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง” ใบหน้าของซูอันร้อนขึ้น เขาเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าสาเหตุที่ดินเป็นสีแดงอาจเป็นเพราะเหล็กเกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์ แต่กลับกลายเป็นว่าจริง ๆ แล้วดินนั้นปนเปื้อนไปด้วยเลือดต่างหาก เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ทำให้ตัวเองอับอายอีก

ราวกับว่านางอ่านใจของเขาได้ นิ้วของเพ่ยเหมียนหมานเริ่มสั่นขณะที่นางชี้ไปอีกทางหนึ่ง “ทำไมเบ้าตาของพวกมันสว่างขึ้นตามกันเรื่อย ๆ?”

ซูอันรีบมองไปรอบ ๆ เขาสังเกตเห็นว่ากระโหลกศีรษะอื่น ๆ เริ่มเปล่งแสงสีฟ้าออกมาเช่นกัน

มีโครงกระดูกนับพันในสถานที่แห่งนี้ และดวงแสงสีน้ำเงินก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ หลุมที่เคยมืดมิดก่อนหน้านี้ บัดนี้เต็มไปด้วยจุดแสงสีน้ำเงินอันน่าขนลุก มันช่างเป็นภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

ทันใดนั้น ก็มีเสียงกรอบแกรบแปลก ๆ แต่พวกเขาไม่เห็นใครซักคนอยู่รอบตัว สิ่งต่าง ๆ เริ่มรู้สึกแปลกขึ้นและแปลกขึ้น

“จ…เจ้า…! แน่ใจนะว่ามันเป็นแค่ไอ้สิ่งที่เจ้าเรียกว่าฟอสฟอรัส?” เพ่ยเหมียนหมานเอนตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น นางดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

ซูอันกลืนน้ำลาย นี่ไม่ใช่ฟอสฟอรัสอย่างแน่นอน!

ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมพวกมันทั้งหมดจึงบังเอิญเกิดการเผาไหม้เฉพาะภายในเบ้าตาของโครงกระดูกเหล่านี้เท่านั้น?

บัดซบ! ทำไมข้ายังคงพยายามอธิบายสิ่งเหล่านี้ด้วยวิทยาศาสตร์ มีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ตั้งแต่แรกแล้ว!

ทว่าสัมผัสที่นุ่มนิ่มบนแขนของชายหนุ่ม ทำให้เขากล้าหาญมากขึ้นเช่นกัน จากนั้นก็พูดเสียงต่ำ “ข้าจะไปดูเอง!”

การยืนนิ่งและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จะทำให้ซูอันกลัวมากขึ้นเท่านั้น

“ระวังตัวด้วย!” เพ่ยเหมียนหมานเตือนเขา

นางเดินตามหลังชายหนุ่มไป การอยู่ใกล้ ๆ เขาทำให้นางรู้สึกปลอดภัยมากกว่า

ซูอันหยิบกระบี่ไท่เอ๋อร์ออกมา เขาหยุดอย่างระมัดระวังใกล้กับกระโหลกศีรษะที่ใกล้ที่สุด

กระโหลกศีรษะบนโครงกระดูกไม่แสดงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

ซูอันไม่เชื่อว่ามันกำลังหลอกล่อเขา ท้ายที่สุดแล้ว ผีดิบไม่มีสติปัญญาอะไรมาก มันไม่มีทางฉลาดพอที่จะใช้กลอุบายอะไรได้

ซูอันหยุดที่หน้าโครงกระดูกหนึ่ง “ขอโทษนะ ข้าขอโทษจริง ๆ ที่รบกวนเจ้า แต่ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ และนี่อาจช่วยให้เจ้าพักผ่อนได้อย่างสงบสุขเช่นกัน”